พะเยา พะเยา พะเยา ไปมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีครั้งไหนที่จะยอดเยี่ยมอย่างนี้มาก่อน
เนื่องจากมีโครงการด่วน(รู้ก่อนไปเพียงวันเดียว) เป็นโครงการการเรียนรู้ชุมชนในจังหวัดพะเยา โดยไปครั้งนี้ต้องขึ้นดอย และนอนค้างอยู่ 2 คืนสามวัน สิ่งที่เน้นในด้านการเรียนรู้ครั้งนี้คือการกินอยู่อย่างพอเพียง ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเล่า(เห็นไหม จะเล่าอะไรก็ต้องอยาก....อีกแระ) สิ่งที่เราอยากเล่าคือเรื่องการดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติมากกว่า
เริ่มแรก เราออกจากที่นัดพบกันตอนเจ็ดโมงเช้า ขึ้นรถบัสจนถึงจุดนัดหมายประมาณสิบเอ็ดโมง จากนั้นต้องต่อรถกระบะเนื่องจากเส้นทางที่จะเข้าไปนั้นไม่สามารถให้รถบัสไปส่งได้ และด้วยความกล้าหาญที่ไม่ได้ตั้งใจ เราจึงนั่งตรงท้ายกระบะนั่นเอง(พยายามคิดให้เป็นรถเปิดประทุนเหมือนกัน)
รถแล่นไปตามถนนลาดยางและเข้าสู่ถนนดินแดง ทันทีทันใดฝุ่นควันทั้งหลายก็ประดังประเดเข้ามาไม่หยุดยั้ง(หากคิดไม่ออกก็ลองนึกภาพเวลานาซ่าจะปล่อยยานอวกาศนั่นแหละ ฝุ่นมันตีฟุ้งขนาดนั้นเชียวล่ะ) ใครที่พูดคุยกันอยู่ก็ต้องปิดปากให้สนิท มิเช่นนั้นจะอิ่มโดยไม่ต้องกินข้าวเที่ยงเลย ผ่านไปราวๆสิบสองกิโลเมตรรถก็หยุดโดยที่ทุกคนลงมาในสภาพยอดมนุษย์แปลงร่างเป็นไอ้มดแดงกันหมด (ลืมไปว่าบางคนก็เป็นพ่อแก่กันด้วย ฮ่า ฮ่า)
จากเส้นทางยาวไกลสิบสองกิโลเมตรที่แสนอดทนนั้นก็ต้องเดินข้ามดอยอีกประมาณสองลูกเพื่อไปให้ถึงที่พักโดยมีพี่ทหารใจดีเป็นผู้นำทาง เส้นทางที่เดินไปนั้นระดาษด้วยดอกเสี้ยวสีขาวมองคล้ายดอกซากุระของประเทศญี่ปุ่นแต่สวยกว่า(เหอ-เหอ ขอเข้าข้างประเทศตัวเองนิดนึงน่า) เคล้าคลอกับเสียงนกร้องรับส่งกันเป็นท่วงดนตรี ต้นไม้ใบหญ้าเขียวสดแต่กระนั้นบางแห่งก็กลายเป็นสีน้ำตาลไหม้เนื่องจากเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มที่ ไอ้เราขึ้นไปแสนเหนื่อยๆและบ่นโน่นบ่นนี่ ทั้งร้อนทั้งคัน จนลืมเรื่องเครียดจากดินแดนพื้นราบไปเลย
จนไปถึงที่พักก็แทบหมดแรง ก็พอดีเวลานั้นเป็นเวลาบ่ายแล้วจึงได้ทานอาหารกลางวันซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าอาหารจะอร่อยมากๆ(บวกกับความหิว ความเอร็ดอร่อยนั้นยิ่งทวีคูณ)
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ววันนั้นก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดกันเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงหน้าพลับพลาซึ่งเป็นสถานที่ทรงงานของพระราชินีจนค่ำ และเราก็ไปนอน (อ่ะ อ่ะ แน่นอนว่าก่อนไปนอนยังขอดูละครคนคมกะชาวบ้านชาวเขาด้วย อิอิ)
เช้าวันต่อมามีแผนการสองอย่างคือทำฝายเก็บน้ำกับขึ้นดอยสูง ทีแรกเราก็คิดว่าการทำฝายนั้นจะเหมือนโฆษณาที่เห็นคนถือหินไปโยนๆลงกันกลางห้วยที่มีน้ำไหลเรื่อยๆส่งเสียงซู่ซ่า แต่พอไปถึงกลับไม่ใช่ เพราะบริเวณนั้นเป็นช่วงต้นน้ำ ซึ่งมีน้ำไหลเอื่อยจนมองแทบไม่เห็น ในที่สุดฝายหินก็เสร็จตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง แล้วเราก็ไปกินข้าวเที่ยงก่อนขึ้นดอย(ระหว่างทางเจองูด้วยนะ สงสัยจะโชคดี)
เมื่อได้เวลาขึ้นดอยก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นดอยที่ซู๊ง-สูง เดินกันไกล๊-ไกล เหนื๊อย-เหนื่อยระหว่างการเดินทางนั้นไม่มีแรงพอจะบ่นเลยด้วยซ้ำ ได้แต่แอบงึมงำในใจ จนเมื่อฝ่าดงป่าโปร่ง ทุ่งดอกหญ้าขาวโพลน และเนินเขาสูงชัน ในที่สุดก็ถึงจุดสูงสุดของยอดดอย
วินาทีที่ได้ขึ้นไปนั้นมีความรู้สึกว่าความเหนื่อย ความท้อที่สะสมมามลายสิ้น สายลมแรงที่กรรโชกโบกหน้านั้นเหมือนเสียงสรรเสริญ ชื่นชมยินดีเป็นล้นพ้น(พูดแล้วก็นลุก) ไม่น่าเชื่อว่าเราจะทำได้ --เราทำได้จริงๆ
แต่หลังจากชื่นชมความสามารถของตัวเองได้ไม่นาน(รู้สึกว่าจะหลงตัวเองมากกว่าหลงธรรมชาตินะเรา) ก็เหลือบเห็นควันไฟล่องลอยมาจากทางด้านหลังดอยอีกลูก พรานที่นำทางสัณนิษฐานว่าไฟจะไหม้ป่า ทีแรกเราไม่คิดอะไรหรอก นึกว่าเป็นเรื่องปกติ(ก็แหม หน้าแล้งนี่นา ไฟก็ต้องติดง่าย) แต่พี่ทหารบอกว่า ไม่ใช่หรอก ไฟป่าโดยธรรมชาตินั้นไม่มีมานานแล้ว ไฟที่ลามนั้นส่วนมากมาจากการเข้าป่าล่าสัตว์แล้วจุดไฟทิ้งไว้โดยไม่ดับ ไม่ก็จุดไฟเผาไร่ ซึ่งรวมๆกันแล้วถือเป็นฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น เรามองดูพรานและทหารเขาเคืองพร้อมกับว่าพวกคนเห็นแก่ตัวเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกอะไร(เหมือนคนแล้งน้ำใจจัง) และมองไปทางต้นควันโดยไม่คิดว่า เราจะมีโอกาสได้พบมันโดยตรง
กลับจากยอดดอยทีนี้ต้องไต่ลงหุบเพื่อดูแหล่งน้ำที่เป็นแหล่งอุปโภคบริโภคของชาวบ้าน การไต่ลงตามที่ที่โรยปูด้วยใบข้าวโพดสาลีกับใบไผ่นั้นยากเหลือเข็น เพราะว่าลื่นแสนลื่น บางช่วงก็แทบทรุดลงนั่งกับพื้นเพื่อประคองตัว และบางช่วงก็ต้องอาศัยการทรงตัวอย่างยิ่งยวด(ขอบคุณอาจารย์สอนวิชาพละศึกษาและวิชาโยคะอย่างยิ่ง) จากนั้นก็ปีนเขาและโผล่ออกทางหลังหมู่บ้าน ในที่สุดก็กลับถึงที่พักของเรา
ค่ำคืนนั้น หลังผ่านการทดสอบอย่างทรหด เราก็ได้พักผ่อนโดยการชมการแสดงของชนเผ่าต่างๆที่พร้อมใจแสดงให้พวกเราดู
เช้าอีกวันหนึ่ง วันนี้เป็นวันกลับ พวกเราได้มีโอกาสชมสวนและไร่ของชาวบ้านและลองปลูกพืชห้าแปลงก่อนกลับในเวลาบ่ายสองโมง วันนั้นโบกมือร่ำลากับชาวบ้านและเด็กๆและรู้สึกวูบวาบบอกไม่ถูก(เซ้นซิทีฟกะทันหัน)และนั่งรถโฟร์วีลออกจากหมู่บ้าน
ทว่าผ่านไปได้แค่ครึ่งทาง ลางไม่ดีก็คุกคามมา
ควันไฟกลุ่มหนาลอยคลุมลงต่ำปิดทาง เปลวเพลิงสีส้มแดงกำลังผลาญดอยและปิดทางเข้าออก พวกเราต้องหยุดรถ ได้แต่มองไปยังกลุ่มไฟเหล่านั้นโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะย้อนถึงคำพูดของทหารที่บอกว่า ไฟเหล่านี้ไม่ใช่เพราะธรรมชาติ แต่เพราะคน เพื่อนๆที่ร่วมทางต่างบ่นเสียดายและก่นด่าไอ้คนเห็นแก่ตัวพวกนั้น เราเองที่ไม่คิดว่าจะรู้สึกอะไรกลับจุกถึงลำคอ อยากจะร้องไห้เสียเดี๋ยวนั้น เปลวไฟไม่ได้เผาแค่พื้นที่หนึ่งๆหากมันกระจายตัวและรุกรานออกกินทุกพื้นที่ที่ลมพามันไป เสียงปล้องไม้ระเบิดดังโป้งป้าง ลมแรงตีวนพัดพาเอาเศษซากใบไม้ที่ดำหงิกให้ฟุ้งทั่ว กลิ่นควันไฟนั้นแสนขื่นทั้งในโพรงจมูกและในหัวใจ ต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุนับสิบปีถูกครอกทั้งเป็น
คนใจร้าย เพียงเพราะความมักง่าย ธรรมชาติก็ตายลง
พวกเรากลับรถเข้าหมู่บ้าน คราวนี้ร่วมใจแข็งขันช่วยกันดับไฟเท่าที่จะทำได้ เราเองก็ช่วยขนน้ำดับไปและเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ เวลานั้นดอยหายไปแล้วสามลูก หมดเลย เหลือแต่เถ้าสีดำคล้ายกับใครเอาผงถ่านมาโปรย
จนไฟตรงจุดนั้นถูกสกัดไว้ได้ พวกเราจึงจำใจกลับ และก่อนจะออกจากหมู่บ้านนั้นยังแว่วยินว่า มีไฟลามที่ด้านหลังดอยที่พวกเราขึ้นเมื่อวานนี้
...คิดถึงดงป่าโปร่ง คิดถึงทุ่งดอกหญ้า คิดถึงยอดดอย พวกมันคงไม่มีตัวตนในโลกแล้ว คงเหลือไว้แต่ในรอยทรงจำ
เรากลับลงมาถึงจุดนัดพบกับรถบัส ประมาณสี่ชั่วโมงที่ลุงคนขับรถคอย แต่เหมือนลุงจะเข้าใจพวกเราดี
วันนั้นเมื่อตอนกลับบ้าน พวกเราหันกลับไปบนยอดดอยที่เราจากมาอีกครั้ง เปลวไปโอบล้อมยอดเขาเป็นรูปวงแหวนที่แสนสวยและร้ายกาจ
พะเยา พะเยา พะเยา ไปมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีครั้งไหนที่จะยอดเยี่ยมอย่างนี้มาก่อนเลย
..........................................................................
แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 50 14:33:42
จากคุณ :
คายตรี
- [
5 มี.ค. 50 14:17:39
]