Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ::::: บางที…ฉันก็สงสัยถึงการมีอยู่ของลมหายใจตนเอง :::::

    พรุ่งนี้คือความว่างเปล่า
    มันไมมีอยู่จริง
    มันคือสิ่งสมมติเท่านั้น
    นั่นคือสิ่งที่ ฉันเชื่อเสมอมา

    ทำไมนะหรือ?
    เพราะว่า...วันนี้ คือ พรุ่งนี้ของเมื่อวาน

    เมื่อวานก็คือ อดีตของวันนี้

    เพียงแค่หลับและตื่นอีกครั้ง

    พรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นวันนี้ในทันที

    มันเหมือนการวิ่งไล่เหยียบเงาตัวเอง



    ฉันเป็นคนชอบคิดอะไรสั้นๆ
    อาจเป็นเพราะความเป็นคนในครองครัวเดียวที่ไร้ญาติมิตร ไม่ค่อยผูกพันกับใคร
    หรือคำพูดหรูๆแต่เข้าใจอย่างอย่างคำว่า “ปัจเจกชน” หรือ “สุขนิยม”
    อะไรทำนองนั้น
    ฉันไม่ค่อยใส่ใจคำเหล่านั้นนัก
    ฉันรู้เพียงแค่ว่า

    ชีวิตฉัน
    มันก็คล้ายกับขวดที่ไว้บรรจุความเจ็บปวดมากกว่า
    1ใน 3 เป็นความสุขที่มีอยู่เพียงน้อยนิด

    และฉันก็ไม่รู้ว่า...
    ชีวิตคนเราจะเดินทางไปได้ไกลแค่ไหน
    จะร้อยกี่พันกี่หมื่นแสนวันคืน ...

    ไม่มีใครรู้หรอกว่า
    ความตายจะมาจับมือเราเมื่อไหร่
    แต่ท้ายที่สุด เราจะไปถึงที่แห่งนั้น

    ในเมื่อชีวิคนคนเราเหมือนการเดินถอยหลัง
    และไม่อาจรู้วันสุดท้ายที่หายใจ

    ฉันจึงพึ่งระลึกเสมอว่า...
    เพียงแค่วันนี้เท่านั้น ที่เรายังคงอยู่

    ทำทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ให้ดีที่สุด

    ณ เวลาหนึ่งที่หัวใจหยุดเต้นไป

    ไม่มีอะไรต้องเสียดาย ที่ไม่ได้ทำ

    ............

    “รถชน...แกเนี้ยนะ..รถชน”

    เสียงเพื่อนถามย้ำแล้วย้ำอีกผ่านโทรศัพท์มือถือ
    จำได้ว่า
    ตอนนั้นฉันมองขาบวมๆที่พาดชั้นหนังสือของตัวเอง
    มือหนึ่งประคองโทรศัพท์
    อีกมือลูบหัวกระต่ายที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน

    ฉันเป็นคนหนึ่งที่มักจะบ่น ด่า ว่า คนที่อยู่ใกล้เสมอ
    ยามเมื่อเดินข้ามถนนไม่ใช้ทางม้าลายหรือสะพานลอย
    นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนเรื่องมากและระวังตัวอย่างฉันจะถูกรถชน
    ที่ทางม้าลาย ตรงสี่แยกคอกวัว

    “ไปทำไรมาละแก...”

    จำได้ว่า...วันศุกร์ต้นเดือน
    ฉันไปทำงานเก็บข้อมูล ซึ่งเป็นงานใหม่ของฉัน
    แต่ประเด็นที่ทำกับกลุ่มเป็นหมายที่ตอบไม่ตรงคำถาม
    ทำให้คิดว่างานง่ายๆเริ่มไม่ง่ายแล้ว

    อ่าน แดดสิบแปดนาฬิกา บนรถเมล์ปรับอากาศ
    เพื่อปรับความขุ่นข้องในใจ

    ตั้งใจจะเดินเข้าตรอกข้าวสารมาทะลุ
    หอศิลป์ตรงเชิงสะพานปิ่นเกล้า

    จำได้ว่าเห็นประกาศสอนวาดภาพสีน้ำช่วงปิดเทอม
    อารมณ์อยากทำอะไรสักอย่างที่เคยตั้งใจมานานทำให้
    ตั้งใจจะแวะไป หาข้อมูล
    แล้วค่อยไปดูงานเสวนาเปิดตัวหนังสือสองเล่ม
    ที่ร้านนายอินทร์ท่าพระจันทร์

    ใครๆก็ว่า ถนนราชดำเนิน ข้ามถนนง่ายที่สุดแล้ว

    พอลงรถเมล์ ฉันเห็นไฟแดงพอดี
    เป็นจังหวะที่มีคนกำลังข้ามถนน
    ฉัน (เกิดอาการมักง่ายขึ้นกะทันหัน)
    ยังเดินไปไม่ถึงทางม้าลายดีนัก (ประมาณ10ก้าว)
    ก็รีบข้ามถนนเสียก่อน

    ทว่า

    ตรงจุดนั้น

    เป็นจุดกลับรถ

    แต่...

    ฉันก็เห็นน่ะ...ว่าเป็นจุดกลับรถ
    เอ่อ...แต่ไม่คิดว่า...เขาจะกลับรถที่ละ สอง คัน (ขนานกัน)

    รถเก๋งสีดำแซงขึ้นมาและเลี้ยว...
    ฉันเห็นแต่ยืนนิ่ง เพราะถ้าวิ่งเผื่อหลบคันนี้
    ฉันต้องโดนอีกคันที่มาเร็วกว่ากำลังเลี้ยวรถเพื่อกลับรถ

    ฉันก็...ไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กๆน่ะ
    ทำไม๊ ทำไม ฉันอยู่อยู่กลางถนน
    รถมันดันไม่จอดหว่า

    มันกลับชนฉันโครม!

    จนกระเด็นมานั่งพับเพียบอยู่กลางถนนราชดำเนินกลาง

    ทั้งรถและฉันนิ่งอยู่อย่างนั้น
    เหมือนตกใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย

    เพียงครู่เดียวรถเก๋งคันใหญ่ก็หักหัวรถออกไป

    ฉันได้แต่ร้องในใจ

    “เดี๋ยวจิ! เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”
    ยังมึนๆงงๆอยู่กลางถนน
    รถกระบะโตโยต้าสีขาว(คงตามหลังรถเก๋งมา)
    ก็พุ่งเข้ามาพอดี

    “อย่านะเฟ้ยยยย อย่าให้ร่างฉันเละนะเฟ้ยยยยย”

    ฉันก็ได้แต่...ตะโกนในใจนั้นแหละ
    แล้วรถคันดังกล่าวก็หักหัวเบนออกแบบหวุดหวิด
    ไม่มีกี่วินาทีต่อมา

    เสียงผู้คนแถวนั้นจึงลอยเข้าในโสตประสาทฉัน

    “รถชนคน”
    “นักท่องเที่ยวหรือเปล่า”
    “ใครพูดฝรั่งได้บ้าง”

    จำได้แค่ว่า จับจมูกตัวเอง
    เอ่อ...ก็เห็นในหนังเวลารถชน นางเอกเลือดออกจมุกทุกที

    รวมทั้งคนขับรถเก๋งคันโตด้วย
    เขาไม่ได้หนีไปไหน แต่เอารถไปจอดริมถนน

    พลเมืองดีที่อยู่ริมถนนในวันนั้นได้เข้ามาประคองฉันที่ยังนั่งเอ๋ออยู่กลางถนน

    และรีบลงมาประคองฉันขึ้นรถ
    นำส่งโรงพยาบาลศิริราช

    แต่

    ด้วยความตกใจ จึงพูดไม่ออก

    พยายามจะขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ
    ก็ทำได้แต่ก้มศีรษะให้
    (หนูไม่ใช่สาวเกาหลีน๊า)

    จำได้ว่ามีน้าผู้หญิงคนหนึ่งอาสาจะมารพ.เป็นเพื่อน
    ด้วยความเกรงใจ
    ฉันโบกมือบอกไม่เป็นไร และพยายามจะขอบคุณ

    คนขับรถเป็นชายหนุ่ม
    ท่าทางจะเป็นลูกครึ่งมีเชืhอแขกขาว
    ส่วนหญิงสาว(สวย)ข้างๆ ก็ค่อยดูแลฉันอย่างดี จนถึงรพ.
    ฉันพยายามคิด...จะติดต่อใครดี...พ่อแม่คงไม่ได้แน่ๆ เดี๋ยวต้องเข้ารพ.ตามฉันด้วยความตกใจ
    พี่ชายไปสัมมนาต่างจังหวัด
    เพื่อนรัก...ทำไมมือถือแกติดต่อไม่ฟร่ะ!

    สุดท้าย...ฉันโทรศัพท์ตามใครคนหนึ่งให้มารับ
    พยายามทำน้ำเสียงให้ปกติ บอกว่าไม่เป็นไรมาก

    ฉันกลัวเรื่องขึ้นสถานีตำรวจมากกว่า

    เมื่อถึงรพ. ถูกจับเอ็กซ์เรย์แทบทุกซอกทุกมุม
    เนื่องจาก ฉันไม่มีบาดแผลภายนอก
    แต่เมื่อหมอจับแขน – ขา ฉันก็ได้แต่ทำหน้านิ่ว
    “หมอค่ะ เจ็บคะ เบามือหน่อย”
    ฉันถามหญิงสาว (สวย) ว่าต้องแจ้งประกันไหม?
    ทางเขาจะได้ไม่ต้องเสียค่ายาให้ฉัน

    มาถึงตอนนี้...เริ่มรู้สึกอิจฉาเพื่อนฝูงที่มีประกันสังคมจริงๆ

    “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร”

    หมอแจ้งว่าฉันไม่เป็นอะไรมาก
    แต่ต้องพักรักษาตัว และนัดตรวจอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
    (เนื่องจากไม่มีบาดแผลภายนอกนั้นแหละ)

    ฉันเห็นชายหนุ่มคนขับรถก็รู้ทำหน้าเครียดๆ

    ก็ได้แต่ “ขอโทษ” พวกเขาเบาๆ และ “ขอบคุณ” ที่ยังมีน้ำใจมาส่งที่ รพ.

    ไม่นานนัก ใครคนนั้นก็มารับ
    ทุกอย่างเจราด้วยดีไม่มีใครเอาความเอาเรื่องกับใคร

    .....


    บางที…ฉันก็สงสัยถึงการมีอยู่ของลมหายใจตนเอง

    ฉันสงสัยอยู่ว่า...ทำไม
    รถชนฉันแรงขนาดกระเด็น(แบบนั้น)
    ฉันกลับมีแค่แผลฟอกช้ำดำเขียว

    แต่มันก็ทำให้ฉันเดินลากขาไปเป็นอาทิตย์
    และแขนที่ยกเหนือไหล่ไม่ได้

    (ใครต่อใครถามว่าฉันห้อยพระดีอะไรหรือเปล่า)

    ขณะที่รถกระบะพุ่งเข้ามา

    ฉันกลัวอะไรรู้ไหม

    ฉันกลัวร่างกายฉันเละ
    เพราะว่า...ฉันเพิ่งบริจาคอวัยวะมา...
    ถ้า...ฉันโดนรถชน ...แล้วอวัยวะภายในใช้ไม่ได้
    ความตั้งใจของฉันมันก็เท่ากับศูนย์ (สูญ)


    บางที…
    ฉันก็สงสัยถึงการมีอยู่ของลมหายใจตนเอง

    เพราะฉันมักตั้งคำถามที่ตอบไม่ได้อยู่บ่อยๆว่า

    ฉันเกิดมาเพื่อ(ทำ)อะไรเหรอ

    ในเมื่อชีวิตฉัน เหมือนขวดบรรจุความเจ็บปวดมากกว่า

    .......

    “มากินหมูกระทะไหมแก ฉันจะเลี้ยงรับขวัญ”
    “เอาซิ...ถ้าแกเลี้ยงนะ”
    “ไอ้บ้า! เจ็บไม่เจียม”

    บางที...
    การพยายามค้นหาคำตอบ
    ก็เป็นความหมายหนึ่ง
    ของการมีอยู่ของลมหายใจของฉันเอง




    หมายเหตุ...
    ขอบคุณ พลเมืองดีที่อยู่ริมถนนราชดำเนิน
    เมื่อวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2550 นะค่ะ

    (อยากบอกว่าไม่ใช่สาวเกาหลีแต่ก็ขอบคุณในน้ำใจจริงๆคะ)

    จากคุณ : สายลมอิสระ - [ 28 มี.ค. 50 07:38:59 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom