ฉันทำงานในโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง เป็นที่รู้กันอยู่ว่าโรงพยาบาลเป็นที่รวมของความรู้สึกเศร้า เจ็บปวด การพลัดพรากและแม้แต่การดิ้นรนจนถึงที่สุดเพื่อการอยู่ของคนที่เรารัก ระยะเวลา 10 กว่าปี ทำให้บางครั้งฉันมองเห็นการจากกันด้วยความตายเป็นเรื่องปกติของการดำเนินชีวิต ไม่ใช่ชินชาหรือไร้ความรู้สึก แต่ในการต้องบอกใครสักคนว่าคนที่คุณรักต้องจากเขาไปซ้ำ ๆ ทุกวัน ทำให้คุณต้องเจอน้ำตาของใครต่อใครมากมาย เสียงกรีดร้อง อาการนิ่งงันแล้วล้มลงไปทั้งยืน หรือแม้แต่อาการชี้หน้าด่าทอว่าเราไม่ช่วยชีวิตคนที่เขารัก ทำให้เราต้องเข้มแข็ง ต้องทนเพื่อให้ทุกคนก้าวผ่านจุดนี้ไปสู่ความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการจากไปแบบกะทันหัน แบบรู้ตัวล่วงหน้า ก็ทำให้ต้องเจ็บปวดทั้งตัวผู้ป่วย ทั้งคนที่รักและทั้งผู้ดูแลอย่างเรา
วันหนึ่งฉันได้พบผู้หญิงคนหนึ่ง สมมุติว่าเธอชื่อ หนิง หนิงเป็นหญิงสาววัย 26 ปี ถึงเธอจะไม่ได้สวยมากขนาดเป็นดาวของสถาบันหรือนางงามเวทีไหน แต่เธอก็พอที่จะมีชายที่มองเห็นถึงความงามของธอมาสู่ขอและแต่งงานตามประเพณี หนิงทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งที่เดียวกับสามี ถึงแม้จะเงินเดือนไม่มากมายนัก แต่ 2 คนอยู่ด้วยกันอย่างไม่ฟุ่มเฟือยกลับมีเงินเก็บซะด้วย หากจะพูดไปแล้วชีวิตของหนิงสมบูรณ์แบบและน่าอิจฉามาก ๆ ด้วยซ้ำ แต่ในวันนี้เธอมารับการรักษาที่ร.พ. ด้วยมะเร็งช่องปากระยะสุดท้าย
2 ปีที่แล้วหนิงมีแผลในปากเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ถึงแม้เธอจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมะเร็งมาบ้าง เธอก็ไม่เคยคิดว่าเธอจะเป็นโรคนี้ หลังจากนั้น 1 ปี หนิงมาตรวจเพราะรู้สึกว่ามีกลิ่นปากรุนแรงมากขึ้นจนถึงกับมีเพื่อนร่วมงานทนไม่ได้จนต้องบอกเธอ แต่แผลในปากของหนิงและอาการต่อมน้ำเหลืองบวมโต รวมทั้งอาการไข้เป็น ๆ หาย ๆ ไม่ทราบสาเหตุ ทำให้หมอตรวจเธอเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรเลย จนตรวจเสร็จ หมอบอกเธอประโยคเดียวว่า ขอตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ และตบลงที่บ่าเธอเบา ๆ 2 ครั้ง เธอก็ตกลงยินยอม และคิดว่าเป็นการตรวจสุขภาพไปในตัว ไม่ได้คิดด้วยซ้ำ ถึงผลที่จะตอบกลับมา
1 เดือนหลังจากนั้นหนิงได้รับไปรษณียบัตรจากโรงพยาบาลเรื่องให้รีบมาฟังผลตรวจชิ้นเนื้อ ในความคิดของหนิงเธฮคิดว่า คงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ร.พ.จะต้องแจ้งให้คนที่เคยตัดชิ้นเนื้อมาฟังผลตรวจ วันนั้นหนิงได้พบกับหมอคนเดิมที่เคยตรวจเธอไปเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว ถึงหมอจะไม่ค่อยได้พูดหรืออธิบายอะไรกับเธอเลย แต่หนิงยังจำได้ถึงการตบบ่าเบา ๆ ของเธอ ในการพบหมอคราวนี้ดูเป็นทางการกว่าคราวที่แล้ว หมอถามถึงครอบครัว ถึงแม่ ถึงสามี ถึงงานที่เธอทำ และมาจบด้วยประโยคที่ทำให้เธอรู้สึกว่าคงมีอะไรผิดปกติในชีวิตแล้ว ถ้าคุณเป็นโรคร้าย คุณจะบอกกับญาติไหมครับ หนิงเงียบไปเมื่อได้ฟังประโยคนี้ไม่ได้ตอบคำถาม ได้แต่มองหน้าหมอที่นั่งอยู่ด้านข้าง ซ้ายของเธอ ครับผลการตรวจชิ้นเนื้อของคุณ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ขณะนี้ได้ลามไปเกือบทั่วร่างกายแล้ว ประโยคนี้เป็นประโยคสุดท้ายที่หนิงรู้สึกว่าฟังด้วยสติสัมปชัญญะเต็ม เพราะหลังจากนั้นหนิงรู้แค่ว่ามีคนมาพาหนิงไปเอ็กซเรย์ อุลตราซาวน์ เจาะเลือด หนิงได้รับใบนัดแผนกนั้นแผนกนี้ยุ่งไปหมด ทุกคำพูดผ่านหูหนิงไป เธอได้แต่พยักหน้า ไม่รู้ว่าทุกคนที่พูดอยู่นั้นกำลังพูดเรื่องอะไร เพื่ออะไร
เย็นวันนั้นหนิงเดินกลับบ้าน ระยะทาง 5 กิโลเมตร ไม่ได้ทำให้หนิงรู้สึกเหนื่อย หลายคนที่รู้จักเธอจอดรถถามว่าจะไปไหน เธอได้แต่ส่ายหน้า ไม่ตอบคำถาม บางคนมองหนิงด้วยความสงสัยอยากรู้ แต่หนิงก็มองพวกเขาผ่านไป เหมือนต้นไม้...ข้างทาง หนิงกลับถึงบ้านเกือบมืดแล้ว สามีของหนิงนั่งรออยู่ในบ้าน เขาถามหนิงว่าเดินมาเหรอ แล้วรถไปไหน หนิงถึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่ารถมอเตอร์ไซด์ของเธอจอดอยู่ที่โรงพยาบาล
จากคุณ :
ภูผา-น่านฟ้า
- [
12 เม.ย. 50 03:22:47
]