ชายข้างห้อง เป็นชื่อที่ผมแต่งขึ้นเองหลังจากคิดอยู่ตั้งนานว่าจะใช้ชื่อเรื่องอะไรให้เหมาะสมกับเรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้
เริ่มแรกผมจะใช้ชื่อว่า ฆาตกรโรคจิต ก็คงจะซ้ำกับนิยายสืบสวนเป็นล้านๆ เรื่องบนโลก--จะใช้ชื่อ ถ้ำมอง ก็กลัวว่าจะสื่อไม่ชัดเจน ก็เลยคิดว่าเอาวะใช้ชื่อ ชายข้างห้อง ดีกว่า เรียบง่ายและชัดเจนดี
ชายข้างห้อง ที่ผมกำลังจะกล่าวถึงเป็นคนข้างห้องพักของผมเอง เขาสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบถึงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ผิวคล้ำ รูปร่างท้วม เอาล่ะ คุณคงมีภาพของเขาภายในหัวแล้ว ต่อมาคุณอาจจะถามผมต่อว่าแล้วทำไมคุณต้องฟังเรื่องราวชายข้างห้องนี่ด้วย--ผมคงได้แต่ขมวดคิ้วสักพักแล้วอาจจะตอบว่า...นี่เป็นเรื่องที่ผมอยากจะเล่า เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกระทึกและสะใจในชีวิตได้มากกว่าเรื่องราวต่อไปนี้อีกแล้ว
ผมอายุยี่สิบห้าปี เพิ่งจบจากมหาลัยเอกชนย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ความใฝ่ฝันของผมตอนเด็กๆคือการได้ขับเครื่องบิน โตขึ้นมาก็อยากเป็นคุณครู แต่ปัจจุบันผมตกงาน ผมหางานไม่ได้ปีกว่าเพราะไม่มีงานใดเลยที่ผมคิดว่าสามารถรับผิดชอบได้ ผมจึงมาทดลองเขียนหนังสือดูแบบนี้แหละเผื่อจะฟลุ๊คมีเงินกับเขาบ้าง นี่คือเรื่องแรกๆของผม (และอาจจะเป็นเรื่องสุดท้าย ถ้าผมหมดกำลังใจในการเขียนนิยายไปเสียก่อน) ภาษาอาจจะไม่ลื่นไหลเหมือนนักเขียนมืออาชีพ ข้อผิดพลาดมีเกลื่อนกลาดเช่นนักเขียนนิยายมือสมัครเล่น แต่ช่างมันเถอะ ผมเขียนเพราะว่าผมอยากทดสอบความสามารถของตัวเองเท่านั้นเอง และสิ่งที่ผมเขียนก็ไม่ได้ถูกนำมาเรียบเรียงหรือขัดเกลาใหม่แต่ประการใด เพราะผมเขียนอย่างที่ผมนึก ผมนึกอย่างที่ผมพูด คุณผู้อ่านคือคนที่กำลังนั่งอยู่ในวงนั่งฟังผมเล่านั้นเอง คุณมีสิทธิ์ที่จะเสนอความคิดเห็น (แต่หลังจากอ่านเรื่องนี้จบนะ) ตอนนี้บางท่านอาจจะจินตนาการว่าหน้าตาผมเป็นเช่นไร ผมไม่บอกหรอก เพราะนี่คือเสน่ห์ของงานเขียนอยู่แล้ว
ผมเองไม่ได้ชอบอ่านหนังสือเท่าไหร่ จะอ่านก็หนังสือการ์ตูนพวกชินจัง คินดะอิจิ โคนัน คุโรมาตี้ มันทำให้ผมลืมเรื่องราวอันเส็งเคร็งบนโลกที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว การแก่งแย่งชิงดีที่ไม่มีวันจบสิ้น...แต่ถ้าให้ผมอ่านนิยายน่ะเหรอ ไม่ถึงสิบนาทีผมก็คงจะหลับปุ๋ยคาหนังสือนั้นแหละ ยิ่งเป็นหนังสือเรียนยิ่งแล้วใหญ่ ผมไม่ชอบการอ่านหนังสือโดยไร้รูปภาพประกอบ ตัวหนังสือที่ติดกันเป็นพรืดทำให้ผมเวียนหัว ตาลาย สมองผมจะถูกใช้อย่างหนักในการจินตนาการภาพตามตัวอักษร ถ้าคุณจะหาถ้อยคำที่สละสลวยอะไรจากนิยายผม ผมคงต้องบอกว่าผมไม่มีจะให้ ยิ่งการสะกดคำก็ผิดเป็นเบือ ฉะนั้นผมจึงตัดสินใจตั้งนานกว่าจะเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาได้ (เพราะกลัวคนอ่านจะว่าถึงสติปัญญาอันน้อยนิดในทักษะการเขียนและการสะกดภาษาไทย) แต่มันก็ไม่มีหนทางไหนที่จะบอกเล่าสิ่งที่ผมเจอได้มากกว่าวิธีนี้แล้วจริงไหม จะให้ผมไปสร้างหนังผมก็ไม่มีเงินทุน จะเขียนบท--จัดหาผู้แสดง--ถ่ายทำ--ตัดต่ออีก โอ๊ย แค่คิดก็ยิ่งปวดหัว ฉะนั้นการเขียนหนังสือนี่แหละเป็นการเขียนที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนสักบาท (ยกเว้นค่าไฟ และค่าความคิด ซึ่งเป็นของฟรี) นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่นิยมเขียนหนังสือ ซึ่งผมอยากรู้ว่าระหว่างนักเขียนและผู้ที่ชอบอ่านหนังสือ (ที่อ่านจริงๆ) จะมีสัดส่วนมากน้อยกว่ากันเท่าไหร่ ถ้าทุกคนเกิดอยากถ่ายทอดประสบการณ์หรือเรื่องเล่าผ่านการเขียนหนังสือแต่ไม่ชอบอ่านหนังสือ (แบบผม) โลกนี้คงเต็มไปด้วยงานเขียนที่ถูกหลงลืม...พูดแล้วก็ท้อใจ แต่มีคนอ่านเพียงหยิบมือก็ยังดีกว่าไม่มีเลยใช่ไหม
ผมจะเอาลงนิตยสารไหนดี...นิตยสารฆาตกรรม...หรือจะส่งสำนักพิมพ์ แต่งานเขียนมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด มันคือศิลปะ--ศิลปะที่ผู้คนจำนวนมากใช้เวลาเขียนขึ้นเป็นระยะเวลายาวนาน และถูกตอบแทนความอดทนด้วยการที่ต้นฉบับของพวกเขาถูกทิ้งขยะ ทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วส่งขายเป็นกองขยะรีไซเคิล หรือไม่ก็ถูกตีกลับคืนเป็นแผ่นกระดาษที่บอกว่านิยายของเรามีจุดบกพร่องตรงไหน (ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากได้)...แต่เราจะคิดทำร้ายจิตใจตัวเองแบบนี้ไปทำไมวะ เอาเถอะ รีบๆเขียนให้เสร็จก่อนดีกว่า อย่ากังวลในเรื่องที่ยังไม่ได้ทำเลย เสียเวลาเปล่าๆ
เขียนมาถึงบรรทัดนี้ ผมก็ต้องขอโทษทีนะครับ เพราะผมเผลอเล่าเรื่องตัวเองมากไปหน่อย (อันที่จริงก็ไม่หน่อย) เพราะผมอยากจะเกริ่นนำและใส่ความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะพาท่านผู้อ่านเข้าสู่โลกอีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย--โลกของชายข้างห้องไงครับ เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
ต้องบอกก่อนว่าเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังต่อไปนี้ ผมไม่ได้แต่งเติมความน่ากลัวเพิ่มเติมจากเหตุการณ์จริงแม้แต่นิดเดียว (เพราะเหตุการณ์จริงก็น่ากลัวอยู่แล้ว) และคงต้องบอกก่อนว่าเรื่องทั้งหมดผมเห็นกับตา ผมจึงกล้าเล่าเพราะมีหลักฐานพิสูจน์ ถ้าคุณถามว่าผมเห็นยังไงน่ะเหรอ ผมคงตอบว่า รูเล็กๆบนกำแพง
รูนั้นอยู่สูงจากพื้นห้องประมาณห้าฟุตกว่า (ผมสูงเกือบหกฟุต) ผมจึงมองดูได้โดยไม่ยากเย็น (ตอนที่ผมย้ายเข้ามา เจ้าของหอพักคงไม่สังเกตเห็นเขาถึงไม่ฉาบปูนปิดให้เรียบร้อย เพราะรูมันอยู่ด้านหลังตู้เสื้อผ้า...ผมย้ายตู้เสื้อผ้าไปไว้ข้างห้องน้ำทำให้ผมสังเกตเห็น) ตอนนี้ผมใช้กรอบรูปปิดไว้ พอจะแอบดูผมก็ปิดไฟ ไม่อย่างนั้นทางโน้นจะเห็นได้ว่ามีแสงลอดออกมาจากรู (เพราะเขาอาจจะไปบอกเจ้าของหอให้ปิดรูนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย)...ผมคิดไปเองว่าเจ้าของห้องคนก่อนคงเป็นพวกถ้ำมอง เขาถึงเจาะรูนี้ขึ้นมา การเฝ้ามองดูชีวิตคนอื่นอาจจะสนุกกว่าชีวิตตัวเองก็ได้ เขาอาจจะมองผู้หญิงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า อาจจะมองคนในครอบครัวหนึ่งทะเลาะกัน (ซึ่งคุณผู้อ่านลองจินตนาการเล่นๆดูว่าถ้าห้องของท่านมีช่องที่สามารถมองห้องข้างเคียงได้ คุณจะทำอย่างไร) แต่ไม่แน่ใจว่าจะเห็นเหมือนเรื่องราวที่ผมเห็นหรือเปล่า ซึ่งผมก็ต้องยอมรับว่าในตอนแรกผมก็รู้สึกเซ็งเหมือนกันที่ห้องข้างๆเป็นผู้ชาย จนผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังมาจากห้องข้างๆนั้นแหละ ผมถึงรีบวิ่งไปดู ตอนแรกนึกว่าจะได้ดูหนังสด...แต่เปล่าเลย ผมคิดผิดไปมากจริงๆเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
จากคุณ :
ด.ช.บ่าง
- [
31 มี.ค. 50 00:54:08
]