Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    Endless Love 'รักนี้ชั่วนิรันดร์'

    Endless Love ‘ รักนี้ชั่วนิรันดร์ ’ 1-04-08

    บ่อยครั้งที่เราเฝ้าถวิลหาใครสักคนที่คอยพร่ำกระซิบคำว่า ‘รัก’ ใส่หูเรา

    คนที่เราสามารถตะคองกอดเราได้ทุกช่วงเวลาที่เราเสียใจ
    คอยพยายามปลอบปะโลมพร้อมคำพรรณนาด้วยคำพูดที่แสนหวาน
    คำพูดที่กระซิบข้างหูเราแล้วทำให้เราลืมไปว่าเราคือใคร
    และอาศัยอยู่บนโลกนี้ทำไม รู้เพียงว่าเราได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคนๆนั้นทุกลมหายใจไปแล้ว กลิ่นของศอกคอที่หอมหวนให้เราลืมเรื่องร้ายๆขณะนั้นพร้อมคำมั่นสัญญาของคนๆนั้นว่าจะอยู่กับเราตลอดไป...


    คนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล...


    ……………………



    ผมยอมทำทุกอย่างและทุกวิถีทางคอยแสวงหารักแท้ที่ไม่เพียงถูกกำหนดโดยโชคชะตา ตลอดเวลาที่ผมได้มาอยู่บนโลกใบนี้37ปี ไม่เคยมีความสุขเลยเท่าวันนั้นวันเดียวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมเมื่อ10ปีก่อน

    หากแต่เวลาไม่ใช่อุปสรรคของความทรงจำนั้นแต่อย่างใด เหตุการณ์ล่วงเลยมาเกือบสิบปีแล้ว แต่ผมกลับคิดว่ามันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ผมยังจำป้ายสีทองที่ถูกสลักเสลาด้วยตัวอักษรเหลืองอร่ามว่า

    “ ปรินเซส โฮเทล ขอต้อนรับ ” ผมยังจำลูกบิดสีทองมันวับที่มีพนักงานใส่สูทสีแดงคอยเปิดประตูให้ ผมยังจำเสียงคุยจ้อกแจ้กของเหล่านักท่องเที่ยวในลอบบี้ของโรงแรมที่สลับกระเสียงน้ำกระเซ็นของน้ำพุขนาดใหญ่มี่อยู่ใจกลางของอาคาร

    ผมหยุดยืนอยู่หน้าเคาต์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม กำลังมองตัวหนังสือขนาดยักษ์ที่อยู่หลังเคาต์เตอร์สีน้ำตาลอ่อนมันเขียน ว่า
    “ ถ้าคุณกล้าฝัน คุณต้องกล้าทำตามฝัน ” ไม่ช้าพนักงานประชาสัมพันธ์ที่ไกล่เกลี่ยค่าพักห้องของคู่สามีภรรยาที่มาจากเทกซัสเสร็จแล้วก็หันมาทางผม

    “ ให้ช่วยอะไรไหมครับ ” พนักงานประชาสัมพันธ์กล่าวทัก เขาคงคิดว่าผมคงเป็นเศรษฐีที่มาหาความสำราญบนเกาะส่วนตัวที่นอร์ทคาโลไรน่าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม

    “ ขอจองห้องธรรมดาสามห้องเตียงคู่ หนึ่งคืนครับ ” ผมพูด และหันหลังไปมองกลุ่มคนที่ผมรู้จักอีกห้าคนซึ่งกำลังนั่งอยู่ในลอบบี้

    มีแคทรีนซึ่งกำลังยืนคุยกับพนักงานต้อนรับ เธอกำลังหว่านสเน่ห์พ่อหนุ่มหน้าตาใสซื้อพลางถามว่าคืนนี้จะไปเที่ยวไหนกันดี น่าสงสารพ่อหนุ่มนั่นที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเจอกับอะไร

    ลิสซี่กำลังนั่งอ่านนิยายของนิโคลัส สปาร์ก ผมก็ไม่รู้นะว่ามันเกี่ยวกับอะไรแต่คงทำให้เธอเศร้าน่าดูเพราะมีน้ำตาเม็ดเล็กไหลอาบแก้มเธอ

    มาร์ธากำลังคุยกับโรเบิร์ตเพื่อนสนิทที่สุดของผม แล้วก็ฮัทจ์น้องชายของแคทลีนที่ถูกพี่สาวลากมาเที่ยวครั้งนี้ด้วย เขาคงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด ผมก็ไม่ได้ถามหรอกว่าอายุเท่าไร

    พนักงานพิมพ์อะไรบางอย่างลงเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ถึงวินาทีเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ เสร็จแล้วครับ ชำระเงินสดหรือบัตรเคดิตครับ ” ผมเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมา แล้วยื่นบัตรวีซ่าให้เขา

    ……………………


    ไม่นานผมก็เดินนำเพื่อนๆขึ้นไปชั้นสามของโรงแรม พรมสีแดงทอดไปจนสุดทางเดิน โดยมีโคมไฟระย้าคริสตัลติดไว้เป็นระยะเพื่อเพิ่มความหรูให้กับโรงแรมห้าดาวมากขึ้นไปอีก มีพนักงานแม่บ้านหลายคนยิ้มทักทายเราเมื่อเดินผ่าน

    มาร์ธาเดินเข้าไปเปิดประตูห้องหมายเลขสามศูนย์สี่ โรเบิร์ตเดินตามเธอไป ทั้งสองปิดประตูดังปัง มีเสียงหัวเราะคิกๆกันหลังประตูแล้วเงียบไป ผมรู้ว่าไม่ช้าทั้งสองคนคงจบลงกันบนเตียง

    ลิสซี่กับแคทลีนเดินตามกันไป เข้าห้องที่อยู่ติดกันกับห้องของมาร์ธากับโรเบิร์ต “ สาวๆก็ต้องอยู่กับสาวๆสิจ้ะ อ้อ...ฮันจ์ถ้ามีอะไรก็เรียกพี่นะ ” ทั้งคู่ปิดประตูดังปัง

    ผมเลยต้องอยู่กับฮันจ์ เขาก็ดีนะแต่ไม่ค่อยพูดกับผมเท่าไรเหมือนเก็บงำความลับอะไรบางอย่าง ห้องของเราต้องเดินไปอีกฝากตรงข้ามของห้องทั้งสอง เสียงของน้ำพุที่อยู่เบื้องล่างยังคงดังเป็นระยะ หน้าตาของฮันจ์เหมือนบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

    “ คิดอะไรอยู่หรอ ” ผมถาม แต่เขาไม่ตอบ สีหน้าอมทุกข์เหมือนพวกติดยาที่กำลังรู้ว่าตัวเองถูกตำรวจจับ “ เป็นอะไรไปไม่ค่อยพูดเลย ” ผมถามรอบสอง

    “ คุณเคยคิดถึงใครสักคนไหมมั้ยฮะ แบบเฝ้าหาคนๆนั้นมาตลอดชีวิต ” เขาพูดโพล่งขึ้น ท้องของผมเสียววาบ เด็กวัยสิบหกกำลังพูดเรื่องอะไรกับผมเนี่ย

    “ ไม่รู้สิ เคยมั้ง ” ผมว่า แต่ตอนนี้พวกเราหยุดยืนหน้าห้องของเราแล้ว ผมไขกุญแจสีเงินมันวับที่ลูกบิด ค่อยๆมีเสียง ‘คลิก’  ประตูสีโอ็คอค่อยๆเปิดออกดังแอ็ด มีเตียงคู่สองเตียงนุ่มหน้านอนเรียงอยู่ตรงมุมสุดห้อง

    ม่านสีแดงขนาดยักษ์ถูกผูกไว้เผยให้เห็นทิวทัศน์ข้างนอกของยามอาทิตย์อัสดง ผมจำแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ก่อนที่จะรับขอบฟ้าที่ห้องๆนั้นได้ ผมช่าง...เหมือนฝัน มันสวยมาก แม้จะหลับตาก็ยังรู้สึกถึงความอิ่มเอิบที่แสงสีส้มอาบไร่ทั่วตัวผม
    ผมชี้ชวนให้ฮันจ์มาดู

    เขาก็ชอบเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายของฮันจ์สะท้อนกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ทำให้นัยน์ตาของฮันจ์เป็นสีน้ำตาล ดูเหมือนเขาจะมองตาผมเหมือนกัน

    “ ดวงตาคุณสีเขียวอ่อน ” เขาพูด แล้วก็เดินไปนั่งบนเตียงตายังคงจ้องมองที่ขอบฟ้าสุดลูกหูลูกตา

    “ อืม ” ผมพูดช้าๆให้คำพูดออกมาจากความรู้สึกผมมากที่สุด “ ฉันกำลังคอยใครบางคนอยู่ฮันจ์  รอมานานแล้ว ตลอดทั้งชีวิต

    แต่มันยากนะที่จะหาคนนั้นให้เจอ ” ผมก็กำลังมองทางดวงอาทิตย์เหมือนที่ฮันจ์ กำลังทำ ทำไมตูต้องมาพูดเรื่องนี้ด้วยวะ ผมคิด

    “ มันไม่ยากหรอกฮะ มันก็คล้ายๆกับลมที่เข้ามาประทะไปหน้าเรา แต่เราก็ยังไม่รู้ว่านั่นคือสิ่งที่เราต้องการที่สุด มันก็จะค่อยๆหายไป พอถึงตอนนั้นแหละคุณก็จะรู้ว่ามันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ” เขาพูด

    “ เธอหมายถึงคล้ายกับว่าเรามีความสุขอยู่ข้างหน้าอยู่แล้ว แต่เราไม่ไขว่ขว้าหามันเอง  ” ผมว่า ผมมีความรู้สึกๆอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อได้ฟังประโยคที่พึ่งออกจากปากตัวเอง ผมอยากรู้จักฮันจ์ให้มากขึ้นซะแล้วสิ

    เขาพยักหน้าเมื่อผมพูดจบ ผมค่อยๆนั่งลงบนเตียงข้างเขา  “ มีอะไรบางอย่างที่นายซ่อนไว้หลังดวงตาสีน้ำตาลนั่น ” ผมพูด มือของผมยกขึ้นและค่อยๆลูบผมของฮันจ์ขึ้นเผยให้เห็นหน้าผากสีขาวของเขา “ นายไม่เหมือนเด็กอื่นๆที่ฉันเคยเจอ... ” ผมพูดยังไม่จบก็เสียงโทรศัพท์มือถือดังขั้น

    เจ้านายผมโทรมาถามว่าตอนนี้ผมอยู่ไหน ผมตอบไปว่าอยู่นอร์ธโคโลไรน่า ดูเหมือนเจ้านายจะลืมไปว่าผมขอลางานมาเที่ยวพักผ่อนห้าวัน เชื่อเขาเลย  แต่เจ้านายก็บอกผมว่าให้รีบกลับหลังเที่ยวเสร็จเพราะมีคอลัมน์ที่ผมยังเขียนไม่เสร็จ และวันที่จะตีพิมพ์ก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ผมรับปากและวางหู

    “ คุณเป็นนักเขียนหรอฮะ ” ฮันจ์ถาม  “ ดูคุณไม่ค่อยเหมือนเลย ”
    “  ก็ไม่เชิงหรอก เป็นคอลัมนิตส์นะ  นี่พี่สาวนายไม่เคยบอกอะไรเลยหรอ ” ฮันจ์ส่ายหน้า

    “ ผมไม่ค่อยสนิทกับพี่สาวเท่าไรนะฮะ... ”

    ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีก ครั้งนี้แม่ผมโทรมา

    “ ลูกจ้ะ เที่ยวสนุกไหม ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากหูโทรศัพท์
    “ ก็ดีฮะ ” ผมพูด  “ เยี่ยมน้องเป็นยังไงบ้างฮะ ”

    แม่ตอบว่า “ ดีจะ น้องเข้ามีแฟนแล้วนะ... ” พอดีมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

    “ แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมโทรกลับ รักแม่ฮะ ” ผมขัดขึ้น
    “ ก็ได้จะ แม่รักลูกเหมือนกันนะ ” ผมวางสาย ฮันจ์เดินไปเปิดประตูแล้ว

    เสียงแหลมของแคทรีนร้องดังขึ้น “  ว้าว ห้องนี้สวงเลยจังเห็นวิวด้วย ”  เธอเดินเข้ามายืนที่หน้าหน้าต่างที่เดียวกับที่ผมยืนเมื่อกี้ “ โอย สวยจังเลย ”  

    ผมพูดบ้าง “ มีอะไรให้ช่วยละ ”

    “ เปล่าแค่อยากมาแวะเวียนนะ ” เธอพูด “ เปงงัยบ้างฮันจ์ ชอบมะ ”

    “ ก็นิดหน่อยฮะ ” ฮันจ์ว่า แต่ไม่ได้มองหน้าพี่สาวตัวเอง

    “ งั้นฉันไปก่อนนะ ” เธอจูบหัวน้องชายเบาๆ และเดินออกไป

    ผมเดินไปนั่งข้างฮันจ์เหมือนเมื่อกี้ “ คุณมีน้องชายหรอฮะ ” เขาถาม

    “ ช่ายก็เหมือนนายกับแคทรีนนั่นแหละ ” ผมบอก ผมสังเกตอะไรบางอย่างในดวงตาของฮันจ์ ตาเขาใสเป็นประกาย เขามองผมไม่เหมือนที่มองพี่สาวของเขา มันลึกซึ้งกว่า ไม่เคยมีใครมองผมแบบนี้มาก่อน

    “ คุณเอ่อ...ผมเอ่อ... ” ผมพูด ดูเหมือนอายที่จะพูดบางอย่าง ผมเลยตัดสินใจพูดว่า “ มีอะไรหรอ... ” แต่เขาไม่พูดอะไร  “ ไม่เป็นไร นายไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ใช่คนประเภทเอาเรื่องที่เราพูดกันไปบอกคนอื่นหรอก ”

    “ คุณมีแฟนยังฮะ ” เขาถาม แต่ผมไม่ทันสังเกตแก้มสีแดงระเรื่อของเขา เพราะกำลังเดินไปหยิบรีโมททีวี ที่อยู่บนโต็ะข้างเตียง

    “ ยังหรอก นานมากแล้วนะที่ฉันเคยมีแฟน ” ผมไม่เล่ารายละเอียดให้มากนัก “ฉันอยากลืมมันมากกว่า ” ผมกำลังยืนหน้าจอทีวีพลางกดปุ่มเปิดที่รีโมท โรงแรมห้าดาวนี้มีช่องทีวีมากมายให้ลูกค้าดูหลังจากท่องเที่ยวอย่างเหน็ดเหนื่อยตลอดวัน


    “ ถ้ายิ่งจดจำมันมากเท่าไร มันก็เหมือนคมดาบที่กรีดหัวใจเรามากเท่านั้น ” ผมเล่า ไม่รู้ว่าผมเอาคำพูดนี้มากจากไหนเพราะผมก็ไม่เคยฟังจากใครมาก่อน แต่มันคงกินใจฮันจ์น่าดู เพราะเขากำลัง...กำลังน้ำตาไหล โอพระเจ้าเขาช่างเปราะบางเหลือเกิน


    “ นายเป็น...นายร้องไห้หรอ ” ผมรีบเดินไปนั่งข้างเขา “ ไม่เป็นไรนะ นายโอเค ทำใจดีๆไว้ ” แต่เขาก็ยังคงร้องไห้ น้ำตาค่อยๆไหลของมาอย่างเงียบๆ เขาไม่พูดอะไรสักคำ ถ้าผมไม่หันมาดูผมก็ไม่รู้ว่าเขาร้องไห้อยู่

    “ โอ... นายอายุสิบหกแล้วนะ หัดกลั้นน้ำตาบ้างสิ ” ผมพูด เขาเลยตอบด้วยเสียงแหบห้าวว่า “ ผม..ผมขอโทษผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน...ตั้งแต่...ตั้งแต่มาเจอคุณ ”

    “ ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกนะ ” ผมหยิบทิชชู่ออกจากกล่องที่อยู่ตรงมุมโต๊ะ และกดปุ่มปิดสียงทีวี “ มานี่มา ” ผมค่อยๆเอาทิชชู่เช็ดแกล้มที่เปียกโชกของฮันจ์ เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม



    ……………………




    ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ดวงดาวต่างๆค่อยลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อรับแสงจันทร์ วันนี้เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง แสงสีเหลืองอ่อนทอดผ่านกระจกและผ้าม่านเข้ามาในห้อง ช่วยเต็มเต็มบรรยากาศของยามราตรีให้สวยงามยิ่งขึ้น

    ผมกำลังค่อยๆใช้ทิชชู่เช็ดขอบใต้ตาของเขา ผมสีดำที่เข้ากันดีกับตาสีน้ำตาลอ่อนเขารวมทั้งใบหน้าเรียวยาวเมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่องเข้า ช่วยทำให้เขาไม่เหมือนเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีที่ผมเคยเห็น

    ผมรู้มันอาจจะเว่อร์ไปนิดเรื่องแสงจันทร์ แต่เขาก็ดูดีมากๆนะ เขาค่อยๆยิ้มให้ผม มันทำให้ผมลืมเรื่องทุกๆอย่างไปชั่วขณะ ผมทำให้รู้สึกว่าผมไม่มีความทุกข์อะไรบนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว

    ผมจะจำภาพๆนั้นไปตลอดชีวิตแม้ผมจะหลับผมก็จะระลึกถึงภาพที่ฮันจ์ยิ้มให้ผมตลอดชีวิต...


    หน้าของเราทั้งคู่ค่อยๆเขยิบเข้ามาหากันทุกขณะ...

    มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น  เราทั้งคู่รีบผละออกจากกันทันที ผมรีบเดินไปเปิดประตู ขณะที่ฮันจ์กำลังกดปุ่มเปิดเสียงทีวี เราทั้งสองทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อกี้ เกือบไปแล้ว ผมคิดในใจ

    “ นี่พวกนายสองคนจะไม่ลงไปกินข้าวเหรอ ข้าหิวจนตาลายอยู่แล้ววะ ” โรเบริ์ตพูดพลางชะเง้อคอเข้ามาในห้อง  “ ฮันจ์มากินข้าวกันดีกว่ามา ” ฮันจ์ปิดทีวีแล้วเดินมาที่ประตู แต่เราทั้งสองคนมองหน้ากันตลอด...

    เราทั้งสามตรงเดินไปที่ลิฟต์บนทางเดินที่ปูพรมยาว ระหว่างทางเราเดินผ่านห้องๆหนึ่ง ประตูห้องเปิดค้างไว้ มีเสียงที่ดังมาจากโฆษณาของช่องโทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า “ ลองทำตามที่หัวใจปรารถนาสิครับ
    แล้วเราจะเดินไปด้วยกัน ” ผมแอบชำเลืองตามองดูฮันจ์ เขาก็แอบมองผมเหมือนกัน

    โรเบริ์ตกดปุ่มลิฟต์ลง ร้านอาหารคงอยู่ชั้นล่างแถวมุมฝั่งน้ำพุ แต่ผมเข้าใจผิด พอเราเข้าไปในลิฟต์โรเบริต์กดปุ่มหมายเลขสอง

    ไม่ถึงวินาทีต่อมา ลิฟต์หยุดดังติ้ง “ชั้นสอง แหล่งรวมความบันเทิง,ร้านอาหาร,สปาและสระว่ายน้ำ ” เสียงผู้หญิงที่ดังออกจากลำโพงข้างผนังลิฟต์พูด

    พอลิฟต์เปิดเราทั้งสามก็มายืนอยู่หน้าร้านที่ติดป้ายตัวบรรจงว่า “ ร้าน มาดามแอนด์บาร์ ” ข้างในตกแต่งด้วยวัสดุราคาแพงและหายาก มีตู้เพลงเก่ากึกปีเก้าศูนย์ตั้งอยู่มุมขวาที่อยู่ติดกับบาร์ขนาดใหญ่ ร้านนี้เปิดให้ลูกค้าเข้ามาทานอาหารพร้อมๆกับดื่มเหล้าไปด้วย ฮันจ์จึงดูตื่นเต้นเป็นพิเศษที่ได้เข้าที่แบบนี้ครั้งแรก

    โรเบริ์ตเดินนำฝ่าฝูงชนที่เดินไปมาเพื่อสั่งเหล้าที่บาร์ไปยังโต๊ะเล็กๆที่อยู่คนละฝั่งกับบาร์ ทั้งสามสาวรอพวกเราอยู่สักพักแล้ว พวกเธอสั่งอาหารหลายอย่างมาตั้งอยู่บนโต๊ะแล้ว ผมเลยรีบเข้าร่วมวงด้วยความหิวทันที

    โรเบริ์ตสั่งเหล้ามาให้สาวๆดื่ม ผมก็จิบนิดหน่อยพอเป็นพิธี แต่ก็ปรามฮันจ์ไม่ให้ดื่มเพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ เขาเชื่อฟังดี แต่ผมก็ยังรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่ผมมองตาเขา

    ไม่ช้าทั้งโรเบริ์ต แคทรีน ลิสซี่ และก็ มาร์ธาเมาแอ๋อย่างไม่ได้สติ ผมเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ มีผู้หญิงหน้าตาดีคนนึงยิ้มให้ผมระหว่างทาง ผมเลยยิ้มตอบ แล้วเดินเข้าห้องน้ำ พอออกมาผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาทักผม เล่าว่าเธอชื่ออลิสเซีย และบอกว่าเธอจำผมได้ เพราะผมเคยเรียนที่เดียวกับเธอ

    ผมนั่งคุยกลับเธอที่บาร์เกือบชั่วโมง จนลืมไปว่าผมมีเพื่อนที่กำลังเมานั่งคอยผมอยู่ ผมหันหลังและก็รู้ว่าพวกเขากลับกันหมดแล้ว แต่...แต่ฮันจ์นอนสลบอยู่ที่โต๊ะที่ผมเดินจากมาในมือกำลังถือขวดเหล้าที่ถูกดื่มไปครึ่งขวด

    ผมรีบบอกลาอลิสเซีย แล้วเดินตรงไปหาฮันจ์ เขาหมดสติไม่ก็กำลังนอนหลับ เขากรนเบาๆเมื่อยื่นหน้าเข้าไปหาเพื่อดูว่าเขาตายรึยัง

    “ ฮันจ์ตื่นได้ เราจะกลับแล้ว ” ผมเขย่าตัวเขา พอเขาค่อยๆเปิดตา ผมรีบพูดต่อว่า “ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ” ฮันจ์พูดจาไม่ได้ศัพท์ “ อารายหยอ-อ้าวคุณนี่เองงงง มามะ ขอกอดหน่อย ” ฮันจ์เมามาก ผมเลยพยุงเขาขึ้นมา แล้วค่อยๆประคองเขาเดินออกจากร้าน ตัวเขาหนักมาก ถ้าผมไม่สะดุดเท้าตัวเองตาย  ก็คงล้มลงแล้วตัวฮันจ์ทับตายอยู่ดี

    ผมค่อยๆลากเขามาหน้าลิฟต์ พอกดปุ่ม ประตูลิฟต์ก็เปิดทันใดเหมือนรู้ใจ การประคองฮันจ์พร้อมกลับการกดปุ่มลิฟต์เป็นเรื่องลำบากมาก ผมกับฮันจ์ค่อยๆเดินเข้าไปในลิฟต์อย่างช้าๆ ผมเอื้อมมือไปกดปุ่มชั้น

    แต่ทำไม่ได้ มันไกลเกินไปเพราะเรากำลังยืนพิงอยูที่กำแพงลิฟต์ ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดแต่มันยังอยู่ที่เดิมเพื่อรอให้ผู้โดยสารกดหมายเลข ผมจึงตัดสินใจค่อยๆหมุนตัวฮันจ์เข้ามาหาผม มือเขาค่อยกอดคอผมเหมือนนึกว่าตัวผมเป็นหมอนข้าง ศรีษะเขาเกยอยู่บนไหล่ผม นี่เป็นการกอดที่สมบูรณ์แบบที่สุดของผมที่เคยมีมา


    ผมนิ่งชั่วอึดใจทั้งที่รู้ว่าผมสามารถกดปุ่มลิฟต์ได้ แต่ผมยังยืนกอดฮันจ์แลกเปลี่ยนความอบอุ่นซึ่งกันและกัน เสียงของเขาดังขึ้น “ โอพระเจ้า...ซอกคอคุณหอมจางงง ” ใจผมเสียววาบอีกครั้ง มันเหมือนอยู่ดีๆลิฟต์ก็หล่นตุบลงจากชั้นที่สิบสอง ใจหนึ่งกำลังคิดว่าถ้าเพียงใครมากดปุ่มเปิดลิฟต์พอดีละ

    ผมจะอธิบายกับเขายังไง  อีกใจก็อยากกอดเขา กอดตลอดไป... เรายืนกอดกันนานถึงห้านาที ช่างเป็นเวลาที่พิเศษที่สุดของผมในชีวิต เราไม่พูดกันแม้แต่คำเดียว แต่ปล่อยให้ใจของเราสื่อสารกันผ่านความอบอุ่นทางร่างกายของเราทั้งสอง...

    เพียงไม่กี่นาทีในลิฟต์ตัวนั้นจะเปลี่ยนหัวใจของเราทั้งคู่ตลอดกาล...

    ผมค่อยๆกลับเข้ามาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ผมจึงจำใจกดปุ่มลิฟต์ไม่นานลิฟต์ก็ขึ้นไปอยู่ชั้นที่ผมกด พอเดินไหมมั้ย “ พอเดินไหวมั้ย ” ผมกระซิบที่ข้างหูเขา เขาพยักหน้าเบาๆ แค่พอเขาเดินด้วยตัวเอง เขาก็ล้มลงไปอยู่กับพื้น เสียงหัวใจหอบระรินด้วยความกลัว “ ผม...ผมมองไม่เห็น ”

    “ เกิดอะไรขึ้น ไม่นะพระเจ้าอย่าทำกับลูกแบบนี้ ” ผมตะโกนดังสุดเสียง “ ใครก็ได้ช่วยด้วย... ช่วยตามหมอที ”  ผมร้องไห้ มีน้ำตาอาบทั่วแก้มของผมมัน ไม่ใช่แค่เพียงน้ำตาที่เอ่อล้นในขณะนั้น แต่หัวใจผมกำลังถูกมือที่มองไม่ให้บีบมันจนแหลกละเอียด

    “ นายจะไม่เป็นไร ฮันจ์ นายจะไม่เป็นไรนายแค่จะหมดสติไปเท่านั้น ” มีเสียงหนึ่งในใจดังขึ้นมาว่าผมกำลังโกหก “ โอพระเจ้า ลูกไม่ชอบแบบนี้เลย ฮันจ์มองตาฉันสิ มองตาฉัน ” เสียงแหบห้าวดังขึ้นว่า “ ผมมองไม่เห็นคุณ ” เขาพูดทั้งที่เขาเปิดตาอยู่ “ ดวงตาสีเขียวอ่อนของคุณหายไปไหน ”

    ผมรีบจับมือเขา “ ฉันอยู่นี่ฮันจ์ นายจะไม่เป็นไร นายสบายดี ” ผมร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิม ฮันจ์ค่อยๆเอามือขึ้นมารูปหน้าผมช้าๆ ผมคว้ามือเขาแล้วเอามาถูที่แก้มผมอย่างอ่อนโยน

    “ ผมรักคุณ ผมหลงรักคุณตั้งแต่เห็นคุณครั้งแรก... ” น้ำตาน้อยๆค่อยเอ่อล้นขึ้นมาที่ตาของเขาซึ่งเหมือนกำลังมองไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

    “ ฉันก็รักนาย ฮันจ์ รักมากพอที่จะไม่กล้ารักใครอีกแล้ว กลับมาอยู่กับฉันได้โปรดเถอะ ” ผมร้องไห้อย่างกับว่าโลกกำลังระเบิด “ ผมอยู่ข้างตัวคุณเสมอ ผมขอ...ขอจูบคุณได้มั้ย ” น้ำตาของผมไหลเผาะลงบนแก้มของเขา

    ผมค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้และใกล้หน้าของเขา ริมฝีปากเราสัมผัสกัน ฮันจ์พยายามจูบผมช้าๆ นั่นเป็นจูบแรกของเขาและกำลังจะเป็นจูบสุดท้าย ริมฝีปากของเราทั้งสองสัมผัสกันนานมาก ไม่นานริมฝีปากของฮันจ์ไม่ขยับ เขาค่อยปล่อยมืออกจากหน้าผม น้ำตาเม็ดสุดท้ายไหลออกจากตาเขาก่อนที่จะปิดสนิทและไม่เปิดอีกเลย

    “ ม่ายยยยยยยยยยยยย....ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย...ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย... ” ผมตะโกนสุดเสียงเพียงหวังว่าจะให้เขาได้ยิน แต่เขาจากผมไปแล้ว จากไปตลอดกาล...


    THE End…
    ป.ล. คนแต่งยังร้องให้เลยพอแต่งจบ

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 23:28:49

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 23:23:48

    จากคุณ : Prince Harry - [ 1 เม.ย. 50 23:22:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom