Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องตลกของโชคชะตา ตอนที่ 28

    ตอนที่ 28 : ไปเที่ยวบ้านนางเอก

    อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ทุกช่วงปิดเทอมเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของป๋าและแม่ที่จะตะบัน...อ่า ตระเวนเที่ยวตามประสาผู้สูงวัย ไปทั่วทุกหัวระแหงที่อยากไป ลักษณะนิสัยนี้หล่นมาอยู่ในตัวลูกทุกคน เฌลลีเป็นนัก “ไป” ตั้งแต่ยังเด็ก เธออยู่บ้านถึงชั้นมัธยมต้น จากนั้นก็เป็นนก ถลาร่อนแล่นลมในโลกกว้าง มัธยมปลายเธอย้ายตัวเองไปอยู่กับญาติที่จังหวัดอื่น เธอเลือก “ญาติ” ในจังหวัดที่ชอบ นั่นคือเชียงใหม่ ช่วงวัยรุ่นของเฌลลี ทำให้เธอรู้ว่าการเดินป่าปีนเขานั้นเป็นเรื่องสนุกพอๆ กับการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนต่างๆ ที่ไปเยือน และมันทำให้ติดมาจนวันนี้

    “ป๋ามีนัดกับอาภิ ปลายเดือนนี้จะขึ้นไปรับพีต้า แล้วก็ถือโอกาสอาบลมห่มดาวที่เชียงใหม่ด้วยเลย” “อาภิ” เป็นน้องชายคนเล็กของป๋า ในบรรดาพี่น้องจำนวนหนึ่งทีมฟุตบอล อาภิ ดูจะเป็นน้องเล็กน้องรักของป๋ามากที่สุด อาภิแต่งงานกับสาวสันป่าตองและย้ายสัมมะโนครัวไปอยู่ที่นั่น ม ปลายของเฌลลีจึงได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีจากน้องคนเล็กของป๋า และถึงชั่วโมงนี้ “พีต้า” ลูกสาวที่เพิ่งจะขึ้น ม ปลาย ของอาภิ จึงเลือกย้ายมาอยู่กับ “ญาติ” สนิทนั่นก็คือครอบครัวของเฌลลี พีต้ากลับบ้านช่วงปิดเทอม และบิดาของเฌลลีจะไปรับกลับมาก่อนโรงเรียนเปิดเทอม

    แต่เพราะ “ว่าที่ลูกเขย” กับครอบครัวจะมาเยี่ยมนั่นเองแหละจึงทำให้ทั้งป๋าและแม่เลื่อนการเดินทางออกไป เพราะต้องต้อนรับขับกล่อมให้คุณนายดารณีเชื่อมั่นในตัวว่าที่ลูกสะใภ้และครอบครัวอย่างไร้กังขา

    และสองวันของการมาเยือนอย่างไม่เป็นทางการนักนั้น คนที่ “ฮอท” ที่สุดดูเหมือนจะเป็นน้องเล็ก เพราะความที่เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี เป็นดาราละครทีวี ตอนที่น้องเล็กไปช่วยหิ้วของขณะที่เฌลลีไปจ่ายตลาด ตามรายการที่คุณนายสุวเนตรและคุณนายดารณีออเดอร์มา ดูเหมือนคนทั้งตลาดจะไม่เป็นอันค้าขาย สาวๆ วัยรุ่นมาขอลายเซ็น ป้าๆ แม่ค้าตะโกนเรียกออกมาจากแผงอย่างชื่นชม บ้างก็ขอจับไม้จับมือ บ้างก็ยกผลผลิตที่วางขายนั่นแหละให้เป็นของฝาก น้องเล็กก็สมเป็นดาราเพราะหนุ่มน้อยของป้ายิ้มแฉ่งกว้างขวางทุกครั้งที่มีคนมาขอถ่ายรูปเคียงข้าง บ้างก็ขอหอมแก้มขณะถ่ายรูป จนสายนั่นแหละถึงได้กลับบ้าน และทันทีที่ปิดประตูรถ น้องเล็กถอนหายใจยาว...

    “เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตัวเองดังโคตร”

    “ละครเพิ่งจะฉายล่ะมากกว่า ที่นี่ดูทีวีได้ช่องเดียวเสียด้วย มันเป็นการถูกบังคับกลายๆ ว่าต้องทนดูละครหลังข่าวได้เรื่องเดียวน่ะ”

    “โห พี่แป้น ไม่ได้ให้กำลังใจน้องเล้ย”

    “ก็มันจริง แต่น้องเล็กก็เก่งนะ ถ้าเป็นพี่ พี่คงเปิดแน่บไปแล้ว ตอนที่ป้าขายปลามาขอหอมแก้มน่ะ แกยังกำคอปลาอยู่เต็มสองมือ”

    “ดาราออสการ์ทำไม่ได้นะเนี่ยแบบนี้” น้องเล็กยอตัวเอง

    “ไปเหมาตลาดมาเหรอจ๊ะเด็กๆ” คุณนายสุวเนตรทักทายหลังจากที่ทั้งสองหอบข้าวของพะรุงพะรังลงจากรถ

    “บังเอิญคนที่ไปด้วยเป็นดาราดังน่ะค่ะแม่” และที่แปลกตาสำหรับเฌลลีคือ ป๋ากับณฌานั่งเล่นเกมที่เขาเป็นคนออกแบบให้บริษัทผลิตซอฟท์แวร์ของอเมริกา ส่วนป๋าเป็นขาเกม พอๆ กับลูกชายคนเล็ก ครูบ้านนอกไม่ได้ล้าสมัยกันทุกคนนี่นะ นั่นเองที่ทำให้ป๋ากับณฌาเข้ากันได้เป็นปี่กับแตร ขณะที่สองคุณนายมุ่งมั่นกับการทำ “กล้วยกวน” เวอร์ชั่นสงขลาที่คุณนายดารณีลงมือสอนเคล็ดวิชาให้กับคุณนายสุวเนตรอย่างหมดเปลือก สองป้าก็เลยสนิทสนมกันอย่างง่ายดาย ส่วนลีโอนั้นออกจากบ้านไปหาเพื่อนสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน เพราะหลังจากที่จบชั้น ม ปลายแล้วเด็กๆ ในอำเภอก็แยกย้ายกันไปเรียนในสถาบันการศึกษาที่ตัวเองสอบได้ ปิดเทอมก็กลับมาเจอกันที ลีโอก็เป็นหนึ่งในนั้น

    มิลลี่กับณนนท์นั่งคุยกันที่ม้าหินอ่อนข้างบ้านซึ่งมีรั้วดอกอัญชัญและจันทร์กระจ่างฟ้ากั้นระหว่างสองบ้าน ซึ่งบ้านข้างๆ ก็คือบ้านของผาเมืองนั่นเอง

    “บ้านข้างๆ เป็นบ้านของผู้ชายคนนึงที่โตมาด้วยกันกับเรา เขารักพี่เฌล”

    “คุณหมอผาเมืองน่ะเหรอ”

    “พี่นนท์รู้จักเหรอคะ”

    “เคยได้ยิน เฌลลีพูดถึง แต่ไอ้แป้นไม่ได้รักคุณหมอผาเมืองนี่”

    “ค่ะ มันก็เลยเป็นรักสามเส้า” ณนนท์รู้เรื่องของมิลลี่จากเฌลลี เขารู้ว่ามิลลี่รักผาเมือง แต่เธอไม่แสดงออก หรืออย่างน้อยเธอก็ไม่เคยพูดอะไรจะทำให้เขารู้ถึงความรู้สึกนั้น

    “ทำไมคุณไม่บอกคุณหมอผาเมืองว่าคุณรักเขา” ณนนท์ถามตรงไปตรงมา

    “ทำไมพี่นนท์ไม่บอกพี่เฌลว่าพี่รักเธอ” มิลลี่ย้อนเอาบ้าง นั่นทำให้ณนนท์อึ้ง

    “ผมคิดว่าผมไม่ได้รักแบบคนรักแต่ในแบบเพื่อนล่ะก็ผมรักเฌลมาก”

    “ความรัก มีรักแบบไหนด้วยเหรอคะ มิลคิดว่า ความรักคือความรัก ไม่มีแบบ”

    “.......”

    “มิลรักผา แต่เพราะมิลคิดว่าพี่ผาไม่ได้รักมิล เหมือนพี่เฌลที่รู้ตัวอยู่ตลอดว่ารักพี่นนท์แต่ไม่คิดว่าพี่นนท์จะรักตัวเองเหมือนกัน แต่พี่เฌลเก่งกว่ามิลที่กล้าบอกความรู้สึกของตัวเอง มันเป็นความกล้าหาญที่มิล ทึ่งมาก เพราะถ้าหากมิลต้องบอกรักใครสักคนแปลว่า มิลแน่ใจว่าจะไม่ผิดหวัง” มิลลี่เรียกแทนตัวเองกับคนอื่นว่ามิลแต่ถ้ากับครอบครัวเธอจะใช้คำแทนตัวว่าหนูลี่ เฌลลีก็เช่นกัน มิลลี่ชื่นชมพี่สาวที่ “กล้าบอกรัก” ขณะที่พี่สาวก็ทึ่งมิลลี่ เพราะเธอคิดว่ามันแสนจะเท่ที่ได้ “แอบรัก” ใครสักคน

    “เฌลลีบอก ตามความรู้สึก”

    “พี่นนท์คงไม่รู้จักพี่เฌลนัก พี่สาวของมิลเป็นผู้หญิงที่เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก สั่นคลอนยากและเปลี่ยนความรู้สึกได้ยากถ้าหากเชื่อมั่นในอะไรสักอย่าง ที่พี่เฌลเลือกไปเรียนต่อไม่ใช่เพราะอยากไป แต่เพราะพี่เฌลรู้สึกล้าและอ่อนแรงกับความรักที่พี่เฌลเชื่อมั่นตลอดมาว่ามันมีค่าเพียงพอที่จะมอบให้ใครสักคน พี่เฌลไมใช่แค่รัก แต่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวพี่นนท์สูงมาก”

    “ผมมีเหตุผลที่ไม่รู้จะบอกยังไงดีเหมือนกัน... ช่างเถอะ มันเป็นเรื่องของโชคชะตา”

    “เรื่องของหัวใจต่างหาก”

    “คุณหมอผาเมืองจะกลับมาเมื่อไหร่ครับ”

    “ต้นปีหน้าค่ะ”

    “ผมแนะนำให้คุณกล้าบอกเขา เหมือนที่พี่สาวคุณกล้าบอกผม”

    “พี่ผาไม่เหมือนพี่นนท์ค่ะ รายนั้นถ้าไม่ แปลได้อย่างเดียวคือไม่ แต่จะไม่ยื้อ ไม่รั้ง ไม่ลังเล มิลยังไม่กล้าพอที่จะได้ยินคำว่าไม่ จากพี่ผา” เธอเหน็บ ณนนท์รู้ แต่ไม่ถือความ

    “คุณกับพี่สาวนี่ต่างกันมากจริงๆ”

    “แต่เราทั้งคู่รักใครแล้วรักภักดี เหมือนกันค่ะ” แล้วมิลลี่ก็หัวเราะเกลื่อนความรู้สึก แล้วขอตัวเข้าไปช่วยแม่ในครัว ปล่อยให้ณนนท์นั่งมอง “ภูเขา” ที่อยู่หลังบ้านอย่างสับสนใจ

    เรื่องเดียวที่ณนนท์ไม่เคยปริปากเลยคือเรื่องของความรักในอดีตที่มันเป็นแผลยาวลึกจนเขาไม่สามารถที่จะจัดการกับมันได้ตลอดมา ความอาลัย.. ไม่นาน แต่ความอาวรณ์นี่สิ เขารู้ดีว่ามันยากที่จะจัดการ ความรักของณนนท์ไม่ใช่ความลับแต่เขาหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เข้มแข็งพอที่จะพูดออกไป หลายครั้งที่เขาอยากบอกเฌลลี แต่ทุกครั้งที่เขาจะพูด ความรู้สึกร้าวในใจก็ย้อนกลับมาทำร้ายเขาทุกคราไป ณนนท์หวังว่าสักวันเขาจะจัดการกับ “อาวรณ์” นี้ให้หมดจากใจไป...

    “เห็นหรือยัง บ้านฉันอยู่หน้าเขา” เฌลลีนั่งแหมะลงข้างๆ

    “พรุ่งนี้คุณไปยืนอีกด้านของภูเขาดิ”

    “อีกด้านเป็นแม่น้ำ เป็นเขื่อน พรุ่งนี้จะพาไปล่องแพเขื่อนลำปาว แต่วันนี้จะพาปีนขึ้นไปบนยอดภูนั่นก่อน โปรแกรมของวันนี้ หลังจากมือเช้าแล้วเดี๋ยวจะพาไปชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ มีโครงกระดูกไดโนเสาร์ ซอโรพอดให้ทัศนา”

    “ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงได้หัวโบราณ เพราะถิ่นฐานบ้านเกิดคุณอยู่ท่ามกลางแหล่งอารยธรรมยุคไดโนเสาร์น่ะเอง”

    “งั้นอยู่เฝ้าบ้านไปก็แล้วกัน” และหลังจากชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ เฌลลีพาสามหนุ่มไปอีกวัดไม่ไกลกันนัก เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาสน์ปางประทับซ้ายสมัยทวารวดี สลักอยู่บนผาหิน หลังจากกราบพระ น้องกลางเดินมาทักทาย

    “บ้านคุณนี่มีอะไรดีๆ เยอะเหมือนกันนะ”

    “แน่นอน แต่อาจจะเพราะผู้คนอยู่กับสิ่งเหล่านี้จนชิน ก็เลยถือเป็นเรื่องธรรมดา ฉันเคยนั่งดูนักท่องเที่ยว ดูความตื่นตาที่พวกเขาแสดงออกเมื่อได้มาเยือนที่นี่ สนุกดี”

    “อาทิตย์ที่แล้วผมไปอัมพวามา”

    “ไปดูหิ่งห้อยเหรอ”

    “ไปทำงานน่ะ ไปกลางวัน แดดร้อนจัดมาก น้ำในคลองแห้ง สิบโมงเช้าไม่มีตลาดน้ำ ร้านรวงไม่ได้เปิดต้อนรับผู้คน มีเพียงแต่วิถีปกติของผู้คน ซึ่งมันแตกต่างมากกับฤดูกาลท่องเที่ยวของอัมพวา ผู้คนที่หลั่งไหลไปที่นั่นมีรูปแบบการท่องเที่ยวต่างกัน บางคนดื่มด่ำและชื่นชมกับวิถีชุมชนของคนอัมพวา ชื่นชมในอาคารสถานที่และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งและเข้าใจในบทบาทของอัมพวา แต่บางคนก็ไปเพื่อจะให้ได้เอามาบอกต่อว่าได้ไปเยือนอัมพวา ไปบริโภค ไปทำลายแล้วก็จบ แต่อัมพวาจริงๆ ไม่ได้หมายความถึงแค่ตลาดน้ำและหิ่งห้อย แต่มันหมายความถึงวิถีชุมชน ความเป็นอยู่ของผู้คนยุคสุดท้ายที่จะจบลงเมื่อหมดลมหายใจ... ถ้าลูกหลานอัมพวายังไม่เห็นคุณค่าของการดำรงอยู่เหล่านี้”

    “น้องกลาง นี่คุณเป็นนักพัฒนาสังคมไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “ผมน่ะ แทบจะเรียกได้ว่าไปเป็นนักทำลายด้วยซ้ำ ผมต้องไปดูโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมอาคารที่อัมพวา เพราะบริษัทฝรั่งเงินหนาดันไปกว้านซื้อที่เอาไว้จะสร้างรีสอร์ทน่ะสิ”

    “คุณต้องออกแบบรีสอร์ทเหรอคะ”

    “ใครเขาให้โปรแกรมเมอร์ออกแบบอาคารกันล่ะ แต่ช่างเหอะ ผมปฏิเสธโปรเจคท์นั้นไปแล้ว ทนไม่ได้ที่จะทำลายบ้านเมืองตัวเองด้วยวิธีนั้นน่ะ”

    “คุณก็เป็นคนดีเหมือนกันนะเนี่ย”

    “แน่นอน...” สามพี่น้อง ไม่ต่างกันเลยก็เรื่องนี้ – เป็นอันว่าถ้าเมื่อไหร่ถูกชม อย่าคิดเป็นอันขาดว่าจะถ่อมตัว

    “เออ นี่ตกลงทริปนี้แค่มาเที่ยวเหรอ ไม่เห็นแม่พูดเรื่องแต่งงานเลย หรือผู้ใหญ่เค้าคุยกันเอง” ณฌาชักสงสัยในการมาเที่ยวครั้งนี้

    “น่าจะไม่ได้คุยนะ เรื่องนี้ไม่มีเซอร์ไพรท์หรอก”

    “นั่นสิ จะกลับกันวันพรุ่งนี้อยู่แล้วนี่ แล้วคุณคิดว่าไง”

    “ฉันเหรอ ฉันดีใจที่พวกคุณมา ดีใจที่สุดก็คือคุณแม่มา เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับฉันเลย ฉันแค่อยากให้พวกคุณได้มารู้จักกับครอบครัวฉัน อย่างน้อยที่สุดถึงแม้ระหว่างครอบครัวเราทั้งสองจะไม่มีโอกาสได้เกี่ยวดองเป็นญาติกัน แต่คุณแม่คุณกับคุณแม่ฉันก็ได้เพื่อนใหม่ ทุกคนมีความสุขกับมิตรภาพ นั่นแหละที่ฉันรู้สึกดี ดีกว่าการแต่งงานฉาบฉวย ที่จัดขึ้นเพียงเพื่อเป็นพิธีแล้วจบลง บางทีพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเจอกันแค่ครั้งเดียวในชีวิต คือตอนลูกแต่งงาน”

    จากวัด เฌลลีพาสามหนุ่มไปปีนภูโดยพาคุณนายดารณีกลับไปหย่อนไว้ที่บ้านก่อน เพราะบันไดหลายร้อยขั้นสำหรับเดินขึ้นคงไม่เหมาะกับสตรีวัยห้าสิบต้นๆ เท่าไรนัก ทั้งสามหนุ่มแข่งกันว่าใครจะขึ้นไปถึงก่อน และแน่นอนว่าคนที่ไปถึงหลังสุดย่อมเป็นคนที่อายุมากที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง

    “สวย” ณนนท์ชื่นชม ประหลาดใจในภูมิลักษณะ เพราะด้านหนึ่งนั้นมองลงไป เป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่นัก ส่วนอีกด้านเป็นแม่น้ำสายยาว ยาวจนสุดสายตา

    “แม่น้ำลำปาว แล้วก็ด้านนี้เป็นบริเวณที่ตั้งของอำเภอ ไหว้พระก่อนสิ เดี๋ยวจะพาไปอีกที่ ไปล่องแพกัน” ณนนท์ก้มลงกราบพระพรหมภูมิปาโล พระพุทธรูปที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดภูสูง เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนทั้งเมือง

    ขาลงจากภู ณนนท์ยังเป็นคนที่รั้งท้ายอีกอยู่ดี เขาช้าไม่ใช่เพราะตามไม่ทันสองหนุ่มที่ล่วงหน้าไปก่อน แต่เขาช้าเพราะคอยเฌลลี หนึ่งก้าวของณนนท์ เฌลลีต้องก้าวถึงสาม จึงทันกัน

    “อธิษฐานว่าอะไร” เฌลลีถาม

    “เรื่องอะไรจะบอก แล้วคุณล่ะ”

    “อะไรที่ถูกกำหนดมาแล้วให้เป็นไป ขอให้รับมือกับสิ่งนั้นได้อย่างไม่เกินความสามารถ” เฌลลีบอกไป แต่คำอธิษฐานของณนนท์ มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้.../

    จากคุณ : ดาริกามณี - [ 2 พ.ค. 50 13:30:08 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom