1.
เพื่อนของผมชื่อต้น
ผมรู้จักกับมันมาตั้งแต่ตอนมัธยมสอง ต้นเป็นคนมีเพื่อนน้อย คงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยมาโรงเรียน สัปดาห์หนึ่งเขาจะมาเรียนสองวัน ส่วนอีกสามวันลาป่วย และมันจะเป็นเช่นนี้แทบทุกสัปดาห์
ต้นเป็นคนสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี มีโรคแทรกซ้อน ทำให้ต้องขาดเรียนนอนพักรักษาตัวอยู่บ้านเป็นประจำ เขาชอบคว้าหนังสือมาอ่านระหว่างนอนรักษาตัวที่บ้าน รู้อีกทีเขาจึงกลายเป็นหนอนหนังสือไปโดยไม่รู้ตัว
ต้นชอบอ่านหนังสือทุกประเภท และทุกวันเขาจะพกนิยายติดกระเป๋ามาด้วยสองสามเล่มเพื่ออ่านในเวลาว่าง เพราะด้วยบุคลิกเช่นนี้ทำให้เขากลายเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสนอกสนใจใคร ผมเห็นว่าเขาค่อนข้างจะเป็นคนมีที่โลกส่วนตัวสูงเสียกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เขาชอบนั่งคนเดียวที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นนนทรีหลังโรงเรียน เพลิดเพลินกับการกวาดตาอ่านตัวหนังสือทีละบรรทัดอย่างตั้งใจ บางครั้งผมก็เหลือบไปเห็นเขานั่งหัวเราะหึๆ นั่งทำปากขมุบขมิบราวกับกำลังคุยกับใครสักคน ดังกับว่าเขาเห็นตัวละครในนิยายออกมาโลดแล่นในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ทำให้เพื่อนในห้องมองว่าเขาเป็นตัวประหลาด เขาจึงไม่ค่อยสนิทกับใครนัก และเพื่อนๆ ก็ไม่อยากไปพูดจากับเขา เพราะผมสังเกตว่าทุกครั้งที่มีคนไปคุยกับต้น มักจะโดนแซวว่า เป็นเพื่อนสนิทของเขา แทบทุกที จนบางครั้งผมเองก็รู้สึกผิดที่ต้องตีตัวออกห่างจากต้นเพื่อไม่ให้เพื่อนล้อว่าเป็นเพื่อนสนิทของต้น
ช่วงนี้เองคุณคงคิดว่าแล้วทำไมผมจึงรู้เรื่องราวของเขาดีนัก?
อธิบายง่ายๆ คือบ้านของผมกับบ้านของต้นอยู่ตรงข้ามกัน พ่อแม่เรารู้จักกัน เราเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาล ประถม จนถึงมัธยม คุณคงอาจจะจินตนาการเห็นภาพผมกับต้นเดินกอดคอกันไปเที่ยว ไปกินข้าวด้วยกัน ผมก็ต้องบอกว่าผมเองก็ไม่ได้สนิทกับต้นถึงขนาดนั้น วันๆ หนึ่งผมจะคุยกับเขาแค่สองสามประโยคได้ แต่เนื่องด้วยเราสองคนบ้านอยู่ใกล้กัน ความผูกพันจึงเกิดขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้มีใครไปบังคับ ซึ่งผมคิดว่าถ้าบ้านเราอยู่ไกลกัน ผมและต้นคงจะห่างเหินเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ อย่างแน่นอน
มาถึงตอนนี้คุณอาจจะเริ่มตั้งคำถามขึ้นมาอีกว่า ผมจะเล่าเรื่องเพื่อนคนนี้ให้พวกคุณฟังไปทำไม ทั้งนี้ผมคงต้องออกตัวก่อนว่าผมเองก็ไม่ใช่คนพูดมากหรือเป็นคนเปิดเผยตัวเองสักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกที่สุดสำหรับคนอายุยังน้อยอย่างผมจะได้พบเจอมา ซึ่งผมถ้าผมอายุมากกว่านี้ ผมจะได้พบเรื่องที่แปลกประหลาดมากกว่านี้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้
อย่างที่ผมกล่าวไปตอนแรกว่าต้นเป็นคนชอบอ่านหนังสือ พ่อแม่ของเขาเป็นคนร่ำรวยชนิดที่เรียกว่าถ้าต้นอยากได้อะไร พ่อแม่ก็สามารถหามาประเคนให้ได้ ใช่แล้ว ต้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ภายในห้องของเขาตอนนี้จึงเต็มไปด้วยของเล่นและหนังสือนานาชนิด ซึ่งประมาณจากสายตาคงไม่ต่ำกว่าสามพันเล่ม ผมคิดว่ามันก็เหมือนกับห้องสมุดขนาดย่อมๆ นี่เอง
ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมประกอบด้วยโต๊ะเขียนหนังสือ เตียง โทรทัศน์ สเตริโอชุดใหญ่ และตู้หนังสือไม้ผิงผนังห้าตู้ ซึ่งผมจำรายละเอียดต่างๆ ภายในห้องของเขาได้อย่างแม่นยำ และทุกวันต้นจะหยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อมา บ้างก็อ่านแล้ว ออกมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาอีกครั้ง ดังจะให้ตัวหนังสือซึมลึกเข้าไปภายในสมอง
ต้นเคยแนะนำให้ผมอ่านหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้ พอผมเปิดอ่านเขาก็จะเข้ามานั่งใกล้ๆ คอยถามเป็นระยะว่าสนุกหรือเปล่า บางครั้งผมก็รำคาญจึงตวาดถ้อยคำแรงๆออกไปโดยไม่ตั้งใจ แต่ต้นก็โกรธผมได้ไม่นานหรอก เพราะวันต่อมาต้นก็มาทักผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
(ความจริงผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าต้นลืมมันไปจริงๆ หรือในใจยังเก็บเอาไปคิดอยู่ เพราะระยะหลังๆ เขาจะเข้ามาทักทายผมก่อนน้อยมาก ทำให้ผมเกิดความรู้สึกผิด อาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ผมแทบไม่ได้ชวนเขาคุยเลยเพราะมัวเล่นสนุกกับเพื่อนคนอื่นๆ ก็เหมือนอย่างที่ผมอธิบายไว้ตอนแรกนั้นแหละว่าเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง และผมเองก็เข้าถึงโลกส่วนตัวที่ว่านั้นยากเสียด้วย)
เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเดี๋ยวผู้อ่านพาลจะเบื่อกันซะเปล่าๆ ผมต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนเล่าเรื่องราวอะไรไม่ค่อยเก่งนัก แต่ก็จะพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์สุดความความสามารถ เพื่อไม่ให้ผู้อ่านงงหรือเบื่อหน่ายรำคาญไปเสียก่อน -- ผมจะเล่าย้อนกลับไปเมื่อสามวันที่แล้ว ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมกำลังเล่นวิ่งไล่จับกับเพื่อนที่สนามบอลในโรงเรียนตอนพักกลางวัน อยู่ๆต้นก็มาสะกิดผมแล้วบอกว่ามีอะไรให้ดู ผมจึงเดินตามต้นไปดูหลังโรงเรียน
เราไม่อยากให้คนอื่นรู้ มันจะเป็นความลับระหว่างเราสองคน นายอย่าไปบอกใครนะ ต้นว่าอย่างนั้น
ยิ่งพูดผมก็ยิ่งอยากรู้ว่ามันคืออะไร ต้นเอามือล้วงเข้าไปในเป้สีดำใบใหญ่ แล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมา ผมจึงเปิดดูและพบว่าทุกหน้าว่างเปล่า เห็นแต่เนื้อกระดาษสีขาวขุ่นอยู่ภายใต้สมุดบันทึกสีแดง
ผมพลิกหน้าพลิกหลังสมุดก่อนถามต้นว่า นี่มันคืออะไร
นายไม่เห็นอะไรเหรอ
ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ด้วยความอยากรู้ ผมจึงถามกลับไปว่า เห็นอะไร
นี่เป็นสมุดบันทึกประจำวันของเราเอง พ่อพึ่งซื้อมาให้เมื่อวาน แต่ดูนี่สิ
ต้นเปิดหนังสือแล้วใช้ไฟแช็กที่เขาพกมาด้วย ลนใต้กระดาษ ตัวหนังสือยึกๆยือๆ ก็ปรากฏขึ้น
เฮ้ย นี่มันข้อความอะไรวะ ผมแปลกใจ
ชู่ .... เงียบไว้
เราไม่บอกใครหรอกน่า ผมพูดให้เขาเกิดความมั่นใจ
ดีแล้ว เราไม่อยากให้ใครรู้
แล้วนี่มันเขียนว่าอะไร
เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดทุกหน้า
รู้ไหมว่าใครเป็นคนเขียน
ต้นส่ายหน้า
ต้องมีใครสักคนทำข้อความลับนี้ขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เสียเวลาเขียนตั้งนานหรอกจริงไหม
ต้นพยักหน้าเห็นด้วย
ผมกระตือรือร้นด้วยความอยากรู้ ทำตัวราวกับว่าเป็นตัวการ์ตูนที่ชื่อโคนันในเรื่องยอดนักสืบจิ๋ว
เย็นวันนั้นผมก่อไฟเพื่ออังสมุดทั้งเล่ม ผมพยายามทำให้เบามือเพราะกลัวว่ามันจะไหม้ไปหมด -- ไม่ถึงสิบนาที ผมแทบร้องไชโยด้วยความดีใจเมื่อเราทั้งสองคนเห็นข้อความที่เขียนด้วยหมึกสีแดง
มันต้องเป็นรหัสอะไรสักอย่างแน่ อาจจะเป็นชวเลขก็ได้ ผมเอ่ยขึ้น
ไม่ใช่หรอก ชวเลขไม่ใช่หน้าตาแบบนี้
ผมเชื่อคำพูดของต้น เพราะประเมินจากการเขาอ่านหนังสือมาเยอะกว่าผม ฉะนั้นเขาน่าจะรู้อะไรๆ ดีกว่าผมไม่มากก็น้อย
ผมสังเกตกระดาษแต่ละใบอย่างละเอียดถี่ถ้วย อักษรบางตัวดูเหมือนเลขหนึ่ง บางตัวเหมือนขอไข่ บางตัวเหมือนตัวอาร์ (r) ในภาษาอังกฤษ บางตัวก็เขียนเหมือนภาษาจีน บางตัวก็เหมือนรูปบนฝาผนังของชาวอียีปต์ รูปแบบของอักษรหลายๆ ตัวซ้ำกัน และหลายๆ ตัวก็ดูแตกต่างกว่าตัวอื่น บางตัวแทบมองไม่ออกเลยว่ามันคือรูปภาพของอะไร
อาจจะเป็นลายแทงเพื่อไปยังที่ซ่อนขุมทรัพย์ก็ได้นะ ต้นโพล่ง พลอยทำให้ผมตื่นเต้นตามไปด้วย
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงจะดี ผมพูดต่อ แต่สิ่งสำคัญคือพวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันต้องการจะสื่อถึงอะไร
เราทั้งคู่พยายามไล่ตัวอักษรทีละบรรทัด พลิกปกหน้าปกหลัง แต่ไร้เงื่อนงำอะไรที่จะชักพาไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง เวลายิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ ต้นและผมต่างรู้สึกยิ่งมืดแปดด้านขึ้นทุกที
นายว่านายได้สมุดเล่มนี้มาจากพ่อใช่ไหม ผมเริ่มต้นถามเพื่อเก็บข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ
ใช่ เราเพิ่งได้มาเมื่อวานนี้เอง ตอนแรกมันก็ดูเหมือนสมุดบันทึกทั่วๆ ไปนั่นแหละ จนกระทั่งสังเกตว่าหน้าหนึ่งมีคราบหมึกเลยสงสัยว่าเป็นอะไร เราเลยลองใช้ไฟแช็กอังบริเวณนั้น ต้นอธิบายยืดยาว ดังต้องการระบายความรู้สึกที่เก็บไว้เนิ่นนาน
คือ ... เราเคยอ่านเจอตามหนังสือว่าสมัยก่อนมีการผลิตหมึกล่องหน นายรู้ใช่ไหมว่าเขาทำกันยังไง
ผมพยักหน้าเพราะรู้วิธีการทำจากวิชาวิทยาศาสตร์ที่อาจารย์ทดลองให้ดูหน้าห้อง ตอนนั้นต้นยังพูดกับผมเลยว่ามหัศจรรย์ดีจริงๆ เราทั้งคู่เลยกลับไปทำหมึกล่องหน แล้วทำเอามาแกล้งคนอื่นให้ตกใจเล่น
เอาล่ะ เราจะข้ามไม่อธิบายนะ เพราะนายก็รู้ดีอยู่แล้วเรื่องหมึกล่องหน เราก็ไปค้นหาจากหนังสือเพิ่มเติมแล้วพบว่าเมื่อพันๆ ปีก่อนไม่มีที่ๆ สามารถรักษาความลับได้ดีเท่ากับจดบันทึกลงในกระดาษ ดังนั้นเวลาแลกเปลี่ยนความลับ เขาก็จะใช้นกสื่อสารเพื่อคาบสารไปยังผู้รับ มันเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย และรวดเร็วกว่าวิธีอื่น
จากนั้นเราก็ค้นหาวิธีการทำให้เราสามารถมองเห็นหมึกล่องหนได้ ตอนแรกเราเอากระดาษส่องทะลุแสงไฟ ... เราเคยเห็นในทีวีน่ะ ว่าถ้าเราอยากอ่านจดหมายในซอง เราสามารถจะอ่านได้โดยใช้แกนกระดาษชำระ เราลองทำตาม เป็นว่าไม่ได้ผล
ต่อมาเราเลยใช้ไฟแช็กลนใต้กระดาษ วิธีนี้เราพบทางหนังสือเล่มหนึ่งในห้องสมุดโรงเรียนเรานี่เอง รู้ไหมตอนที่เราเห็นตัวอักษรปรากฏขึ้นมาทีละนิดๆ น่ะ เราแทบลืมตัวเกือบร้องออกมา
เราไม่รู้จะเอาไปบอกใคร เราเลยสมุดเล่มนี้มาให้นายดูเป็นคนแรกหลังจากที่เราพบความลับนั้นแล้ว เพราะเราคิดว่าเราคนเดียวคงไม่รู้ว่าข้อความในนั้นต้องการสื่อถึงอะไร อย่างน้อยสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวใช่หรือเปล่า
ช่าย ผมลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยอ่อน พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม เสียงฟ้าร้องครืนครั่นราวกับฝนจะตกอย่างหนักในคืนนี้ เราต่างรู้กันดีว่าต้องรีบกลับบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราต้องรักษาสมุดเล่มนั้นไม่ให้เปียกฝน
ความจริงฉันเองก็อยากจะเอากลับไปดูนะ แต่นายเก็บไว้เหอะ ระวังอย่าให้ใครเห็นนะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยว่ากันต่อ
ต้นพยักหน้าหงึก เราสองคนแยกย้ายกลับบ้าน ผมคิดตลอดทางระหว่างเดินกลับมาอักษรลึกลับในสมุดปกแดงเล่มนั้นมันคืออะไรกันแน่ แต่ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนเช่นเคย -- ทั้งพยายามดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดจะชี้ให้เราสามารถอ่านข้อความในสมุดปกแดงเล่มนั้นได้ ผมพยายามอ่านข้ามคำทีละคำ พยายามอ่านจากคำหลังไปหน้า แต่ความพยายามก็สูญเปล่า ถ้าถามผมว่าผมอยากรู้ไหม ใช่ ผมอยากรู้ มันเป็นเรื่องเดียวในตอนนี้ที่ถูกสมองกระตุ้นตลอดเวลา
จากคุณ :
ด.ช.บ่าง
- [
6 มี.ค. 50 16:02:52
]