ความลับที่ยิ่งใหญ่ จากชาย...คนหนึ่ง
(ตอน ..กว๊านพะเยา..)
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งแสงสีแดงระเรื่อไว้ครอบคลุมทั่วผืนน้ำอันกว้างไกลสุดตา เฉกเช่นที่เคยนั่งมองทะเลตอนเด็ก ๆ แต่ที่นี่ต่างกัน ไม่มีคลื่น ไม่มีชายหาด หากแต่มีคลื่นระลอกเล็ก ๆ กระทบไล่กันเป็นแนววิ่งเข้าหาฝั่ง ที่เกิดจากแรงลมที่พัดโชยเบา ๆ ยามนี้ที่ 18.45 นาฬิกา นี่เป็นวันที่สองแล้วที่ผมเดินทางมาจังหวัดพะเยา และเป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือนที่นี่ กว๊านพะเยา แสงไฟตามเสาไฟ ไฟสปอตไลท์ ดวงใหญ่ สูงตระหง่านส่องแสงไปไกลขยายวงทอดลงไปผืนน้ำบางส่วน ดูเหมือนยังพลบค่ำอยู่ มองเห็นผืนน้ำ เพราะสะท้อนแสงของท้องฟ้าที่แดงฉาน ทำให้ผืนน้ำดูสว่างอยู่ ผมเลือกนั่งลงใกล้ ๆ เขื่อนที่สร้างไว้กั้นน้ำทำเป็นเขื่อนแนวยาวทอดไปตามถนน ตลอดแนวเขื่อนมีผู้คนมากมาย บ้างก็นั่งจับกลุ่มกัน ปูเสื่อทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่ได้สนใจภาพที่สวยงามยามนี้เลย เสียงเฮดังเป็นระยะ ๆ เพราะแอลกอฮอล์เริ่มทำงานแล้ว มองไปตามแนวเขื่อนมีต้นไม้ปลูกไว้เป็นระยะ ๆ มีเก้าอี้ หรือขอนไม้ วางไว้ให้ผู้คนได้มานั่งชมทิวทัศน์กัน ที่นั่งเป็นคู่กันก็มี ที่เป็นเพื่อนกันก็มา ที่เดินออกกำลังกายไปตามถนนคอนกรีตที่สร้างเอาไว้กั้นระหว่างถนนลาดยางกับแนวเขื่อน
เด็ก ๆ วิ่งไปมาขวักไขว่ ตลอดเส้นทางถนนคอนกรีต มีแม่ค้าคอยเสนอเสื่อให้กับผู้คนที่จอดรถเพื่อมาชมทิวทัศน์ แม่ค้าที่นี่มีรถมอเตอร์ไซด์ 1 คัน แต่รถของเธอ พะรุงพะรังไปหมด ครกส้มตำก็มี กุ้งเต้น ก็มี ของกินแขวนรายรอบตะกร้าที่วางไว้ด้านหลัง เสื่อ 2 -3 ผืนแขวนไว้ที่แฮนด์รถ ดูเป็นรถที่พร้อมไปด้วยของกิน เธอจะขับไปมา เห็นคนมาจอดรถเมื่อไหร่เธอ ก็จอดวิ่งไปเสนอเสื่อทันที่ เพื่อให้พวกเขาได้นั่งและสั่งอาหารจากเธอ ดูแปลกตาดีเหมือนกัน สถานที่อย่างงี้ไม่มีแม่ค้าก็คงจะแปลกไปสักหน่อย อีกฟากของถนนร้านค้ามากมาย ๆ หลากหลาย ทั้งอาหารการกิน ทั้งขายของจิปาถะ ที่สำคัญมีร้านที่ตกแต่งบรรยากาศอย่างสวยงาม เพราะที่นี่นอกจากนักท่องเที่ยวคนไทยแล้ว ฝรั่งก็มากันเป็นรถเหมือนกัน ฝรั่งลงจากรถบัสขนาดใหญ่ แล้วแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ผมก็มัวแต่มองพวกเขาเพลินไปหน่อย ที่นี้ก็มาชมทิวทัศน์ของกว๊านพะเยาบ้าง ลมโชยมาเบา ๆ สบายดีเหมือนกัน นกฝูงใหญ่หลายร้อย หรือหลายพันตัวบินถลากันมาจากทิศหนึ่ง แต่ที่แปลกมันบินไปบนผืนน้ำ เห็นเหยื่อแล้วโฉบทันที คงเป็นอาหารมื้อค่ำ หรือเป็นมื้อก่อนกลับรังของมัน แต่มันมีจำนวนมากบินไม่ขาดสายเลย ตัวเล็ก ๆ โผลงมาเหนือน้ำไม่สูงเกินกว่า 1 เมตรเลย มองเท่าไหร่นกพวกนี้ก็ไม่หมดซะที เงยขึ้นไปมีนกอีกกลุ่มหนึ่งพวกเขาไม่สนใจเลยว่าจะลงมาโฉบปลาตัวเล็ก ๆ แต่กลับบินสูงอยู่เหนือน้ำ มันบินเป็นแถว บางทีก็แปรเป็นแนวสามเหลื่อม โดยมีจ่าฝูงของมัน นำไป รวมแล้วไม่เกิน 10 ตัว สวยงามมากจริง ๆ มองไปข้างหน้าผมเห็นแล้วสบายตา ดูสงบและราบเรียบ แต่หูของผมมันได้ยินแต่เสียงรถที่วิ่งไปมา เสียงผู้คนพูดกัน อีกทึกครึกโครมจัง แต่สายตาของผมกลับสัมผัสได้ถึงความสงบนิ่ง โอ้ไม่น่าเชื่อที่เดียวกันแต่มันกลับมีความรู้สึกสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมไม่อยากสนใจภาพเบื้องหลังเลย จึงนั่งมองไปยังผืนน้ำที่สงบ สบายใจจัง ลมก็พัดโชยเข้าหาฝั่งเบา ๆ นั่งมองไปเพลิน ๆ หูก็เริ่มที่จะไม่ได้ยินเสียงรอบข้างแล้ว เพราะใจเริ่มจดจ่อกับภาพผืนน้ำอันกว้างไกล สักพักมีเรือแจว 2 ลำ แจวอยู่อย่างช้า ๆ พยายามเพ่งมองดู พวกเขากำลังวางอวนดักปลา นั่นเอง ลำหนึ่งเป็นชายชรา เขานั่งอยู่ท้ายเรือ มือกำลังง่วนอยู่กับจับอวนวางลงน้ำเบา ๆ เป็นจังหวะที่เรือก็ลอยลำไปด้วย ดูเข้าเป็นจังหวะดี อีกลำหนึ่งหนุ่มน้อยประมาณ 18 ปี ทำเช่นเดียวกับชายชราคนนั้น ภาพที่เห็นมันเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ จังหวะไหนที่อวนหมด ก็เปลี่ยนอวนอีกชุด เขาจะใช้พายสั้น ๆ บังคับให้เรือนิ่งไว้ แล้วเริ่มเคลื่อนตัวต่อไป ชายชราวางอวนเสร็จแล้ว พายเรือเข้ามาใกล้ ๆ เด็กหนุ่มคนนั้น ทั้งคู่ทักทายทายกันผมไม่ได้ยินหรอกนะ แต่ดูว่าจะทักทายกัน ชายชราพายเรือหายไปในความมืด เด็กหนุ่มเริ่มทำงานต่อไป เขาพายเรือเข้ามาใกล้ ๆ ฝั่งที่ผมนั่ง เขาไม่ได้สนใจกับคนที่อยู่บนบกเลย ตั้งหน้าทำงานของไปอย่างต่อเนื่องสบาย ๆ ขณะที่เด็กหนุ่มอีกหลายสิบ คน กำลังสนุกกับการพูดคุยเฮฮา ขับรถไปมา บ้างก็มาเพื่อนสาวมานั่งคุยกันสองคน ผมเหลียวหลังมามองคนเหล่านั้นอีกครั้ง เขาก็ยังสนุกกันดี หันกลับไปผืนน้ำ ยังสงบเหมือนเดิม มันแตกต่างกันจัง แต่ผมกลับมีความสุขที่ได้นั่งอยู่ที่นั่น จิตใจผมพลอยสงบล่องลอยเหมือนกับเรือแจวลำนั้น มันราบเรียบเงียบสบายจังเลย
แสงอาทิตย์ที่เคยสาดส่องเริ่มหายไป ความมืดเริ่มมาปกคลุมพร้อมกับเด็กหนุ่มคนนั้นที่แจวเรือหายไป มองไปด้านหน้าก็มองไม่เห็นอะไร เห็นแต่ผืนน้ำที่ไฟสปอตไลท์ส่งถึงบางส่วน แต่ที่สัมผัสได้ลมยังโชยมาเบา ๆ และรู้ว่าข้างหน้ามันว่างเปล่า ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่ทำให้รู้สึกได้ว่ามันว่าง ว่างซะจนไม่มีอะไรเลย แต่มันทำให้ผมสงบและรู้สึกสบาย ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาเกือบ 3 ปีแล้ว ถ้าให้ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราว แทบจะไม่อยากนึกด้วยซ้ำไป สารพัดเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตที่ดูเหมือนจะทุกข์มากกว่าสุขนั้น มันผ่านไปแล้วหรือ ผมถามตัวเอง หรือว่าเราจะลืมเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้หมดดีไหม๊ แล้วเริ่มต้นไหม่อีกที แล้วเรื่องราวเหล่านั้นมันจะจางหายไปจากใจเราจริง ๆ หรือ มันอาจกลับเข้ามาในห้วงความคิดเราได้อีก แล้วจะทำยังไงดี
จิตใต้สำนึกผมก็ให้คำตอบว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาย่อมมีการผูกพันหลายอย่างเกิดขึ้น เรื่องบางเรื่องไม่อาจใช้เวลาทำให้มันจางหายไปได้เลยจากชีวิต หากแต่มันต้องใช้เวลาประกอบกับการใช้ปัญญาเพื่อแก้ไข เท่านั้นเอง เรื่องบางเรื่องที่ต้องลืมเพราะเป็นใจเราที่พ่ายแพ้ต่อมัน อันนี้ต้องลืมให้สิ้นไม่จำเป็นต้องใช้เวลา แต่เพียงใช้ปัญญาก็พบหนทางแห่งความสุขได้เหมือนกัน ผมพ่ายแพ้โชคชะตามาแล้ว 3 ปี เป็นเวลาที่ต้องต่อสู้กับชะตา ชะตาที่เกิดจากกรรมทั้งในอดีต และกรรมที่ได้กระทำในปัจจุบันของผม มันมีผลต่อชะตาผมในทุกวันนี้อย่างแน่นอน และผมดีใจที่ตัวจริงของผมได้ค้นพบคำตอบในชีวิตให้ผมเสมอ พร้อมที่จะต่อสู้ทุกเมื่อที่เกิดทุกข์คราใด และตัวจริงของผมก็ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป แม้วันนี้จะต้องเร่ร่อนไปมาหาทางเพื่อความอยู่รอด แต่ผมอยู่กับตัวจริงทุกวัน เขาทำให้ผมอยู่ได้อย่างมีความสุข อยู่ได้ในทุกภาวะ และรับชะตาที่เกิดขึ้นได้อย่างมืออาชีพเลย การเดินทางมาครั้งนี้ จึงทำให้เหมือนรู้สึกว่า เดินทางมาเรียนรู้ชีวิต เดินทางมาต่อสู้ เดินทางมาเจอบททดสอบ เพื่ออะไร เพื่อให้ชีวิตได้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายได้อย่างสบาย ๆ เพียงแค่ตัวจริงเราสงบ เราจะพบคำตอบมากมายในชีวิต แล้วใครอีกหลาย ๆ คน พบตัวจริงของคุณบ้างหรือยัง แล้วตัวจริงที่ว่าคืออะไร....ติดตามความลับที่ยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่ง ตอนต่อไปครับ....
จากคุณ :
จุติเทพ
- [
6 มี.ค. 50 11:44:36
A:61.7.231.50 X:61.7.231.50, 61.7.231.50
]