http://pics.manager.co.th/Images/550000001857204.JPEG
สัมมาทิฏฐิ เรื่องการแต่งกาย
สักวา สายเดี่ยว เกี่ยวเกาะอก
แสนวิตก วัยรุ่น วุ่นแสงสี
เห็นกงจักร ทักทะนง จงกลนี
ดวงชีพที่ จะบรรลัย ไม่หวั่นกลัว
สถาโน อโคจร ตะลอนหา
ท่องเที่ยวครา ราตรีกาล อันสลัว
กามารมณ์ ชมชื่น มึนเมามัว
กิเลสชั่ว รสหวาน ซาบซ่านกาย
การศึกษา เล่าเรียน ลืมเพียรพิทย์
สิ่งเสพย์ติด ผิดระบอบ ลอบซื้อขาย
เรื่องอปรีย์ ศีรษะ มิละอาย
อิ่มอบาย- ะมุข ทุกทิวา
โบสถ์วิหาร การเปรียญ เจียนสุสาน
สมภารพาล นั้นมาก ยากรักษา
สังคมเสื่อม เหลื่อมล้ำ กรรมบีฑา
นรกา คงเสบย กว่าเคยเป็น
คนกระทำ กรรมชั่ว เลิกกลัวบาป
จริตหยาบ บาปหนา พาทุกข์เข็ญ
แสงพระธรรม นำใจ หายลำเค็ญ
ยังโลดเต้น ใยเห็นฝั่ง สังสารเอย
มิจฉาทิฏฐิ เรื่องการแต่งกาย
(ว่าง) เปล่าค่ะ...(ว่าง) เปล่าไม่ได้โป๊
หนูแค่โชว์ศิลปะสมัยใหม่
จะล่อนจ้อนทั้งตัวหนักหัวใคร
หนูต้องแคร์ทำไมถ้าได้ตังค์
จะเจริญก้าวหน้าเป็น-อารยะ
ต้องกราบตีนคารวะพวกฝรั่ง
ทิ้งวิถีไทยไทยให้ผุพัง
เพราะล้าหลังล้าสมัยไม่ทันกิน
คือแบบอย่างของผู้หญิงสมัยใหม่
อย่าปล่อยให้สัตว์เพศผู้มันดูหมิ่น
มีรายได้ขาวสะอาดปราศจากมลทิน
ถ่ายภาพศิลป์สร้างสรรค์บันเทิงตา
คนเขาบ่นบอกหนูนี้ที่เป็นเหตุ
ยุพวกเปรตให้ข่มขืนและฉุดคร่า
เสียงผู้ใหญ่ตำหนิติติงมา
สิทธ์ของหนูนี่หว่าอย่าแส่ติง
ทำโหวกเหวกโวยวายได้ตังค์ไหม
ประชาชนชาวไทยที่รักยิ่ง
เซ็งพวกคนอวดรู้ไม่รู้จริง
นี่แหละสิทธิ์ผู้หญิงอย่าว่ากัน...?
( http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=chettapat&group=12 )
ความคิดเห็นในกลอนบทหลังเป็น มิจฉาทิฏฐิ ประเภท อกิริยทิฏฐิ คือ มีความเห็นว่า กรรมไม่มีจริง ไม่มีผลของกรรม บาปที่มีการทำเช่นนั้นเช่นนี้ ย่อมไม่มีแก่เขา หรือมาถึงเขา บุญที่มีการทำเช่นนั้นเช่นนี้ ย่อมไม่มีแก่เขา หรือมาถึงเขา เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติที่นำเรามาเกิดและเมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ดิ้นรนหากินกันไป ทำอะไรก็ได้ให้ตนสบายโดยไม่ต้องสนใจใครทั้งสิ้น เมื่อแก่ชราก็ตายไปตามธรรมชาติ ผู้มีความเห็นผิดนี้จึงไม่กลัวบาป ไม่มีหิริโอตตัปปะ กล้าทำความชั่วได้ทุกอย่างผู้มีความเห็นผิดเช่นนี้เพราะเข้าใจผิดว่า ตัวตนมีอยู่ และถือมั่นในรูปนั้น และยึดมั่นรูปนั้น จึงมีความเห็นผิดในเรื่องวัฒนธรรมการแต่งตัว ส่งผลกระทบต่อศีลธรรมของสังคม ตามหลักทฤษฎีไร้ระเบียบ (Chaos Theory) ที่ว่า
ชั่วผีเสื้อน้อยขยับปีก
โลกทั้งซีกไหวสะท้อนอาจร้อนหนาว
เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
ทุกเรื่องราวโยงใยในเหตุการณ์
พุทธศาสนาอธิบายไว้ด้วยหลัก ปฏิจจสมุปบาท ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกปฏิจจสมุปบาท ว่า "อิทัปปัจจยตา" (ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย ? specific conditionality) หรืออรรถกถาจารย์บางท่านก็เรียกว่า "ปัจจยาการ" (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน ? mode of conditionality; structure of conditions)
แต่ถ้าวิเคราะห์กันให้ลึกซึ้ง กลอน "(ว่าง) เปล่าค่ะ...(ว่าง) เปล่าไม่ได้โป๊" เป็นการใช้ปฏิพากย์(Paradox) ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์ คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้าม หรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นตัวอย่างเช่น เลวบริสุทธิ์ สวยเป็นบ้า สนุกฉิบหาย สวรรค์บนดิน ยิ่งรีบยิ่งช้า
"(ว่าง) เปล่าค่ะ...(ว่าง) เปล่าไม่ได้โป๊" ได้สื่อความหมายว่า แค่เปลือยร่างว่างเปล่าล้อนจ้อน แต่ไม่ไดโป๊ จึงเป็นคำพูดที่สวนกลับ หรือตรงข้ามเพราะ ความว่างเปล่าล่อนจ้อน จะไม่เรียกว่าโป๊อย่างไรได้ และสารที่จะสื่อในกลอนบทล่างนี้เป็นการสื่อความแบบประชดประชันมากกว่าที่จะพูดตรงไปตรงมา คำว่าโป๊นั้น ในภาษาแขก เรียกคนโป๊ หรือ ชีเปลือยว่าพวกลัทธิ ทิคัมพร แปลว่า นุ่งฟ้า (นุ่งลมห่มฟ้าหรือแก้ผ้านั่นเอง ภายหลังเกิดความละอาย จึงนุ่งขาว ห่มขาว แล้วเรียกตนเองว่า เศวตามพร แล้วแยกเป็นอีกหนึ่งลัทธิ)
คำ : ทิคัมพร
เสียง : ทิ-คำ-พอน
ที่มา : (ป., ส. ทิคมฺพร ว่า นุ่งทิศห่มทิศ หมายความว่า ไม่นุ่งผ้า)
นิยาม : ชื่อนิกายในลัทธิศาสนาเชนหรือเดียรถีย์นิครนถ์ซึ่งประพฤติตนเป็นคนเปลือย.
( http://rirs3.royin.go.th/ridictionary/lookup.html )
เดียรถีย์นิครนถ์ปรากฎอยู่ในนิทานเรื่องครูทั้ง ๖ ความว่า
ก็แลเรื่องครูทั้ง ๖ นี้ มีปรากฏในวาระพระบาลีใจความว่า ครูทั้ง ๖ นั้น คือ ปูรณกัสสปเป็นที่ ๑ กิระ ดังได้ยินมาว่า ตระกูลหนึ่งมีทาสอยู่ ๙๙ คน ครั้นได้ทาสมาอีกคนหนึ่งจึงครบ ๑๐๐ นายเงินจึงให้ชื่อว่าเจ้าปูรณะ เหตุว่าเต็มร้อย แล้วจึงเรียกตามโคตรว่าเจ้าปูรณกัสสป ครั้นอยู่นานมา เจ้าปูรณกัสสปก็หนีจากนายเงิน ไปพบโจรทั้งหลายๆ ก็ชิงเอาผ้านุ่งผ้าห่มเสียหมด นายปูรณกัสสปก็ไปแต่ตัวเปล่า เข้าไปสู่บ้านแห่งหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายได้เห็นก็สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ จึงพากันให้ข้าวน้ำขนมของกินต่างๆ นายปูรณกัสสปก็ยกตัวเป็นศาสดา มีศิษย์นับถือมาก เป็นนักบวชไม่นุ่งผ้า ฯ ครูที่ ๒ ชื่อมักกขลิโคสาล ด้วยคลอดที่โรงโค เดิมเป็นทาสเขา นายเงินให้แบกหม้อน้ำมัน เดินล้มลงทำหม้อน้ำมันแตก กลัวนายเงินทำโทษลุกขึ้นวิ่งหนี นายเงินฉวยผ้านุ่งผ้าห่มไว้ไปแต่ตัวเปล่า มนุษย์ทั้งหลายเห็นเจ้ามักขลิโคสาลก็ชวนกันนับถือว่า เป็นพระอรหันต์ เนื้อความนอกนั้นก็เหมือนเรื่องปูรณกัสสป ฯ ครูที่ ๓ ชื่อว่า นิครนถ์นาฏบุตร ครูผู้นี้ได้ชื่อว่า นิครนถ์ เพราะเคยพูดเสมอๆ ว่า พวกข้าพเจ้าไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด พวกข้าพเจ้าขาดเครื่องร้อยรัดคือกิเลสเสียแล้ว กิเลสเครื่องร้อยรัดในวาทะของเขานั้น ได้แก่ กิเลสเครื่องกังวล อันมีราคะเป็นต้น ซึ่งมีกังวลอยู่ในเรือนของเขาเป็นกิจ มีนา สวน บุตรภรรยา เป็นอารมณ์ที่เรียกว่านาฏบุตรนั้น เพราะเป็นบุตรของนักระบำ ด้วยวาทะของเขานั้น ชนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นพระอรหันต์ ฯ ครูที่ ๔ มีชื่อว่า สญชัยเวลัฏฐบุตร ครูผุ้นี้ได้ชื่อว่า สญชัยเพราะเป็นชื่อเดิม ที่เรียกกันว่า เวลัฏฐบุตร เพราะเป็นบุตรแห่งช่างจักสาน ได้ตั้งตนเป็นคณาจารย์สั่งสอนมหาชนว่า ตนเป็นพระอรหันต์ ชนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นพระอรหันต์ ฯ ครูคนที่ ๕ ชื่อว่า ปกุทธกัจจายนะ ครูผู้นี้ถือว่า น้ำเย็นมีชีวิต ไม่กินไม่ใช้น้ำเย็น จะกินจะใช้ก็กินก็ใช้แต่น้ำร้อนและน้ำต้ม ถ้าไปในที่ใดก็ข้ามน้ำและเหยียบน้ำ ถือว่าศีลขาด จึงทำทรายให้เป็นกองขึ้นแล้วก็สมาทานศีลกับกองทรายแล้วจึงไป ครูผู้นี้ชนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นพระอรหันต์ ฯ ครูที่ ๖ ชื่อว่า อชิตะเกสกัมพล ครูผู้นี้นุ่งฟ้าทำด้วยผมคนสำแดงลัทธิของตนตามความเห็น ชนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นพระอรหันต์ ฯ ครูทั้ง ๖ นี้เป็นคนพาลทำให้มนุษย์ชาวบ้านพินาศเสียเป็นอันมาก จากทางสวรรค์และนิพพาน เพราะฉะนั้น พระศาสดาจารย์จึงทรงตรัสว่า คบคนพาลเป็นการพินาศทั้งโลกนี้และโลกหน้า คบปราชญ์ก็ให้ได้ความเจริญทั้งโลกนี้และโลกหน้า ( http://bright-sky.exteen.com/ )
สำหรับทางแก้เรื่องพฤติกรรมการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมของวัยรุ่นนั้น ทางแก้สถานศึกษาควรเน้นการสอนในเรื่อง อสุภกรรมฐาน เพื่อทำให้เกิดนิพพิทาญาณ เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด (พระอริยเจ้าทุกท่านต้องผ่าน อสุภะกรรมฐานทั้งสิ้น)
อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงาน รวมความแล้วได้ความว่า อสุภกรรมฐาน คือการตั้งอารมณ์เป็นการเป็นงานในอารมณ์ที่เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยสดงดงาม มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน สำหรับอสุภกรรมฐานนี้เป็นสมถกรรมฐานที่ให้ผลในทางกำจัดราคะจริต นั่นก็คือการค้นคว้าหาความ จริงจากวัตถุที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ที่นิยมชมชอบกันว่าสวยสดงดงาม ที่บรรดามวลชนทั้งหลายพากันมัวเมา หลงใหลใฝ่ฝัน ว่าสวยสดงดงามจนเป็นเหตุให้เกิดภยันตรายแก่ตน ลืมชีวิตความเป็นอยู่ของตน เป็นการประพฤติที่ฝืนต่อกฎของความ เป็นจริง เป็นเหตุของความทุกข์ที่ไม่รู้จักจบสิ้น โปรดดู http://www.kmitl.ac.th/buddhist/tumma/asupa.html
ท่าน ที่เคยบรรพชาอุปสมบท คงจะจำได้ว่า เวลาเข้าไปขอบรรพชากับพระอุปัชฌาย์นั้น ท่านจะให้ ท่อง ตจปัญจกกรรมฐาน (ตะ-จะ-ปัน-จะ-กะ-กำ-มะ-ถาน) มี ๕ อย่าง คือ เกสา (ผม) โลมา (ขน) นะขา (เล็บ) ทันตา (ฟัน) ตะโจ (หนัง) ถ้าว่าโดย อนุโลม คือว่าไปตามลำดับก็เป็นดังนี้ เกสา-โลมา-นะขา-ทันตา-ตะโจ แล้วท่านก็ให้ว่าย้อนลำดับเป็น ปฏิโลม ดังนี้ ตะโจ-ทันตา-นะขา-โลมา-เกสา ให้ว่ากลับไปกลับมา เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ เพราะถ้าจิตไม่เป็นสมาธิก็จะว่าสับลำดับกันไปหมด อย่างนี้ท่านเรียกว่า ตจปัญจกรรมฐาน ทั้ง อนุโลม และ ปฏิโลม
ตจปัญจกรรมฐาน นี้ใช้เพื่อฝึกจิตพิจารณา กาย ของเราว่า ไม่เที่ยง ทั้ง เกสา (ผม) โลมา (ขน) นะขา (เล็บ) ทันตา (ฟัน) ตะโจ (หนัง) เป็นสิ่งไม่สะอาดต้องหมั่นขัดถู ถ้าไม่ขัดถู ก็จะมีกลิ่นเหม็น ไม่สวยงาม น่ารังเกียจ เสื่อมสลายได้ตามกาล ที่เรามักหลงไปว่า สวย ว่างาม นั้น เพราะจิตเราปรุงแต่ง สมมติว่าเรากินข้าวอยู่แล้วเห็นมีเศษเล็บ ผม ขน ฟันหรือ เศษหนัง คน ปนอยู่ในอาหารเราก็คงจะต้องอาเจียนเป็นแน่ เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้ว จิตเราก็จะคลายความ กำหนัดในกามคุณ
แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 20:01:51
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 17:53:59
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 17:41:05
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 17:39:24
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 17:33:41
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 17:10:51
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 17:07:45
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 17:06:14
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 16:58:01
จากคุณ :
กวินทรากร
- [
7 มี.ค. 50 16:55:28
]