นิทานเหล่านี้เป็นเรื่องสมมุติแต่งขึ้นมั้ง อาจจะเกี่ยวข้องกับบุคคล สมาคม หรือรัฐบาลใด ๆ หากชื่อของตัวละครหรือสถานที่ จงใจไปพ้องกับผู้ใดผู้หนึ่ง หรือสถานที่ใดที่หนึ่ง ผู้เขียนก็ขอเผ่นไปจากที่นี้
วรรค ๑ พระราชบัญญัติค้าปลีกค้าส่ง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W5293048/W5293048.html
วรรค ๒ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W5340760/W5340760.html
วรรค ๓ ฮวงจุ้ยต่ออายุ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W5343795/W5343795.html
~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~~:~
~:~ นกโง่ ลิงโง่ และคนโง่ ~:~
กลางดึกนั้น พ่อนกนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาเพราะมีเรื่องรบกวน ลูกนกซึ่งสังเกตอาการบิดามาตั้งแต่เย็นจึงลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยถาม
พ่อจ๋า พ่อเป็นอะไรหรือจ๊ะ
พ่อมิใคร่สบายใจเลย พ่อนกกระซิบแผ่วเบาในความมืด
ไม่สบายใจเรื่องอะไรจ๊ะ เรื่องผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นจะกลับมามีอำนาจอีกใช่หรือเปล่า
มิใช่ดอกลูกรัก ถึงเขาจะรีเทิร์นออร์นอตก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับเราหรอก แต่ที่พ่อเป็นกังวลคือเรื่องที่พวกพ้องของเราแยกตัวไปเมื่อบ่าย พวกเขายังไม่ละทิ้งนิสัยเก่า คงเที่ยวก่อความรำคาญให้พวกมนุษย์ และไม่ช้าไม่นานก็คงจะนำมาพินาศมาสู่หมู่เราทั้งหมด
พินาศเจียวหรือพ่อ! ลูกนกอุทานอย่างตกใจ เสียงของเขาปลุกนกกระจาบรังใกล้ ๆ ตื่น เมื่อพวกมันรู้ว่าสองพ่อลูกกำลังคุยกัน ก็สะกิดรังถัดไปเรื่อย ๆ ให้มาล้อมวงฟังเรื่องน่าสนใจ
ลูกเอ๋ย คำพังเพยของมนุษย์กล่าวไว้ว่า ตีงูอย่าตีเพียงหลังหัก เพราะงูเป็นสัตว์ที่ผูกใจเจ็บ มักย้อนมาทำร้ายในภายหลัง แต่ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายแล้ว ต้องถือว่ามนุษย์อาฆาตแรงที่สุด แม้เราจักลักเมล็ดข้าวสุกของพวกเขาเมล็ดเดียว ไฟแค้นของพวกเขาก็คงพอที่จะเผารังล้างเผ่าพงศ์วงนกกระจาบให้สิ้นไปจากสุวรรณภูมิ
ลูกนกอึ้งไปพักใหญ่ แล้วจึงออกปากตำหนิพวกนกคะนองที่ไม่ยอมเชื่อฟังพ่อนกกระจาบ
ทำไมพวกเขาช่างโง่เขลาเช่นนี้ ถึงกับนำความพินาศมาสู่ที่พำนักแลเผ่าพันธุ์ของเรา
มิใช่มีแต่นกกระจาบเท่านั้นหรอกนะลูก ในครั้งอดีตก็เคยมีผู้ที่ใช้ความโง่เขลาแก้ไขปัญหา กระทั่งนำความพินาศมาถึงทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง
ลูกนกอ้อนวอนพ่อนกให้เล่าเรื่องในอดีตชาติให้ฟัง พ่อนกขัดลูกไม่ได้จึงต้องสาธกนิทานที่เขาอ้างว่าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
ครั้งนั้น พระเจ้าเห็บที่หนึ่งครองกรุงสารขัณฑ์ พระองค์เกิดนึกอยากประพาสป่าเสียดื้อ ๆ จึงตามตัวราชบุรุษผู้รับใช้ใกล้ชิดพากันลอบหนีสายตาเสนาอำมาตย์ไปตามลำพังสองคน
ป่าใกล้ ๆ นั้นมีนามว่าป่าเขายายเที่ยง อันอุดมไปด้วยธรรมชาติอันงดงามพร้อมสรรพสัตว์น้อยใหญ่ พระราชาและคนสนิทเดินทางมาได้สักพัก ก็ทอดพระเนตรเห็นสิ่งมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง
มันคือรูปสลักศิลาวานรสองรูป อันจัดตั้งอยู่บนคาคบไม้ไม่สูงนัก รูปหนึ่งเป็นศิลาหินอ่อนสีขาว รูปหนึ่งเป็นศิลานิลสีดำ ทั้งสองรูปทำท่วงทีคล้ายดั่งกำลังช่วงชิงผลไม้ศิลาสีแดงสดสามลูกอยู่
ชอบกลจริงเชียว รูปที่งดงามเหล่านี้ไฉนมาปรากฏอยู่ในป่าทึบ
พระเจ้าเห็บรำพึงขณะยืนจ้องลิงหินทั้งสองอยู่ ราชบุรุษเห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้นบ้าง
นั่นน่ะซี เมื่อแรกที่ระหม่อมเห็นก็นึกว่าเป็นลิงจริง ๆ เสียอีก
พระราชาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็โบ้ยไปทางคาคบไม้
เจ้าปีนขึ้นไปเอารูปสลักเหล่านั้นลงมาซิ
ราชบุรุษยิ้มแหย ๆ แต่มิอาจขัดพระราชโองการ จึงจำต้องปีนขึ้นไปข้างบน ในใจคิดว่า ถ้ามันหนักจนยกไม่ไหวจริง ๆ อย่างน้อยผู้เป็นนายก็คงประจักษ์ในความพยายามของเขาแล้ว
ทว่าเมื่อเขาขึ้นไปยกมันดูจริง ๆ ก็พบว่าเบากว่าที่คิด คล้ายดั่งรูปเหล่านี้เป็นเพียงหินกลวง ศิลาวานรชิงผลไม้จึงถูกนำมาวางไว้บนพื้นโดยสวัสดิภาพ
ทันใดนั้น เสียงแหลมเล็กสองเสียงก็ดังขึ้นจากรูปสลักหิน
ท่านผู้ผ่านมา
โปรดช่วยข้าด้วย
อย่าไปช่วยมันนะ ช่วยข้าดีกว่า
ราชบุรุษสะดุ้งถอยจากก้อนศิลาลึกลับด้วยความตกใจ แต่พระราชาเพียงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเท่านั้น
พวกเจ้าจะให้ข้าช่วยอะไร
ข้าอยากได้ผลไม้สามลูกนั้น
เจ้าไม่มีสิทธิ์ มันเป็นของข้า อีกเสียงขู่ฟ่อ
แต่เดิมมันเป็นของข้ามาก่อน อ้ายโจรหน้าด้านอย่างเจ้าแย่งข้ามาต่างหากล่ะ
พระเจ้าเห็บกอดอกนิ่ง เขาว่าจะรอให้ลิงหินสองตัวนี้เถียงกันจบเสียก่อน แต่ดูท่าว่าคงจะอีกนาน
พวกเจ้าทุ่มเถียงกันเสร็จหรือยัง ถ้ายังไม่รู้จักสงบกันบ้างข้าจะทิ้งพวกเจ้าไว้ที่นี่
ฟังดังนั้น เสียงแรกจึงร้องโหยหวน โอ.. เจ้านาย อย่าทิ้งข้าไป ข้าทนทรมานมานานแล้วอยากเป็นอิสระเสียที
ใช่ ๆ ท่านช่วยข้าทีเถิด
แล้วจะให้ข้าช่วยยังไง พวกเจ้าบอกวิธีมาทีซิ พระราชาตรัสถาม
ท่านเพียงแต่ตัดสินว่า ผลไม้สามลูกนี้ควรจะเป็นของใคร ระหว่างข้าวานรขาว กับมันวานรดำ
สมมุติเทพแห่งสารขัณฑ์ฟังแล้วก็ดำริว่าเรื่องนี้จะต้องมีต้นเหตุลึกลับซับซ้อนไม่ใช่เล่น จึงตรัสถามถึงต้นตอของเรื่องราวอีกคราให้ลิงหินทั้งสองบอกเล่ามาให้ละเอียด
กาลครั้งนั้น บนยอดเขายายเที่ยงมีฤษีผู้ทรงฤทธิ์พำนักอยู่ ฤษีผู้นี้ลงมาจากยอดเขาทุก ๆ ครึ่งเดือนเมื่อมาดื่มน้ำยังบ่อน้ำพุรูปพระแม่ธรณีบิดมวยหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์
สมัยนั้น มีวานรอยู่สองตัว ตัวหนึ่งกายขาว ตัวหนึ่งกายดำ และวันนั้นวานรกายดำหาผลไม้มาได้สามลูก จึงเอาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้สูง ส่วนตัวเองลงไปดื่มน้ำที่บ่อน้ำพุ
วานรกายขาวมาทีหลังเห็นผลไม้สามลูกแดงเปล่งปลั่งน่ากิน จึงประกาศหาตัวเจ้าของอยู่สามครั้ง ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดแสดงตนเป็นเจ้าของ มันจึงคว้าเอาไปจากที่ที่แขวนอยู่แล้วไต่ลงไปยังบ่อน้ำพุมั่ง
อ้ายลิงดำวักน้ำดื่มเล่นเพลิน ๆ ก็เห็นเงาสะท้อนแดง ๆ ในน้ำ มันเงยหน้าดูก็เห็นลิงขาวถือผลไม้ของมันอยู่อีกฟากของลำธาร อารามพิโรธ มันใช้วิชาตัวเบาเหินข้ามบ่อน้ำพุเข้าไปหมายจะช่วงชิงของของมันคืนมา
ลิงขาวสัมผัสรังสีอำมหิตได้ จึงโคจรพลังปราณระฆังทองคุ้มครองกาย หลบรอดจากกรงเล็บจ้าวอินทรีของลิงดำหวุดหวิด ครั้นลิงดำจู่โจมไม่สำเร็จ จึงหันมาขู่ฟ่อขนชี้ชันใส่อีกฝ่าย
อ้ายโจรถ่อย เองเอาผลไม้ของข้ามาทำไมหวา
เฮ่ย.. ลิงขาวร้อง อ้ายขี้ตู่ ข้าหาผลไม้พวงนี้ได้โดยชอบ เจ้าจะมาอ้างสิทธิเหนือผลไม้ทั้งสามได้อย่างไร
โดยชอบบ้านพ่อของเจ้าสิ ก็ข้าแขวนทิ้งไว้บนต้นไม้ก่อนลงไปกินน้ำชัด ๆ เจ้าไปหยิบมาโดยที่ข้าไม่อนุญาตก็เท่ากับขโมยนั่นแหละ
อย่ามามั่วนิ่ม ข้าประกาศหาเจ้าของตั้งสามครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครหน้าไหนออกมารับ ข้าก็เก็บไว้เองสิ
หนอย! อ้ายนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ย้าก..!! เตรียมรับกระบวนท่า
ลิงดำจู่โจมด้วยท่ารุ้งขาวทะลุตะวัน เจ้าลิงขาวเจอแรงกระแทกกระเด็นตกลงไปในน้ำ ลิงดำกัดไม่ปล่อยตามไปซ้ำด้วยหมัดเจ็ดดาวเหนือ ดีที่ลิงขาวหลบด้วยท่าเท้าเก้าปราสาททัน
สองกบิลฟัดกันกลางน้ำอยู่ครู่ใหญ่ จนบ่อน้ำพุขุ่นคลั่ก ฤษีซึ่งลงมาถึงพอดีเห็นดังนั้นก็เกิดความโกรธที่ดิรัจฉานทั้งสองมาทำลายแอ่งน้ำให้ดื่มมิได้ จึงชี้ไม้เท้าสาปวานรทั้งสองที่ยื้อแย่งผลไม้กัน
อ้ายลิงมักมากทั้งสอง ถ้าพวกเจ้ายังตกลงกันมิได้ว่าผู้ใดจะเป็นเจ้าของผลไม้นี้ไซร้ ก็จงอย่าคลายจากคำสาปผนึกศิลาเลย
สิ้นคำแช่งของมหาฤษี วานรดำวานรขาวก็กลายเป็นศิลาสองก้อนทันที
เรื่องก็เป็นดังนี้ล่ะเจ้านาย โปรดช่วยตัดสินทีว่าผลไม้ควรจะเป็นของใคร
พวกข้าทุ่มเถียงกันมาเป็นพัน ๆ ปีแล้วก็ยังหาข้อสรุปมิได้เลย
พระราชาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็ตรัสว่า
ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก แต่ถ้าพวกเจ้ายอมเข้าไปในเมืองกับข้าแล้วข้าก็คงจะคิดออกเอง
วานรทั้งสองส่งเสียงร้องด้วยความดีใจที่มีหนทางแก้ปัญหาแล้ว จึงตกปากรับคำยอมให้ราชบุรุษยกพวกมันเข้าไปในเมือง
ครั้นพระเจ้าเห็บนิวัติคืนกรุงสารขัณฑ์ ก็มีรับสั่งให้ต่อกรงแข็งแรงกรงหนึ่งแล้วเอารูปศิลาหินไว้ภายใน ตัวพระองค์เองมายืนเบื้องหน้ากรงนั้นแล้วกล่าวคำตัดสิน
ข้าขอใช้สิทธิที่พวกเจ้ามอบให้ตัดสินข้อพิพาทพันปีของพวกเจ้า พวกเจ้ายินดีหรือไม่
ทั้งคู่รีบตอบว่ายินดีรับคำตัดสิน
เนื่องด้วยข้อพิพาทของพวกเจ้ามีเหตุจากผลไม้ ดังนั้นข้าจะริบผลไม้นั้นไว้ เพื่อให้เป็นที่สงบระงับต่อทั้งสองฝ่าย
สิ้นคำกล่าว คำสาปผนึกศิลาก็คลาย ผลไม้สามลูกกระเด็นไปอยู่ในมือของพระเจ้าเห็บด้วยฤทธิ์บางส่วนที่ยังหลงเหลือของฤษีแห่งเขายายเที่ยง
วานรกายขาว วานรกายดำซึ่งกลับมาเป็นลิงที่มีชีวิตก็กระโจนมาเกาะกรงแยกเขี้ยวแสยะหน้าขู่ให้พระเจ้าเห็บคืนผลไม้ของพวกมันมา ทว่าพระองค์ยิ้มเย้ย เด็ดผลไม้เข้าปากให้พวกมันดูต่อหน้า แล้วจึงกล่าวเป็นคาถามีใจความว่า
บุรุษใดหวังพึ่งผู้อื่นในการแก้ปัญหาอันเป็นเรื่องราวส่วนตน
บุรุษนั้นย่อมพบกับความฉิบหายในประโยชน์ที่พึงได้
ย่อมสูญเสียในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว
เพราะความยุติธรรมนั้น
ย่อมมิอาจหาได้จากผู้ซึ่งหวังผลประโยชน์จากความแตกแยก
จากนั้นจึงรับสั่งให้ราชบุรุษเอากรงลิงทั้งสองไปแห่งประจานรอบกรุงสารขัณฑ์
พ่อนกกล่าวเสริมอีกว่า สถานการณ์ในจังหวัดสามชายแดนภาคใต้ของสยามประเทศในปัจจุบัน ก็เปรียบเหมือนผลไม้สามลูกที่วานรสองตัวกำลังช่วงชิงกันอยู่ หากมีคนโง่เอาข้อพิพาทนี้เสนอเข้าองค์กรสหประชาชาติ ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนพระราชาฉ้อฉลในเรื่อง ผลที่ได้คงไม่ผิดแผกอะไรไปจากวานรทั้งสอง
ลูกเอ๋ย เจ้าก็เห็นแล้วใช่หรือไม่ ว่ายังมีพวกที่โง่เง่ากว่าพวกพ้องของเราอยู่อีก ถึงพวกนกที่ไม่เชื่อฟังพ่อเหล่านั้น จะทำให้รังของพวกเราเป็นอันตรายไปเสียสิ้น แต่เราก็ยังคงมีปีกบินหนีไปสร้างรังที่อื่นได้ใหม่
ทว่าคนไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ..เมื่อมาตุภูมิของเขาเป็นอื่นไปแล้ว เขาจะย้ายหนีไปจากแผ่นดินเกิดได้เช่นเราน่ะรึ หรือว่าจะต้องก้มหน้ารับสภาพของตนไปในดินแดนอันถูกปกครองโดยกองกำลังพิเศษ
สาธกนิทานจบลงพร้อมกับการเสียงทอดถอนใจของพ่อนก ลูกนกและฝูงนกกระจาบฟังแล้วเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุไปตามแต่ระดับสติปัญญาของตน
แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 50 00:43:09
จากคุณ :
Innocent&Pure
- [
26 เม.ย. 50 00:42:37
]