ความลับที่ยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่ง
(ตอน...ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา)
ผมอยู่พะเยามาได้เกือบอาทิตย์แล้ว ทุกวันตอนเย็น ๆ ก็จะเดินจากบ้านพักมาที่ริมกว๊าน ซึ่งอยู่ไม่ไกล สิ่งแรกที่ต้องทำคือมองหาที่นั่งที่เดิม ที่เคยนั่ง มันคุ้นเคยดี แต่บางทีก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งที่อื่น เพราะที่เดิมถูกจับจองไปแล้ว จุดประสงค์ของผมไม่มีอะไรมาก เพียงแค่นั่งแล้วทอดสายตาออกไปตามผืนน้ำในกว๊านพะเยาให้ไกลที่สุด ก็ยังมองเห็นเหมือนมีผืนดินอยู่กลางกว๊าน มีต้นไม้ทึบแต่คงยังไม่ใช่ริมกว๊านอีกด้านหนึ่ง เพราะกว๊านมีเนื้อที่ถึง 12,831 ไร่ มีคนบอกว่าในกว๊านมีวัดจมอยู่ด้วย ด้วยเหตุอะไรเดี๋ยวต้องไปสืบถามกันอีกที บรรยากาศของกว๊านก็เหมือนเดิม สถานที่เดิม แบลคกราวด์เหมือนเดิม ฉากเดิม ๆ แต่ตัวละคนก็เปลี่ยนไป ผู้คนเดินที่มานั่งริมกว๊านสลับไปมา บางกลุ่มก็มาจากจังหวัดอื่น บางกลุ่มก็คนในพื้นที่ ที่ดูเหมือนพวกเขาจะทำให้ริมกว๊านแห่งนี้เป็นเหมือนสนามหญ้าหน้าบ้าน ยกหม้อ ยกกระติก ยกเตาไฟ กันมารับประทานอาหารมื้อเย็นกัน ป้อนข้าวให้ลูก วิ่งเตาะแตะไปมา คุณพ่อก็นั่งสนทนาพร้อมกับในมือถือแก้วเบียร์เย็น ๆ หัวเราะร่วน กลุ่มเพื่อน ๆ ก็นั่งชนแก้วกัน ผู้หญิงก็ธรรมดานั่งหัวเข่าชนกันหันหน้าประสาน เขาเรียกจับเข่าคุยกัน (คุยกันถึงเรื่องคนอื่น) อันนี้มีบ้างเล็กน้อย วัยรุ่นก็รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ส่งเสียงดังไม่เกรงอกเกรงใจใคร แต่ถ้าได้อยู่คนเดียวรับรอง เงียบเหมือนหมาเหงาเลยละ ดูแล้วก็อมยิ้ม เพลินดีเหมือนกัน หันหน้าไปมองทิวทัศน์สวย ๆ ดีกว่า ลมโชยเย็นสบาย ๆ ทุกครั้งเมื่อสภาวะจิตใจนิ่งสงบ สูดลมหายใจลึก ๆ โล่งสบาย เหมือนเราเป็นหวัด แล้วสูดยาดม (คงต่างกันแหละครับ) คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตอีกครั้ง ที่คิด นั้น ไม่ใช่ว่าลืมไม่ลงหรอก หรือปลงไม่ตก แต่กำลังทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ตามกรณี แล้วหันมามองตัวเราเองว่า เราได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไปบ้าง เพราะในความผิดพลาดมักจะแฝงบทเรียนที่ล้ำค่าไว้ให้เราเสมอ แต่ต้องยอมรับตัวเองซะก่อนนะว่าเราทำผิดพลาดไป อย่าเข้าข้างตัวเองเด็ดขาด ไม่งั้นจะไม่สามารถพบคำตอบอันวิเศษได้เลย ทุกวันนี้คนเรามีน้อยมากที่จะมองย้อนกลับไปถึงเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้น ไม่ต้องย้อนมองไปไกลหรอก แค่เหตุการณ์ในวันนี้ก็อาจจะไม่ได้แล้ว มื้อเที่ยงกินอะไรไป อาจจำไม่ได้แล้วจริง ๆ ดูเหมือนใน 1 วัน จะผ่านไปอย่างธรรมดา เหมือนทุกวัน แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะมันมีหลายอย่างที่เราได้จากการใช้ชีวิตไป 1 วัน บางคนบอกว่าใช่ ได้ซิ ได้ทำงาน ได้เงิน ผ่านไปแล้ว ชีวิตมันแค่นั้นเหรอ แต่จริง ๆ แล้ว การใช้ชีวิตไป 1 วัน หากเราใช้ตัวจริงทบทวนเราจะพบความจริงมากมาย ความจริงที่เที่ยงแท้ ความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย หากแต่ต้องใช้ตัวจริงของเราคิดทบทวนเท่านั้น การจะให้ตัวจริงคิด ต้องอาศัยความสงบเป็นพื้นฐาน เพราะความสงบจะนำเราไปสู่สมาธิ สติ และปัญญาก็ก่อเกิดนั้นเอง เป็นสเตป เป็นปัญญาที่เที่ยงตรง ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากจิตคิดธรรมดา ต้องใช้ตัวจริงคิด แล้วจะพบคำตอบในทุก ๆ เรื่อง ทุกเรื่องที่เกิดมีมูลเหตุแห่งการเกิด และผลที่ตามมา หลักเหตุและผลนั่นเอง เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยนะครับ ใน 1 วันเราทำอะไรบ้าง พิจารณาง่าย ๆ 3 อย่าง
1. กาย ว่าเรากระทำสิ่งใดบ้างที่เป็นการเบียดเบียน เบียดเบียนตัวเอง และผู้อื่น พรากชีวิต เป็นเหตุให้ชีวิตของผู้อื่นจบลง ต้องเสื่อมลง คำว่าชีวิตจึงรวมทุกอย่างในโลกนี้ที่มีกายสังขาร เราเบียดเบียนเขาอย่างไร คำว่าเบียดเบียนไม่ได้หมายถึงการฆ่าอย่างเดียว บางคนบอกว่าศีล ข้อ 1 ของพุทธองค์ ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ความหมายที่แท้จริง ข้อ 1 นั้น นอกการการฆ่าแล้ว หมายถึง การที่ไม่เบียดเบียนเขาด้วย การกินก็เป็นการกระทำทางกายอย่างหนึ่ง นี่ก็เบียดเบียนเหมือนกัน หากใช้ใจธรรมดาคิด เราคงไม่เบียดเบียนใคร แต่หากใช้ตัวจริงคิด ปัญญาก็จะแจ้งว่าวันนี้เราทำผิดอะไรบ้าง เมื่อพบการกระทำผิด จึงหาเหตุแห่งการกระทำผิด เมื่อพบเหตุแล้ว ตัวจริงจะบอกกับเราเองว่า โอกาสหน้าเราจะไม่กระทำการนี้แล้ว ดังนั้น ธรรมดาจึงไม่ธรรมดา
2.วาจา ว่ากันแล้วก็เหมือนกับการสำรวจศีล ข้อ 4 หากใช้ใจธรรมดาคิด จะไม่พบว่าสิ่งใดที่เป็นความผิดพลาดของตัวเราเอง ศีลข้อ 4 ไม่ได้บอกว่าโกหกอย่างเดียว แต่อย่ากระทำสิ่งใดอันจะนำไปสู่ความทุกข์ต่อตัวเองและผู้อื่น โดยใช้วาจาเป็นอาวุธ หากใช้ตัวจริงคิด เขาจะบอกว่า 1 วัน เราได้กระทำความผิดใดบ้างด้วยการใช้วาจาของเรา เพราะปากคนเราไม่มีเวลาเปิดปิด เปิดตลอดก็ผิดตลอด หากเราใช้ชีวิตโดยไม่ให้ตัวจริงเข้ามาดูแล เราจะทำผิดมากมาย เพราะเพียงใช้จิตที่ตื้นเขิน คิดนั่นเอง ไม่ยอมปล่อยตัวจริงให้สำแดง แต่หากตัวจริงของคุณทำงานเมื่อไหร่ วาจาที่ออกจากปากของคุณ จะถูกกรองโดยละเอียด คิดก่อนพูดและพูดในสิ่งดีดี จริง ๆ อย่างนี้ 1 วัน ธรรมดาจึงไม่ธรรมดา
3. ใจ เขาบอกว่าทุกอย่างเกิดจากใจ แล้วไปสู่การกระทำ แล้วใจทำไมถึงก่อเกิดสิ่งดีและไม่ดี ทำไม เพราะใจนี้ไม่ใช่ใจจริง เป็นใจที่ถูกเคลือบไว้ด้วย มิจฉา คือความไม่รู้ กิเลส ตัณหา เคลือบจนมองไม่เห็นใจที่แท้จริง มืดมนจังเลย ดังนั้นในแต่ละวัน จึงไม่มีสิ่งใดมากรองใจได้เลย มีอย่างเดียวคือตัวจริงของเราเท่านั้น แต่ทุกคนยังไม่รู้จักตัวจริง ของตัวเอง จึงใช้ใจธรรมดาคิด บวกกับความเคยชิน จึงไม่สามารถยับยั้งการกระทำได้ 1 วันใจเรามีอะไรบ้าง ดีไม่ดีแค่ไหน แล้วคนที่เขากำหนดหรือควบคุมใจได้ละ ก็ต้องคิดสิ่งดีดีตลอดไม่ให้ผิดพลาด รู้ไหม๊ว่าใครควบคุม แท้จริงคือตัวจริงของเรานั่นเอง เป็นตัวจริงที่เราไม่รู้จัก แต่มันก็ทำงานเสมอ และก็พ่ายแพ้ได้เสมอเช่นเดียวกัน เพราะตัวเราไม่ประสานกับตัวจริง ก็เลยต้องพลาด และก่อเกิดความทุกข์มากมาย
ใน 1 วันหากเรามองย้อนกลับไป พบเรื่องราวมากมายและความความผิดพลาดมากมาย แต่เมื่อพบความผิด เราต้องใช้ตัวจริงคิดหาเหตุแห่งการเกิดให้ได้ และนั่นจะเป็นเหตุให้เราหยุดการกระทำสิ่งที่ไม่ดีได้ แต่หากเราไม่มีเวลาทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ เลย จึงหลับใหลไปพร้อมกับปัญหามากมาย จึงเป็นตะกอนที่ตกอยู่ในจิตใจ อันจะนำไปสู่ความเคยชินนั่นเอง
วันเวลาผ่านไป จึงทำให้ตัวจริงเราโดนบดบัง เหมือนฝุ่นละอองที่เกาะจับหลอดไฟ หากไร้การทำความสะอาดอย่างเสมอ จะทำให้แสงมัวลงในที่สุดนานวันก็ไม่มีแสง เฉกเช่นตัวจริงของเรา ที่นับวันจะไม่มีโอกาสมาสำแดง มีแต่จิตตื้น ๆ ที่กระทำทุกอย่างอย่างอิสระไร้การควบคุม ไร้การยับยั้ง และนั่นคือทางที่ทำให้เราหลงอยู่ในโลกมายา อย่างขาดสติ ตัวจริงจึงรอการฟื้นคืนกลับมาสำแดง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ถึงเวลาของคุณหรือยัง....เท่านั้นเอง
จากคุณ :
จุติเทพ
- [
7 มี.ค. 50 10:56:22
A:61.7.231.50 X:61.7.231.50, 61.7.231.50
]