กลับเข้าบ้านหลังเก่า ที่ตอนนี้ ยังมีหนังสือเก่าๆ เหลืออยู่บางส่วน ผมไปคุ้ยกองกระดาษฝุ่นจับ
ได้พบหนังสือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน บิวตี้ฟูลไมนด์ ไฮไฟเดลลิตี้
และ มหาภารตะยุทธ
นิตยสาร F magazine open หน้าปกจินตรา และ a day ฉบับ two years ago kid ฉบับครบรอบสองปี
หอบทุกเล่มขึ้นรถกลับบ้าน
โดดขึ้นเตียง อ่าน a day : two years ago kid
การอ่านสิ่งตีพิมพ์เก่าๆ มองดูก็คล้ายๆกับการดึงความทรงจำบางส่วนมาทบทวน
ด้วยมุมมองของอายุและประสบการณ์ที่มากขึ้น
แน่นอนว่า มีบางรายละเอียดที่เราพลาดไป บางหน้าเราอาจผ่านไปเฉยๆ
บางหน้าเราอาจจะอยากอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก
** เคยมีคนถามผมว่า ผมอ่านหนังสือแทบทุกวัน รู้ได้ยังไงว่าเป็นหนังสือดี
ผมตอบเขาไปว่า ต้องรอให้กลายเป็นหนังสือเก่า แล้วเอามาอ่านอีกครั้ง
ถ้าอ่านแล้วยังเต็มอิ่มได้ ยังโศกเศร้าตามอารมณ์ของเรื่องได้
ยังมีความคิดใหม่ๆต่อยอดออกมาได้เรื่อยๆ .
ผมว่านั่นแหละ ..หนังสือดี ที่ไม่ต้องวัดกันด้วยจำนวนครั้งของการพิมพ์
ส่วนที่เตะตาใน a day : two years ago kid เป็นบทความตอนหนึ่ง
พูดถึงแนวคิดของใครคนหนึ่งที่เห็นว่า
a day เป็นนิตยสารทางเลือกที่อันตราย ไม่ใช่แค่ aday แต่...มี นิตยสารsummer เข้าไปด้วย
บทความมันยาว และเรื่องมันก็นานแล้ว ไม่อยากเอามาลงให้อ่านกันอีก
ส่วนที่เตะตาคือบทความเล่าถึงอันตรายของแนวคิด สุขนิยม หรือ thinking positive ที่มองคล้ายจะเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นใน พ.ศ. นั้นหรือ อาจจะลุกลามมาถึงพ.ศ นี้
ผมถามตัวเองอีกแล้วว่า แล้วต้องมา thinking negative หรือ ทุกขนิยม หรือ มองโลกในแง่ร้าย ให้มากขึ้นหรือไร
ในที่สุด ผมก็ต้องมานั่งขบคิดวิธีการมองโลก แบบไหนดีล่ะ ที่ไม่ positive หรือ negative เกินไป
รื้อกองหนังสือฮาวทูเท่าที่มีอยู่ รื้อแผ่นวีซีดีหนังที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการมองโลก พลิกบันทึกเก่าๆมาอ่าน
ไม่พบคำตอบที่ต้องการสักเล่ม วัตถุดิบที่มีอยู่ต่างมีฝักฝ่ายชัดเจน
การมีฝักฝ่ายทำให้เกิดความขัดแย้ง นำมาสู่สงครามและความรุนแรง
ผมไม่สนับสนุน
** นักคิดหลายคนบอกว่า เมื่อคิดอะไร ไม่ออก ให้พาตัวเองไปสู่กิจกรรมอื่น จะอาบน้ำ กวาดบ้าน ซักผ้า เดินทอดน่อง สักพักจะมีคำตอบจากสวรรค์ที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงรึเปล่า
ผมเองก็ทำแบบนั้น เลิกอ่าน a day ฉบับเก่า หยิบ a day ฉบับ bag packer หน้าปกเรย์ แม็คโดนัลมาอ่าน
ฉบับนี้เล่าเรื่องการเดินทาง ในส่วนที่เรย์ เล่าถึงชีวิตการเดินทาง ผมก็ค้นพบคำตอบของคำถาม
เรย์เล่าประมาณว่า
** การเดินทางช่วยให้เรามองเห็นปัญหาในชีวิตได้ชัดขึ้น เพราะตอนอยู่ใกล้ๆเราอาจมองไม่เห็นชัดเจน
การเดินทางห่างออกมา ทำให้ปรับโฟกัส แล้วเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว
วิธีการจัดการปัญหาก็ตามมาเอง
ว่าแล้ว ผมก็กลับไปอ่าน a day : two years ago kid อีกรอบ เครื่องหมายหยินหยางลอยขึ้นในหัว ขาวและดำมีอยู่ทั้งสองอย่างในโลก
** ผมรู้แล้วว่า ก่อนจะมองโลกในแง่งาม หรือ มองโลกในแง่ทราม เราควร มองโลกให้ชัด เสียก่อน
การมองโลกให้ชัด ช่วยให้ การมองโลกแง่ดี ไม่กลายเป็นความฝันเฟื่อง เพ้อเจ้อ ลอยชาย ไร้จุดยืน หัวดื้อ
ช่วยให้ การมองโลกในแง่ร้าย ไม่ทำให้เราอมทุกข์ เสพยา ฆ่าตัวตาย หนีสังคม
ภาพถ่ายที่คมชัด สวยกว่าภาพเบลอๆ ( ยกเว้น มุมมองทางศิลปะ และ ประดิษฐ์กรรมที่ต้องใช้แนวคิด )
ถ้า โทมัส อัลวาเอดิสัน มองโลกไม่ชัดเจน เขาอาจเลิกพยามผลิตหลอดไฟ เพราะ เขาจะล้มเหลวแล้วเลิกรา เมื่อมองให้ชัดเจนขึ้นก็คือ เมื่อมีการล้มลงเกิดขึ้น หมายความว่า ยังมีการลุกขึ้นยืนรออยู่ มีการมองทางเดินใหม่ว่าสะดุดหินหรือเหยียบเปลือกกล้วย เพื่อที่จะไม่พลาดซ้ำอีก เอดิสัน รู้ว่า ล้ม แล้ว ลุกได้ ไม่ใช่ล้มแล้วล้มอย่างเดียว
ในแง่เดียวกันถ้า คนธรรมดา บางคนได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจและสามารถกำหนดความเป็นไปของโลกได้ แล้วยังสำนึกว่า เมื่อขึ้นเป็นคนสูงสุดได้ ก็มีการกลับเป็นคนต่ำสุดรออยู่เช่นกัน ในเวลาแบบนั้น ถ้าเขาสำนึกถึงวันเวลาที่เป็นคนต่ำสุด ก็จะบริหารอำนาจในมือได้อย่างมีมนุษยธรรม
** ตัวอย่างของเอดิสัน เกิดขึ้นบ่อยๆในโลก เพราะความทดท้อ จะทำให้เราหันมามองหาอีกแง่ของปัญหา และทำให้ชีวิตชัดขึ้น แต่ตัวอย่างของประธานาธิบดีนี่สิหายาก เพราะเวลาคนเราลืมตัว เข้าสู่ด้านที่รุ่งเรือง ...มีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่งคือความลืมตัว ...ซึ่งยากที่จะดึงตนกลับมาจริงๆ
** การเดินทางอย่างช้าๆช่วยให้เราเก็บเกี่ยวรายละเอียดได้มากขึ้นเห็นแง่งามของชีวิตมากขึ้น คนที่ไปเร็วเกินอาจมองภาพข้างทางพร่าเลือน และไม่อาจเห็นแง่งามของชีวิต
คำกล่าวนั้นเป็นจริงบางส่วน เพราะในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราเป็นคนขับรถ เราคงเอาแต่มองข้างทางไม่ได้
จะช้าเร็วไม่เป็นไร ขอเพียงมองให้ชัดเป็นใช้ได้
ดังนั้น ทั้งแง่งามและแง่ทรามคงไม่เป็นปัญหานัก ถ้าเราเลือก มองโลกให้ชัดเสียก่อน แล้วค่อยเลือกว่า จะเดินทางไหนจะคิดอะไร แง่งามและแง่ทรามต่างถ่วงดุลกันและกันให้สมดุล
เมื่อมองโลกชัดเจน อย่างน้อยเราก็จะเห็นเป้าหมายหรือทางที่ควรไปและไม่ควรไป
ไม่ไร้ทิศทาง หลงในแง่ใดแง่หนึ่งจนเสียสมดุล
เพราะไม่เช่นนั้น เราคงต้องรอคอยจนกว่า ชะตาชีวิตจะนำสมดุลกลับมาเอง
ซึ่งในบางครั้ง เราอาจต้องเสียแขน หรือ ขาไปสักข้าง
ก่อนที่จะบอกว่า .....โอเค ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ แล้วก็ก้าวต่อไป
แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 50 18:18:38
จากคุณ :
กาแฟสอง
- [
26 มี.ค. 50 18:14:19
]