นาฬิกาข้อมือของชายหนุ่มชี้บอกเวลาห้าทุ่มเศษๆ เขาเตร็ดเตร่อยู่ในมหานครที่เต็มไปด้วยแสงสีแห่งนี้ แม้กลางวันจะดูเต็มไปด้วยผู้คน แม้จะสว่างไสวมีชีวิตชีวาด้วยสีสัน ทว่าท่ามกลางผู้คนที่มากมายนั้น ...
มันก็ไม่ต่างอะไรกับเวลาค่ำคืนเช่นนี้
ทำไมน่ะหรือ ... นั่นก็เพราะแม้กลางวันผู้คนจะมากมาย
แต่ไฉนเขาเหล่านั้นกลับมองไม่เห็นซึ่งกันและกัน เสมือนไม่มีใครที่เดินสวนกัน ไม่มีใครที่ยืนใกล้กัน ... ไม่มีคำขอบคุณเมื่อมีใครลุกให้นั่งบนรถประจำทาง ... ไม่มีแม้คำขอโทษหากเผลอไผลเหยียบเท้าใครสักคน
เช่นนั้นมันจะต่างอะไรกับกลางคืนเล่า ...
กลางคืนที่ว่างวายไร้ผู้คน ... กับกลางวันที่ผู้คนว่างวายไร้หัวใจ
มันคงไม่ต่างกันสักเท่าไร ?
ชายฝรั่งนั่งบนราวสะพานข้ามคลองปล่อยอารมณ์ กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรแห่งนี้แม้ไม่ใช่บ้านเกิด แต่ก็มีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนกับบ้านเมืองของเขา ... โดยเฉพาะหัวใจของผู้คน
" เฮ้ย ! จะหนีไปไหนวะ หยุดๆๆ ! ปรี๊ดดดดๆๆๆ !!! " เสียงฝีเท้าพร้อมเสียงตะโกนไล่กวดเข้ามาทางเขาตามด้วยเสียงนกหวีดที่เป่าดังยาวทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์
เด็กชายคนหนึ่งอายุราว 8 - 9 ขวบวิ่งมาทางเขา ด้านหลังมีชายสองคนที่ดูคล้ายตำรวจแต่แต่งกายเพียงครึ่งท่อนกำลังไล่กวดตามมาติดๆ
ในที่สุดชายทั้งสองก็ไล่จนทัน เด็กที่ถูกไล่ถูกจับกดนอนคว่ำกับพื้น คนหนึ่งกดข้อมือทั้งสองไขว้หลังไม่ให้ดิ้นหลุด อีกคนใช้เท้าหวดเข้าที่ชายโครง
ถึงตอนนี้เด็กน้อยถึงกับร้องโอ๊กออกมา แต่มิใยที่ชายผู้เป็นตำรวจ ' ครึ่งท่อน ' จะเห็นใจ เขากลับทรุดตัวลงนั่งยองๆก่อนที่จะใช้ฝ่ามือตบฉาดเข้าที่ใบหน้าสามครั้งติดๆกัน
" ไอ้เลว ! ริอ่านเป็นขโมยตั้งแต่เด็ก " เสียงคำรามจากชายผู้ซึ่งทั้งเตะทั้งตบไปเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนความเกรี้ยวกราดในใจนั้นจะยังมิบรรเทา
" ผมขอโทษ ... ผมจะไม่ทำอีกแล้ว " เป็นเสียงวิงวอนขอความเมตตาจากผู้ต้องหา
" :-) ทำ:-)แล้วจะแค่ขอโทษเหรอวะ อย่างงี้แม่ งก็ไม่ต้องมีกฏหมายสิวะ " สิ้นประโยคก็ตามด้วยอีกฉาดใหญ่จากหลังมือ
" กุจะเอามืงไปขังให้หลาบจำ สักเจ็ดวันดีไหม หา !! " ตามด้วยตะคอกใหญ่ที่ข้างหู
" เดี๋ยว ... เดี๋ยวคราบ " หนุ่มฝรั่งอดรนทนไม่ไหวรีบลุกเดินไปใกล้ๆ ที่จริงแล้วเวลาห้าทุ่มกว่านั้นก็ยังมีรถและคนที่เดินผ่านไปมาอยู่
แต่ดูเหมือนทุกคนทำเป็นไม่เห็นเหตุการณ์สักคน !?
" อะไรวะ ไอ้ฝรั่ง ... มืงมาเสือกอะไรด้วย " ตำรวจคนที่จับข้อมือเด็กน้อยตะคอกใส่ คนนี้ดูคล้ายเป็นลูกน้องของอีกคน
" ป ... ปล่าวคราบ โผมเพียงแต่อยากให้คุณตำรวจเพลาๆมือหน่อยน่ะคราบ เขาก็เป็นเด็กอยู่นะคราบ " ฝรั่งผมสีน้ำตาลรีบอธิบายถึงจุดประสงค์ของตัวเอง
" ไม่ใช่เรื่องของมืง นี่มันเรื่องของคนไทยว่ะ ไอ้นี่มันริเป็นขโมยตั้งแต่เด็กต้องเอาให้หลาบจำ ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะทำอีก " ตำรวจคนที่ดูเป็นหัวหน้าบอกเสียงดุๆ
" แล้วน้องเขาขโมยอะรายเหรอคราบ "
" แม่ งเสือกเข้าไปขโมยนมขวดในเซเว่นน่ะสิวะ สันดาน:-) ! ถุย ! " ประโยคบอกเล่าจากชายคนเดิมตามด้วยคำสบถและถ่มน้ำลายใส่หน้าเด็กน้อย
" เท่านั้นเองเหรอคราบ !? " ฝรั่งหนุ่มถามเสียงสูงด้วยความงุนงง
" เออ ! เดี๋ยวจะเอาแม่ งไปขังให้เข็ด ทำร้านเขาเสียหายหมด " ตำรวจที่จับล็อกเมื่อครู่หิ้วคอเสื้อเด็กผู้ต้องหาขึ้นมา
" เดี๋ยวๆ เดี๋ยวโผมชดใช้ให้แล้วกันนะคราบ "
ชายหนุ่มรีบบอกด้วยความอดสงสารชะตากรรมเด็กชายที่จะต้องไปเผชิญต่อในห้องขังไม่ได้
" ฮะ ! ชดใช้ยังไงวะ ไอ้ฝรั่งขี้นก !? " ตำรวจทั้งสองถามแทบจะพร้อมกัน
" เดี๋ยวโผมจ่ายค่าเสียหายให้กับเซเว่นให้คราบ ... นมแค่ขวดเดียวใช่หมายคราบ "
" อะฮ้า ! ใจดีนี่หว่าไอ้ฝรั่ง แล้วค่าเสียเวลา ค่าแรงกับค่าทำขวัญของร้านเซเว่นนั่นล่ะจ๊ะ "
ตำรวจคนที่ดูมียศสูงกว่าเข้ามากอดคอหนุ่มต่างชาติ
" อ๋อ ... เดี๋ยวโผมจัดการให้ด้วยก็ได้คราบ " เขาเริ่มรู้แล้วว่าตำรวจทั้งคู่ต้องการอะไร
" ห้าโร้ยพอไหมคราบ " ชายหนุ่มควักๆเงินในกระเป๋า เขารู้ดีว่าควรหาธนบัตรไทยไปให้ หากจ่ายเป็นเงินสกุลยูโรอาจจะไปยั่วโมโหชายทั้งสองได้
" เฮ้ย ! อาไร้ !? ฝรั่งอย่างเอ็งรวยจะตาย "
" สามพันโว้ย ! สามพันขาดตัว ไม่งั้นไอ้เด็กห่านี่ไปกินตีนในคุกแน่
!! " นายตำรวจโก่งราคาพร้อมชี้ไปทางเด็กน้อยที่ตอนนี้ยืนตัวสั่นอยู่
เคราะห์ดีที่หนุ่มฝรั่งพอมีเงินสกุลไทยติดตัวอยู่บ้าง เขายื่นธนบัตรใบละพันสองใบกับใบร้อยใบยี่สิบรวมๆกันแล้วได้สามพันพอดี ทีนี้ชายหนุ่มก็เหลือเงินที่เป็นสกุลไทยเพียงแค่เหรียญห้ากับเหรียญบาทอย่างละเหรียญในกระเป๋ากางเกง
" เออๆ โชคดีของมืงนะไอ้เด็กเวร เฮ้ย ! ไปกินเหล้ากัน ! " ตำรวจครึ่งท่อนรีบคว้าเงินจากมือฝรั่งก่อนหันไปตบกระโหลกเด็กชายหนึ่งครั้งแล้วเรียกลูกน้องไปหาความสำราญกับเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง
ตำรวจทั้งสองเดินไปไกลแล้ว เด็กชายผู้ซึ่งเมื่อครู่โดนทุบตีตอนนี้ปล่อยโฮออกมาดังลั่นถนน
" เอ้าๆ หนู อย่าร้องไห้ อายเขา " ฝรั่งขี้นกในสายตาตำรวจรีบบอก
" ขอบคุณครับพี่ " เด็กชายรีบขอบคุณ ตอนนี้ชายต่างชาติเริ่มสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าเด็กน้อยนั้นทั้งเก่าและขาดวิ่น
" แล้วทำไมไปขโมยเขา ทีหลังอย่าทามนะ " ชายหนุ่มยิ้มให้กำลังใจพร้อมกับก้มสำรวจบาดแผลฟกช้ำตามร่างของเด็กน้อย
" ผมจะเอาไปให้แม่ครับ ... แม่ผมหิว " เสียงเศร้าๆจากเด็กชาย
" อ้าว !แม่เธอเป็นอะไร ... แล้วพ่อเธอล่ะ ? " ชายหนุ่มงง
" แม่เป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ส่วนพ่อผูกคอตายไปแล้ว " คำกล่าวเรียบๆของเด็กน้อยแต่มันเสียดลึกเข้าไปในจิตใจของชายหนุ่ม
" โอ ... ไอขอโทษ แล้วบ้านเธออยู่หนายล่ะ "
" บ้านผมอยู่ตรงนี้เอง น้าจะไปด้วยกันไหมล่ะ " เด็กน้อยชวน
" ดีๆ โผมก็ไม่รู้จะไปไหนพอดี " ฝรั่งผู้มองโลกในแง่ดีบอก
เมื่อถึง ' หมู่บ้าน ' ที่เป็นเพียงเพิงไม้ปะๆกันเรียงติดเป็นพรืด ด้านในบ้านของเด็กชายที่มีเพียงห้องเดียวนั้น ท่ามกลางแสงสว่างจากเทียนไข
ตรงกลางของห้องอันคับแคบมีร่างที่ผ่ายผอมของหญิงวัยกลางคนนอนอยู่ ใบหน้านั้นซีดเซียวดูราวกับไร้ชีวิต
แต่เมื่อวินาทีแรกที่เธอเห็นหน้าลูกชาย
ฝรั่งหนุ่มสัมผัสได้ถึง ' ชีวิต ' ที่กลับคืนมาอีกครั้งของหญิงผู้ป่วยเป็นอัมพาต
" แม่ครับ พี่คนนี้เขาช่วยผมจากตำรวจ " เด็กน้อยเล่าให้มารดาฟังขณะโผเข้าไปสู่อ้อมกอด
หญิงกลางคนหันมาพยักหน้าแทนคำขอบคุณก่อนจะหันไปถามบุตรชาย
" ลูกไปขโมยของเขาอีกแล้วหรือเปล่า "
" ก็ ... ก็ผมจะเอามาให้แม่ " เสียงอ่อยๆจากคนที่รู้ตัวว่าทำผิด
หยาดน้ำใสๆไหลออกจากนัยน์ตาของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าน้ำตานี้มิใช่มาจากความตื้นตันของผู้เป็นแม่ที่รู้ว่าลูกยอมเสี่ยงให้แม่อิ่มท้องหรอก
หากแต่มันเป็นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดจากเบื้องลึกของหัวใจ !
" แม่ไม่ต้องการ ลูกก็รู้ ... แม่ยอมอดเสียยังดีกว่าให้ลูกเป็นขโมย " น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อยทว่าจริงจังในความรู้สึก
" แต่ ... แต่แม่ ... " เด็กชายพยายามจะเถียง แต่เขาก็เถียงไม่ออกเพราะเด็กน้อยรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของผู้เป็นมารดาผ่านทางหยาดน้ำตาที่ไหลหยดกระทบท่อนแขน
มันทั้งอบอุ่นและเย็นเยียบอย่างน่าประหลาด
" สัญญากับแม่นะว่าจะไม่ไปขโมยของใครอีก " ผู้เป็นมารดาอบรมลูกชายที่ตอนนี้ได้แต่ซบหน้าร้องไห้อยู่กับอกแม่
แสงเทียนในห้องถูกดับลง ชายฝรั่งขอนอนค้างที่ห้องแคบๆแห่งนี้ด้วยเกรงว่าหากออกไปเดินท่อมๆกลางดึกคนเดียวอาจจะโดนพวกมิจฉาชีพทำร้ายเอาได้
ท่ามกลางความเงียบสงัด ได้ยินก็เพียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอของหญิงอัมพาต ตัวของหนุ่มฝรั่งเองก็นึกอยากจะหลับอยู่เหมือนกันแ ทว่าวันนี้ที่ผ่านมามีอะไรที่น่าตื่นเต้นจนข่มตาไม่ลง จะทำได้ก็เพียงแต่นอนนิ่งๆให้ร่างกายได้พักผ่อนทุเลาความเครียดเท่านั้น
สัมผัสบางอย่างที่ข้อมือซ้ายของชายชาวต่างชาติ ?
มือเล็กๆนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเด็กชายเจ้าของห้อง มือนั้นกำลังเกาะแกะแถวๆนาฬิกาข้อมือ คล้ายกับว่ากำลังพยายามที่จะถอดออก
ชายฝรั่งรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แต่เขาก็มิได้โวยวายออกมา
' เด็กน้อยคงลำบากจริง ส่วนตัวเราเองนั้นก็พอมีกินมีใช้อยู่แล้ว หากเขาต้องการเราก็ยินดียกให้ ' นั่นเป็นความตั้งใจของชายหนุ่ม
ทว่ามือเล็กนั่นกลับหยุดการกระทำอันเนรคุณ
เงาร่างของเด็กน้อยคลานไปที่เท้าของผู้เป็นแม่ที่หลับไหล
เงานั้นก้มลงกราบแทบเท้า
" ผมขอโทษครับ ... ผมจะไม่ขโมยของใครอีก ผมจะไม่เผลอใจอีกแล้ว " เสียงสะอื้นไห้ของเด็กชาย จากนั้นเขาก็ล้มตัวลงนอนข้างๆผู้เป็นมารดาด้วยใจเป็นสุข
นี่สินะ ... แท้จริงแล้วผู้คนล้วนแล้วแต่ไม่มีใครอยากเลวโดยเนื้อแท้หรอก หากเลือกได้ใครๆก็ล้วนอยากทำแต่ความดี
แต่บางครั้งแต่ละคนอาจขาดการอบรมสั่งสอน หรือบางขณะความทุกข์ยากลำบากก็อาจเปลี่ยนแปลงคนที่ดีให้เป็นคนที่เลวได้
บางครั้งกระแสสังคม ค่านิยมฟุ้งเฟ้อ ค่านิยมที่ดูแต่วัตถุอาจหล่อหลอมจิตใจเอื้ออารีให้กลายเป็นหุ่นยนต์ที่รู้จักแต่ภาระหน้าที่จนไม่ใส่ใจคนรอบข้าง
แต่ตอนนี้ ... ที่นี่ เด็กน้อยคนนี้แม้เขาจะยากไร้ แม้จะยากจน ขาดโอกาส แต่บัดนี้จิตใจของเขารับเอาคำสอน รับเอาความดีงามของผู้เป็นแม่เอาไว้แล้ว
ประตูสู่อนาคตของเด็กชายคนนี้จักต้องเปิดให้เห็นแสงสว่างอย่างแน่นอน
แม้อุปสรรคข้างหน้าจะยังมี ... แต่เด็กน้อยคงไม่หวนสู่ทางที่ผิดอีก
รุ่งสาง ชายหนุ่มลุกออกจากที่นอนตั้งแต่ฟ้าสาง เขาไม่ได้วางเงินหรือนาฬิกาทิ้งไว้ให้แต่อย่างใด ด้วยเขาเชื่อว่าแม่ลูกคู่นี้คงไม่ต้องการมัน
หากแต่เขาต้องการความช่วยเหลือด้านโอกาส ซึ่งนั่นชายหนุ่มอาจจะพอช่วยได้
ตอนนี้ชายหนุ่มไม่ลังเลในชะตากรรมของตนแล้ว เด็กน้อยที่ยากไร้ แม่ที่เป็นอัมพาตยังกัดฟันทนแล้วเขาล่ะทำไมจะทำไม่ได้
ไพ่จักรพรรดิ ... ชายหนุ่มรู้แต่แรกแล้วว่าหมายถึงอะไร
... และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว
หนุ่มฝรั่งเดินออกจากที่พักเงียบๆ กดโทรศัพท์มือถือ เพียงครู่เดียวรถลิมูซีนคันงามก็ปราดเข้ามารับอย่างรวดเร็ว
สาวน้อยนักพยากรณ์ถึงกับสำลักข้าวทันที เมื่อหนังสือพิมพ์ตรงหน้าปรากฏภาพและหัวข้อข่าวที่หน้าหนึ่ง ภาพชายหนุ่มที่แต่งองค์ทรงเครื่องนั้นดูคุ้นตามากมาย
' เฮนดรี้ ปริ๊นส์แห่งราชวงศ์เอลิเซียส์รับสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์พร้อมเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ '
ในเนื้อความด้านล่างนั้นเขียนต่ออีกว่า
' กษัตริย์เฮนดรี้เสด็จมาพร้อมที่จะถกปัญหาเด็กเร่ร่อนในเมืองไทยซึ่งพระองค์ได้ทรงประสบพบเมื่อครั้งมาประพาสก่อนเข้ารับตำแหน่ง '
เด็กสาวยิ้มนิดๆ ด้วยรู้สึกดีใจที่มีคนยินดีที่จะแบกรับชะตากรรมของตนและพร้อมที่จะทำมันอย่างเต็มที่ ... ด้วยความเสียสละ
เสมือนเช่นเดียวกับตัวเธอ !?
แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 50 11:24:11
แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 50 11:21:25
แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 50 18:09:39