ความลับที่ยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่ง
(ตอน(3)....ใยต้องบังคับตัวเอง)
เมื่อคืนนี้ ( 5 มี.ค.50) ผมไปเตร็ดเตร่ในงานบวงสรวงพ่อขุนงำเมือง เขาจัดทุกปีต้นเดือน มีนาคม หน้าอนุสาวรีย์บริเวณกว๊านพะเยา ลืมบอกไปครับถึงรายละเอียดกว๊านพะเยา บอกกันหน่อยเผื่อใครอยากไปเที่ยวบ้าง กว๊านพะเยาอยู่ในตัวเมืองเลยละครับ อิจฉาคนพะเยานะ เป็นแอ่งน้ำเกิดการการยุบตัวของเปลือกโลก โน่น 70 ล้านปีมาแล้ว มีลำห้วย 18 สาย เนื้อที่ 12,831 ไร่ (กว้างมากมาก) ต่อมามีการสร้างฝายจึงเกิดบึงน้ำธรรมชาติ แหล่งพันธุ์ปลาน้ำจืด 50 ชิด และเป็นที่เพาะพันธุ์ปลาบึกแห่งแรก อย่างที่บอกไว้ตอนแรก บริเวณกว๊านพะเยามีสวนสาธารณะ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ชมพระอาทิตย์ อันนี้ต้องบอกเลยว่าสวยงามมาก ๆ โดย 2-3 วันที่ผ่านมามีเมฆหมอกหนาหน่อย ทำให้เราเห็นดวงอาทิตย์กลมมน แดงเดือดอยู่บนท้องฟ้า ปกติตาเปล่ามองไม่ได้นะแสงมันจ้า แต่วันนี้เหมือนพระจันทร์เลยแต่ดวงมันสีแดงแดงจริง ๆ เราสามารถล่องเรือชมวัดที่จมอยู่ในกว๊าน อายุกว่า 400 ปี วิถีชีวิตประมง 13 ชุมชน OTOP รอบกว๊าน เป็นไงครับโปรโมทให้เรียบร้อย วันหน้าจะพาไปท่องเที่ยวที่อื่น ๆ บ้าง
มาเล่ากันต่อถึงเรื่องเมื่อคืน ( 5 มี.ค.50) เขามีการแสดงมากมาย การฟ้อนต่อหน้าพ่อขุนงำเมือง ตกแต่งสถานที่สวยงามตามสไตล์ล้านนา ผู้คนมากมายเดินจนต้องเบียดเสียดกัน สถานที่จัดงานเขาเหมาะมาก ๆ เลย เพราะอยู่ริมกว๊านพะเยา ตอนบ่ายที่ผ่านมาเขามีพิธีบวงสรวง มีการแห่เครื่องสักการะจากบนบกและทางเรือ ตั้ง 200 ลำ ในงานมีกิจกรรมมากมาย โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขาย ของเยอแยะไปหมด โดยเฉพาะของกิน สด คาว หวาน พร้อม ย่าง ปิ้ง เผา ลวก โอ๊ยสารพัดเดินดูกันตาลาย กลิ่นโชยไปทั้งงาน แต่เราก็ได้แต่มองผ่าน ๆ เพราะเราไม่กินประเภทนี้
ตลอดริมกว๊านผู้คนมานั่งจับกลุ่มกันส่งเสียงเฮฮา มากกว่าวันปกติแน่นอน ผมเดินอยู่คนเดียวรู้สึกเขินจัง เลยเอาโทรศัพท์ยกขึ้นมาคุยทั้งที่ไม่มีใครโทรมา ที่จริงคนขี้เหร่อย่างเราใครจะมอง คิดได้ก็ไม่เขินอีกต่อไป ผมเดินไปชมการแสดงตามที่ต่าง ๆ เรื่อยไป เวลามีงานเทศกาลคนก็เยอะจริง ๆ นะ มาจากทุกอำเภอ 7 อำเภอ 2 กิ่ง รถยนต์จอดทุกมุม เดินเที่ยวงานคนเดียวก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง ปกติไม่ชอบเดินคนเดียว เพราะคนชอบมอง ไม่รู้มองอะไรหล่อก็ไม่หล่อ แต่มีคนบอกนะว่าผมเหมือน พี่แด๊ก (ลิขิต เอกมงคล) เที่ยวชมบรรยากาศสักพักพอสนุก ก็กลับไปพักผ่อนดีกว่า แหม คืนนี้ครึกครื้นดีจังเลย
ตื่นเช้าขึ้นมาขับมอเตอร์ไซด์ผ่านที่เขาจัดงานเมื่อคืน เงียบสนิท เห็นแต่ขยะที่กลาดเกลื่อนไปทั่ว กับคนเก็บขยะ โอ้ งานหนักน่าดูนะเนี่ย เมื่อคืนคนเยอะ แต่วันนี้ขยะเยอะกว่าคนอีก ยังสงสัยเลยทำไมเมื่อคืนเขาไม่ทิ้งขยะลงถังกันเลยเหรอ มันถึงได้เต็มพรึดซะขนาดนี้ มองไปก็นึกขึ้นได้ เมื่อคืนยังวุ่นวายอยู่เลย วันนี้กลับสงบเงียบ กลับไปมองถึงใจคนบ้างก็เฉกเชนเดียวกัน มีทั้งสงบมีทั้งวุ่นวาย สลับสับเปลี่ยนกันไปตามเทศกาล (สิ่งแวดล้อมที่มากระทบ) ทำให้คนเราวุ่นวายและสงบบ้าง ที่บอกว่าสงบบ้างเพราะดูเหมือนความวุ่นวายมันจะมากกว่าความสงบ หาความสงบไม่ได้เลย หลายคนจึงต้องออกไปแสวงหาความสงบกัน แปลกดีนะ
ความสงบเกิดจากตัวเองแท้ ๆ แต่กลับต้องไปแสวงหากันภายนอก บ้างก็ไปวัด วัดใหญ่ วัดเล็ก วัดต่างจังหวัด วัดหลวงพ่อดัง ๆ แต่เพื่อความสงบ ตกลงว่าความสงบนี้ต้องใช้วิธีบังคับเอา ต้องสั่งจิตตัวเองว่าเธอต้องสงบ ต้องสงบ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ให้มันสงบคงยาก จิตคนพล่านยิ่งกว่า ลิงเสียอีก จับยากมาก แต่ทุกคนรู้หรือเปล่าว่าความสงบนี้ไม่ต้องแสวงหาหรอก มันอยู่ข้างในเราทุกคน โดยไม่ต้องบังคับมันเลยแม้แต่น้อย ความสงบที่เกิดจากการบังคับ ถือเป็นความสงบที่ไม่เที่ยงแท้ ทำไมถึงไม่เที่ยงแท้ ก็เพราะมันสงบได้ก็ต้องข่มตา ต้องนั่งนิ่ง ไม่ไหวติง ข่มตาแล้ว ความคิดก็ยังหมุนติ้ว ๆ หลายเรื่องราวล่อลอยออกมาเป็นสาย กว่าจะเข้าสมาธิก็กินเวลาไปหลายนาที พอเข้าสมาธิ เผลอแวบเดียว จิตก็วิ่งออกไปอีกแล้ว ก็ต้องเรียกกลับมาอีก
แม้นว่าจะมีกุสโลบายกำหนดจิตจดต่อกับอะไรก็ตาม มันก็แวบไปอีกจนได้ นั่งได้ 20 นาที สังขารก็เริ่มรับไม่ได้ เริ่มปวดเมื่อย แล้วสมาธิก็หายไปจนได้ ปวดหนักเข้าก็เอวัง ถอนสมาธิ ลืมตาขึ้นมาก็รู่สึกโล่งอยู่ แต่สงบหรือไม่ ยังไม่รู้ แต่รู้ว่าได้นั่งสมาธิแล้ว เออ สบาย! อย่างน้อยก็พอจะมีบุญกุศล แล้วบุญกุศลเกิดจากอะไร ก็ในขณะนั่งสมาธิ จิตใจไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดให้ร้าย ไม่คิดเบียดเบียน ไม่คิดในทางผิดศีลธรรมจรรยา สงบได้ทั้ง กาย วาจา ใจ จิตก็เลยเป็นกุศล เมื่อแผ่บุญกุศลให้ใคร ให้กับสัพพสัตว์ เขาก็ได้รับอานิสงค์กุศลจากเรา มีคำกล่าวว่า ทำสมาธิ(จริง ๆ) 5 นาที บุญกุศลยิ่งกว่าสร้างยอดเจดีย์ทองคำซะอีก
แต่ความสงบเราต้องนั่งเหรอ แล้วทำสมาธิได้ตลอดหรือเปล่า สงบคือสงบ แต่สงบมิใช่หยุด สงบอยู่ได้ทุกภาวะ ทุกอิริยาบถ ทุกท่วงท่า ทุกภาวะ ทุกสิ่งแวดล้อม ดูเหมือนจะยากอยู่จริง ๆ จิตของคนเรานั้นถูกสภาวะต่าง ๆ มารุมเร้ามากมาย จิตก็กระเจิงไปด้วยการถูกกระทำ คนเรามีความเคยชิน เพราะสภาวะภายนอกมากระทบ อายตนะ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) หากยึดติดจึงเป็นความเคยชิน ความเคยชินอาจเป็นสิ่งดีและไม่ดี ถ้าถูกใจเราก็สบาย ถ้าไม่ถูกใจเราก็ทุกข์ เครียด หากเราสามารถทำให้ อายาตนะได้สัมผัสถึงความจริงแท้ สภาวะที่ตั้งมั่น ไม่เอนเอียงไปจากความปกติ เรียกว่าไม่ปรุงแต่ง (อสังขตะ) หรือไม่ถูกปรุงแต่งก็จะเป็นปกติได้ เมื่อเป็นปกติ เราเรียกว่าศีล เมื่อเรามีศีล หรือปกติ จึงไม่ก่อเกิดให้เอนเอียง ทำทุกอย่างด้วยความมีสมาธิ เตือนสติได้ตลอดเวลา จึงนำไปสู่ปัญญา ในการเตรียมรับกับทุกสภาวการณ์ได้เป็นอย่างดี แน่นอนทั้งหมด คือความสงบที่แท้จริง
มีสงบจึงมีเคลื่อนไหว มีเคลื่อนไหว จึงมีสงบ จะต้องเป็นทวิภาวะเสมอ เมื่อสงบจึงเคลื่อนไหว เมื่อเคลื่อนไหวจึงสงบ สภาวะเช่นนี้จึงทำให้ ก่อเกิด อันนี้จะพูดในบทต่อไปครับ การประคองความสงบ คือประคองศีลไปด้วย ทำไมต้องประคอง เพราะจิตธรรมดาของเรามีโอกาสทำการเสี่ยงเสมอ อาจทำได้หรือทำไม่ได้ จึงไม่เที่ยงแท้ ต้องใช้คำว่าประคอง แล้วทำยังไงจึงสงบได้อย่างถาวร ทุกสภาวะกาล ก็ต้องให้ตัวจริงของเราเป็นผู้จัดการ ตังจริงเรานั้นเขาเที่ยงแท้ เที่ยงธรรม สงบมานานแล้ว อยู่ในภาวะเป็นเอก มีศีลเป็นกำเนิด แต่ไม่สามารถสำแดงได้ ก็ด้วยเรายังไม่รู้จักเขา แต่จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนัก จริงแล้วเราลืมตัวจริงของเราไปต่างหาก ลืมไปสนิทเลย เป็นของที่พร้อมมูลอยู่แล้ว เหมือนเรามีขุมทรัพย์แต่ลืมไปแล้วว่าฝังไว้ที่ไหน วันเวลาผ่านไป ก็นึกไม่ออกแล้วว่ามีสมบัติ ไหนเลยจึงอยากจะค้นหามัน ผ่านภพ ผ่านกาล จึงลืมตัวจริง ของเราที่เขาพร้อมสำแดงอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้เรานิดเดียวเอง.........................(ติดตามต่อไปนะครับ)
(ท่านที่เข้ามาอ่านแล้ว รบกวนลงชื่อไว้กันหน่อยนะครับ จะได้มีกำลังใจเขียนต่อ ..ขอบคุณครับ)
แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 16:49:07
แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 50 14:04:30