Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องตลกของโชคชะตา : เพื่อนรักข้างรั้ว

    ตอนที่ 26 เพื่อนรักข้างรั้ว

    โทรศัพท์ที่ดังลั่นทำลายโสตประสาทของเฌลลีเป็นของเพื่อนหนุ่มเมืองจันท์ที่เป็นคนละคนกับเจ้าของคอลัมน์ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจในมติชนสุดสัปดาห์ แฮ่ม...แต่ความหล่อสูสีกันใช้ได้

    “ไง มัสเซล เมื่อไหร่จะมาเยี่ยมหลาน” ประโยคแรกที่ส่งมาตามสายบอกเล่าถึงผลงานของตัวเอง

    “กึ๋ย... มีหลานแล้วเหรอเนี่ยฉัน เฮ่ย นายมีน้ำยากะเค้าด้วยเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อ”

    “สบประมาท ชะ มารับขวัญหลานซะดีๆ พรุ่งนี้คุณปู่คุณย่ามาจากเมืองจันท์ คุณตายคุณยายมาจากเชียงราย นี่นะ ถ้าเธอได้เห็นหน้าลูกฉันแล้วเธอจะอึ้ง มันหล่อเหมือนพ่อมันเลย”

    “โห ลูกชายด้วย”

    “แน่นอน แม่พลอยไม่ปล่อยจากอ้อมอกเลย ฉันจะอุ้มไปให้ป้าก้อยมันดูก็ยังหวงแน่ะ” อาการอย่างนี้แหละเขาเรียกว่าเห่อลูก  

    “พี่ก้อยกลับมาจากแคนาดาเหรอ น้องกัสมาด้วยหรือเปล่า” พี่สาวของเกื้อแต่งงานกับหนุ่มแคนาดา ลูกสาวที่เป็นผลิตผลครึ่งไทยครึ่งแคนาเดียนจึงน่ารักน่าหยิก และทุกครั้งที่พี่ก้อยกลับเมืองไทยก็มักจะพาน้องกัสจังมาเที่ยวเล่นที่บ้านเฌลลีบ่อยๆ

    “อ๊ะ หลานชายคนแรกของตระกูลเฟ้ยยย ไม่มาได้รึ ป้าก้อยน่ะเห่อหลานยังกะอะไร เออนี่ ได้ข่าวว่าเธอสอบเรียนต่อได้ จะบินเมื่อไหร่ แล้วไอ้ยื่นมันไม่บ้าตายเหรอ” เกื้อเป็นสามีของแม่พลอยซึ่งเป็นเพื่อนนักเขียนของเฌลลี แม่พลอยเป็นนักแปลอิสระและคอลัมนิสต์ที่เขียนบทความในนิตยสารเล่มเดียวกับเฌลลี ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน เฌลลีแนะนำให้ณนนท์รู้จักกับเกื้อทำให้ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนร่วมก๊วนสหายสุราและเป็นเพื่อนกันในไม่ช้า

    “มันจะบ้าอะไรยะ ฉันไม่ใช่แฟนมันนี่”

    “ไอ้ยื่นมันจะเลียนแบบรักอ้ำอึ้งเหมือนฉันกับแม่พลอยหรือไง” ความรักของเกื้อกับแม่พลอย เป็นความรักที่ทำเอาพ่อแม่และเพื่อนฝูงต่างลุ้นกันจนเหงื่อตก เพราะเจ้าประคุณเล่นหลงรักสาวเจ้ามาถึงสามปีแต่ไม่เอ่ยปากบอกเลยสักคำ ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงแสนรักของทั้งสองบ้านล่วงหน้าไปก่อนด้วยการมีพยานรักสองตัวจนเพื่อนๆ ทนไม่ได้เลยวางแผนให้ทั้งคู่สารภาพรักต่อกัน

    “คนอย่างตานั่นน่ะเหรอจะอ้ำอึ้ง ไม่มีทางเสียหรอก”

    “มันจะเล่นตัวไปถึงไหนวะ เดี๋ยวพ่อเกื้อก็หาแฟนใหม่ให้มัสเซลซะเลยนี่” หมอนี่ก็อีกคน... ที่เรียกเธอว่าหอบกาบเป็นภาษาอังกฤษ

    “หูย ย่ะ พ่อคนเก่ง แต่คงไม่ต้องแล้วล่ะมั้งเพราะเดี๋ยวฉันก็ไปเรียนต่อแล้ว ณนนท์ก็คงจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนจริงๆ สักที”

    “ถ้ามันพลาดจากเธอนะ มันจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว ฟันธง”

    “ไม่ต้องมายกยอปอปั้นว่าฉันเริ่ด ซึ่งถึงแม้ความจริงจะเป็นอย่างนั้นก็เหอะ ตกลงพรุ่งนี้จะให้ไปกี่โมง”

    “เวลากินข้าวเย็น เอ่อ แล้วมาเป็นคู่นะเว้ย ไม่อนุญาตให้มาคนเดียว”

    “จะว่างหรือเปล่าเถอะ ณนนท์น่ะ”

    “ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องมาให้ได้ มาไม่ได้เดี๋ยวตามถึงบ้านเลย เฮ้ยยยย เว้ยลูกร้อง ตายห่ะ ทำไงวะเนี่ย มันฉี่เว้ย มันฉี่” แล้วพ่อเกื้อของน้องกล้าก็ตัดสายตื้ด...

    “ใครโทฯ มา” ณนนท์ถามทันทีที่เฌลลีวางสาย

    “พ่อเกื้อกับแม่พลอย โทฯ มาบอกข่าวดีว่ามีพลอยน้อยแล้วชื่อ “น้องกล้าหาญ” พรุ่งนี้ชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน”

    “เออ เนอะ เผลอแป๊บเดียวมีลูกซะละ ผมละนึกถึงตอนที่นั่งลุ้นคู่นี้ว่าเมื่อไหร่จะแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวเสียที”

    “ย่ะ ตอนนี้พวกเขาก็มาลุ้นเราสองคนแทนไง”

    “อื้อ สมน้ำหน้ามัน อยากปล่อยให้เราลุ้นดีนัก ตอนนี้ทีใครทีมันละ” คำตอบของณนนท์ทำให้หัวใจของเฌลลีเฉาลงทันทีเหมือนผักบุ้งโดนน้ำมันในกระทะร้อนจัด อุตส่าห์แอบดีใจนึกว่าจะได้ยินคำว่า “งั้นเราก็เลิกทำให้ทุกคนลุ้นซะทีดีกว่า” แต่เปล่า...

    “ผมลาหยุดงานสามวันว่าจะชวนคุณไปเที่ยวน่ะ” ณนนท์เปลี่ยนเรื่อง

    “ต๊าย ลางานก็ขาดรายได้แย่เลยสิ”

    “ไม่ต้องประชดเลยแป้น”

    “ก็หรือไม่จริง เวลาเป็นเงินเป็นทองไม่ใช่เหรอแกน่ะ ตอนฉันย้ายบ้านแกก็ไปสอน ตอนฉันไปสอบแกก็ไปเมืองนอก ตอนฉันจะไปเที่ยวแกก็แสร้งทำเป็นมีงานด่วนเข้ามา ตกลงตอนนี้อยากหยุด กลัวเงินทับหัวตายหรือไง”

    “ผมจะไปดูบ้านที่มีภูเขาอยู่ข้างหน้า มีแม่น้ำอยู่ข้างหลังน่ะ”

    “ไอ้บ้า บ้านฉันอยู่หน้าเขา ภูเขาตะหากอยู่หลังบ้านฉัน”

    “อ๊ะ รู้ตัวด้วยว่าเป็นคนบ้านนอก”

    “หูย ใครจะไปในเมืองเหมือนสุขุมวิทล่ะค๊า”

    “แม่ผมปิดเทอมแล้วด้วย เดี๋ยวพาแม่ไปล่องแพเขื่อนลำปาว นมัสการพระพุทธไสยาสน์ภูค่าว พักผ่อนหย่อนใจ เปลี่ยนบรรยากาศซะหน่อย”

    “ล่องแพแม่น้ำแควน้อยยังไม่สะใจว่างั้นเถอะ” เฌลลีเหน็บไปอีกดอก

    “เอ๊ะ แป้นศรี ตกลงจะให้ไปไหมเนี่ย ช่วงนี้โปรโมชั่นพิเศษ มีน้องเล็กไปเป็นเด็กยกกระเป๋าด้วย”

    “ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวฉันจะพาแกปีนภูให้เห็นกับตาเลยว่าบ้านฉันอยู่ข้างหน้า”

    “โอเค งั้นไปเก็บของเตรียมออกเดินทาง”

    “เฮ้ย อะไรมันจะปุบปับปานนั้น”

    “อ้าว แล้วต้องรออะไรด้วยเหรอ”

    “แกไม่คิดจะให้ฉันเตรียมตัว เตรียมใจมั่งเลยเหรอ”

    “เตรียมใจเรื่องอะไรอีก” ณนนท์ยังสงสัย

    “ไม่เคยมีผู้ชายไปหาถึงบ้านนี่หว่า” เฌลลีก้มหน้างุดๆ

    “โหววว แป้น อายุก็ปูนนี้แล้ว ยังไม่เคยมีผู้ชายไปหาถึงที่บ้านอีกเหรอ”

    “ปากแกนี่มัน...”

    “ได้ข่าวว่าคุณนายสุวเนตรใจดีมาก” ณนนท์เปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว

    “ได้ข่าวมาจากไหนยะ สนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียกคุณนายสุวเนตร... หมั่นไส้”

    “หรือจะให้เรียกแม่ยาย” ไม่พูดเปล่า แต่ทำหน้าตาทะเล้น ยื่นคางยาวๆ มาใกล้ๆ จนเฌลลีต้องหลบ
    และประโยคนั้นของณนนท์นนั่นเองที่ทำให้เธออึ้ง และหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

    “ก็ไม่ต่างกับที่คุณตีซี้คุณนายดารณีนั่นแหละน่า อย่าคิดว่าผมไม่รู้ทันเชียว แอบไปหัดทำสเต็กกับคุณแม่ผม ผมก็แอบไปถามเทคนิคการเขียนเรื่องสั้นจากคุณแม่คุณได้เหมือนกัน”

    “แกโทฯ ไปหาแม่ฉันเหรอ”

    “ที่จริงก็ไม่ได้โทฯ หาแม่คุณตรงๆ หรอก แต่โทฯ ไปที่บ้าน แล้วลีโอเป็นคนรับสาย จากนั้นพ่อคุณก็มาคุยกับผม แล้วก็มิลลี่ แล้วก็คุณแม่คุณ”

    “เหวอ... ทั้งบ้านเลยเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

    “ตั้งแต่รู้ว่าคุณแอบตีท้ายครัวแม่ผมนั่นแหละ”

    “โอย จะบ้าตาย แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน”

    “อ้าว ต้องบอกด้วยเหรอ ไม่รู้นะนี่”

    เฌลลีย้ายมาอยู่บ้านนี้กึ่งถาวร หลังจากที่ลาออกจากงาน แต่ในฐานะ “ผู้อาศัย” เฌลลีเลยได้รับอนุเคราะห์ห้องใต้บันไดเป็นที่พำนัก ซึ่งจะว่าไปก็คือห้องเก็บของนั่นแหละ แต่ที่นอนของเฌลลีก็ยังเป็นห้องของณนนท์อยู่เช่นเคยและเจ้าของห้องที่แท้จริงก็มีที่นอนถาวรเป็นของตัวเองตรงโซฟาหน้าทีวี หรืออย่างน้อยที่สุดก็ในระหว่างที่เฌลลียังไม่ออกเดินทาง

    “นึกยังไง อยากไปบ้านฉัน”

    “ใครบอกว่าผมอยากไปบ้านคุณ ผมแค่อยากพาแม่ไปเที่ยว”

    “แล้วคุณนายดารณีรู้หรือเปล่าว่าลูกชายจะพาไปตกระกำลำบากน่ะ”

    “รู้มากกว่านั้นอีก เหอะๆ” ณนนท์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น

    “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ไปกินข้าวเย็นบ้านแม่พลอย แล้วเช้ามะรืนออกเดินทาง ตกลงไหม”

    “ผมให้น้องกลางไปรับแม่กลับมาจากไทรโยคพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”

    คราวแรกที่คุณนายดารณีรู้ว่าเฌลลีลาออกจากงานและเตรียมตัวไปเรียนต่อก็แสดงความตื่นเต้นยินดีประหนึ่งว่าลูกในไส้เป็นผู้สอบได้เสียเอง แต่พอหันไปหากุลบุตรสุดหล่อก็ต้องส่ายหน้าระอาจิต เพราะณนนท์ไม่ยอมเรียนต่อด๊อกเตอร์ตามความต้องการของบุพการี ทั้งๆ ที่ได้ทุนเรียนฟรีของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เหตุผลของณนนท์ ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร...
    แต่ความต้องการที่จะให้ลูกเรียนสูงๆ มีหน้าที่การงานดีๆ นี่เป็นกันทุกแม่ ไม่ว่าจะแม่ที่เป็นแค่ครูประถม หรือแม่ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย (และเจ้าของรีสอร์ท) ขึ้นอยู่กับแต่ละแม่จะเอาสเกลไหนมาวัดความ “สูง” ของการศึกษา สำหรับคุณนายสุวเนตรเธอถือว่าการเรียนจบปริญญาโทได้คือความพยายาม และการสอบเรียนต่อปริญญาเอกได้ถือเป็นกำไร...

    คุณนายดารณี เอ็นดูรักใคร่เฌลลี และยินดีที่เธอมาเป็นสมาชิกของบ้านชายโสดหลังนี้

    “เอานะ ถึงลูกชายของแม่จะยังไม่มีใครคิดอยากจะเรียนต่อ แม่ก็มีลูกสะใภ้เป็นว่าที่ด๊อกเตอร์แล้วล่ะ” ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ คุณนายดารณี..../

    จากคุณ : ดาริกามณี - [ 11 เม.ย. 50 09:48:26 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom