Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    หนิง...ผู้หญิงกับมะเร็งระยะสุดท้าย(สิ่งมาเยือน...ชื่อความเปลี่ยนแปลง)

    1 อาทิตย์หลังจากนั้นที่บ้านของหนิงเต็มไปด้วยผู้คน แม่ที่เลี้ยงดูเธอมาหลังจากพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก ๆ  พี่ชาย 2 คนของหนิงที่อยู่ต่างอำเภอ ก็มาด้วย ทุกคนได้รับโทรศัพท์จากสามีของหนิงว่า หนิงเปลี่ยนไป ซึมเฉย ไม่พูด ลางานไม่มีกำหนดทั้ง ๆ ที่หนิงไม่เคยลามาตลอดระยะเวลาการทำงาน ไม่กิน  และกลางคืนก็นอนเฉยไม่หลับ วัน ๆ เอาแต่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง มองออกไปไม่มีจุดหมาย  
                                หนิงรู้ว่าทุกคนคงเป็นห่วงเธอมากโดยเฉพาะแม่ที่เลี้ยงเธอมา ตอนนี้แม่อายุมากแล้วยังเป็นโรคหัวใจอีกด้วย หากเธอบอกแม่ว่าเธอเป็นมะเร็ง  แม่คงจะแย่กว่าเธอแน่ ๆ แล้วพี่ชายทั้ง 2 ของเธออีก ถึงจะอยู่ไกลกันแต่แม่ก็เลี้ยงเรามาและสอนให้รักกัน ถ้าพี่ชายรู้ แม่คงรู้เรื่องด้วยแน่ ๆ   หนิงจึงยังไม่ได้บอกใคร และเมื่อทุกคนถามหนิงจึงบอกว่ารู้สึกเบื่อ ๆ เลยอยากอยู่เฉย ๆ     พี่ชายของหนิงเฝ้าถามแต่ว่าเธอ ตั้งท้องหรือเปล่า   แถมยังเอาไปแซวสามีของเธออีกว่าแต่งงานมาตั้งนานแล้วกลับไม่มีน้ำยา    เธอได้แต่ยิ้มรับไป ในใจอยากจะบอกเหลือเกินว่าคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว
                             หนิงตัดสินใจบอกสามีหลังจากนั้นเพราะเขาเองก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอ    เธอปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กับเขาอย่างสิ้นเชิง    เธอพูดลิ้นคับปาก    มีแผลในปากและน้ำลายไหลตลอดเวลา   มีกลิ่นปากแรงมากจนเหมือนกลิ่นอะไรเน่า   เธอผอมลงอย่างรวดเร็ว  เธอดูเหนื่อยง่าย ๆ ทั้งที่เดินแค่ไม่กี่ก้าว   เธอไปโรงพยาบาลบ่อยครั้ง และทุกครั้งที่กลับมาเธอจะเพลียมากคลื่นไส้อาเจียนตลอดเวลา    และบางครั้งก็มีท้องเสียรุนแรง และในเวลาไม่นานเขาก็เห็นผมเธอร่วงจนหน้าตกใจ   วันที่เธอตัดสินใจบอกเขาคือวันที่เธอจะต้องไปนอนโรงพยาบาลหลายวันเพื่อเตรียมให้ยาเคโมชุดใหม่ซึ่งต้องดูแลใกล้ชิด   และยาก็อันตรายมากต้องให้ญาติมาลงลายมือชื่อยินยอม    เธอจึงตัดสินใจบอกเขาเพื่อให้เขาไป  ร.พ.  พร้อมเธอ  เมื่อเขาฟังเธอเล่าจบลงและบอกเหตุผลที่เธอต้องบอกเขาในวันนี้  สามีของหนิงนั่งนิ่งไม่พูดอะไร ตาของเขาแดงกร่ำทั้ง 2 ข้าง  เขาถามหนิงแค่ว่า รู้นานแล้วใช่ไหม ตั้งแต่วันนั้นหรือเปล่า หนิงสบตาแล้วทำได้แค่พยักหน้า     แล้วทั้ง 2 ก็พากันเดินมาที่รถเพื่อมา ร.พ.   มาร.พ. คราวนี้หนิงได้นั่งสบายกว่าทุกครั้ง  สามีของหนิงเป็นคนดำเนินเรื่องทุกอย่างให้เธอ  เธอบอกเขาว่า ไม่ต้องอยู่ ร.พ.เป็นเพื่อนหรอกเพราะที่นี่เธอรูจักเพื่อนร่วมโรคหลายคน  และพยาบาลที่ดูแลส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยกันดีอยู่   ก่อนเดินออกไปจากห้องที่เธอนอนอยู่    สามีของหนิงหันมามองแล้วถามเธอว่า “ทำไมถึงไม่บอก  เราไม่ได้เป็นผัวเมียกันเหรอ” แล้วเขาก็เดินออกไปหนิงได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขาที่ค่อย ๆ เคลื่อนไกลออกไป  วันนั้นหนิงไม่รู้เลยว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เจอเขา
                                  เกือบหนึ่งอาทิตย์ ที่หนิงนอนอยู่ ร.พ. ไม่มีใครมาเยี่ยมหนิงเลย อาจมีคนรู้จักมาเจอและทักเธอบ้างแต่เธอก็ไม่ได้บอกอะไรใครไป  พยาบาลหลายคนมาถามเธอว่าจะให้โทรตามญาติไหมเพราะเห็นว่าหนิงไม่มีโทรศัพท์มือถือและยังไม่มีใครมาเฝ้า เพื่อนที่เป็นโรคเดียวกับเธอบางคนก็มองด้วยความเห็นใจและบางคนก็มองด้วยความอยากรู้  
                                  ในวันหนึ่งหรับยาตามเวลาแล้ว หนิงรู้สึกเพลียมากและปวดแผลมากกว่าทุกครั้งที่เคยปวด เพราะในขณะนี้แผลมะเร็งที่ปากของเธอได้แตกแล้ว มันเป็นที่ริมฝีปากด้านขวา มีเนื้อ
    งอกย้อยลงมากว่า 10 ซม. เกือบถึงหน้าอก มีน้ำเหลืองไหลซึมตลอดเวลา และที่สำคัญมันมีกลิ่นเหม็นมากขนาดคนที่นอนเตียงข้างเธอยังเบ้หน้าทุกครั้งที่ได้กลิ่น  และคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ทำสีหน้าประหลาดที่ได้กลิ่นเมื่อเดินผ่านเตียงเธอไป    วันนี้เธอจึงตัดสินใจขอยาแก้ปวดชนิดแรงที่สุด ที่พยาบาลบอกว่าถ้าเธอปวดจนทนไม่ไหวให้บอกเพราะหมอได้สั่งยาไว้ให้แล้วในกรณีที่เธอปวดมากเพื่อบรรเทาอาการ เพียงแต่ยาตัวนี้จะทำให้ง่วงนอนมากเท่านั้น  หลังฉีดยา หนิงนอนอยู่ที่เตียงแล้วหลับไป
                                 ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว     หนิงลืมตาขึ้นมาพบว่ามีหญิงชราที่คุ้นเคยดีนั่งอยู่ข้าง ๆ เตียง  หญิงคนนั้นใช้พัดอันเล็ก ๆ พัดตามตัวให้เธอ   ลูบศีรษะเธอ เมื่อเธอลืมตาและบอกเธอว่า  “หลับซะลูก แม่จะนั่งพัดแมลงให้”  หนิงจับมือที่ลูบหัวอยู่มาวางไว้ที่หน้าอก  ไม่ว่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยา หรือเป็นเพราะไม่มีแมลงมาตอมแผลให้รำคาญ แต่หนิงก็หลับไปได้อีกครั้งด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ไม่มีใครเห็นมานานนับเดือน
                                  หนิงลืมตาตื่นมาอีกครั้ง แม่ยังนั่งอยู่ที่เดิม มือหนึ่งยังคงพัดแมลงให้เธอด้วยพัดอันเดิม และอีกมือหนึ่งยังอยู่ในมือของเธอที่หน้าอก  แม่คงจะเมื่อยมากเหมือนกันเพราะเธอดูนาฬิกาที่อยู่ที่เสาข้าง ๆ แล้ว มันผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง      
                                  “ไม่ต้องเล่าอะไรหรอกแม่รู้แล้ว” แม่บอกหนิงเมื่อหนิงกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา  หนิงลุกขึ้นนั่งกอดแม่แล้วร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อายใคร   พยาบาลหลายคนมองตามเสียงแล้วก็ตาแดงเพราะพวกเขารู้ดีว่าหนิงไม่ได้บอกญาติคนไหนเลย  คนไข้คนอื่น บางคนมองแล้วก็ร้องไห้ตาม บางคนก็มองผ่านเลยไป    เย็นนั้นหลังจากกินข้าวแล้ว หนิงทำแผลตามปกติแต่วันนี้มีแม่มองอยู่ไม่ห่างนัก หนิงรู้สึกว่าความเจ็บลดลงจนแทบไม่มี   หลังทำแผลเสร็จหนิงลงไปนอนที่เสื่อกับแม่  เพราะบนเตียงห้ามคนนอนเกิน 2 คนเป็นกฏของ ร.พ. ซึ่งหนิงเข้าใจดีเพราะอย่างน้อยเตียงนี้ก็ยังจะได้ใช้ไปได้นาน ๆ   หนิงถามแม่ว่า แม่รู้ได้อย่างไร    แม่บอกว่ามีคนเห็นหนิงที่นี่แล้วไปถามแม่ว่าเป็นอะไร   แม่ตกใจมากที่รู้ว่าหนิงอยู่ ร.พ. จึงโทรไปถามสามีของหนิง เขาจึงเล่าให้ฟัง แล้วบอกขอโทษแม่และฝากมาบอกหนิงว่าเขาขอเลิกเธอ    ขณะที่แม่เล่าสีหน้าของแม่ดูเป็นกังวล  คงกลัวว่าหนิงจะเสียใจ   แต่หนิงอยากจะบอกแม่ว่าเปล่าเลย เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจแค่สงสัยว่าเขาขอเลิกกับเธอเพราะอะไรแค่นั้น  โชคดีที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส จึงไม่เป็นปัญหาทางกฎหมาย       อีกสิ่งหนึ่งที่เธอสงสัย ทำไมคนที่เธอกังวลและเห็นว่าอ่อนแอที่สุดกลับอยู่ข้างเธออย่างสงบ     คอยปลอบโยน  และดูเข้มแข็งเป็นที่พึ่งพิงให้เธอเหมือนเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็ก

    จากคุณ : ภูผา-น่านฟ้า - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 00:51:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom