Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    วันที่ผมป่วย 1

    17 เม.ย. 2550
    วันนี้ผมรู้สึกว่า  “ตัวชีวิตชีวา” ของผมมันผละออกจากร่าง และหนีไปเที่ยวเล่น ผมยังตามตัวมันกลับมาไม่เจอ เป็นอย่างนี้มาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว  มันเริ่มมาจากมีเหตุไม่คาดฝัน เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา ผมต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจากอาการเจ็บคอขั้นรุนแรง ไข้ขึ้น และไม่มีแรงเอาดื้อๆ ผมยังงงกับตัวเองว่าถ่อสังขารขับรถจากที่ทำงานกลับมาบ้านได้ยังไงตั้งเกือบ 60 กม. ทั้งๆ ที่ตอนนั้น แทบตาย ผมดื้อ  ไม่ยอมไปหาหมอตั้งแต่คืนวันที่ 10 ที่อาการรุนแรง กะว่าตื่นเช้าคงหาย แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ผมนอนเพ้อเพราะพิษไข้ตลอดทั้งคืน เหมือนมีคุณลุงแปลกหน้ามาตะโกนใส่หูตลอดเวลา ทรมานโคตรๆ  สุดท้ายก็ต้านทานไม่ไหว ต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาหาหมอที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งใกล้ๆ บ้าน  คุณหมอก็ใจดีเหลือเกิน ตรวจนู่นตรวจนี่ หลังจากส่องคอผมดูพร้อมกับเสียงอุทาน
    “อื้ม เป็นเยอะจัง” คาดว่าคงทำให้หมอหายง่วงขึ้นบ้าง สังเกตจากร่องรอยเกรอะกรังที่รอบดวงตาตี่ๆ ของคุณหมอ   แล้วก็จับผม Admit ทันที ซวยแล้วกู อาการหนักถึงกับต้อง Admit เลยเหรอ
    ผมนั่งคอยที่หน้าห้องตรวจได้สักพักก็มีเจ้าหน้าที่จากร.พ. มานำเสนอห้องพัก แหมยังกับโรงแรมแนะ มี 3 แบบ 3 สไตล์  เออแปลกดี ผมย้อนนึกไปเมื่อครั้งต้อง Admit เข้าโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งเมื่อ 7 ปี ก่อน ตอนนั้นผมต้องเดินเข้าไปติดต่อห้องพักเอง แถมพอคุณป้าเจ้าหน้าที่เขารู้ว่าผมเป็นผู้ป่วย คุณป้าเธอก็โวยวายใหญ่เลยไล่ผมไปยืนห่างๆ ทำกับว่าผมเป็นตัวเชื้อโรค ผมร่างกายอ่อนแอพออยู่แล้ว ยังมาเจอผู้หญิงแก่มารยามทรามอย่างนั้นอีก จิตใจก็เลยพลอยทรุดหนักตามไปด้วย :-)ขอให้มันป่วยเป็นโรคที่สังคมรังเกียจทีเถอะ   หลังจากเลือกห้องพักสไตล์เมดิเตอเรเนียนเป็นที่เรียบร้อย พยาบาลก็เรียกผมเข้าไปในห้องเชือด เอ้อ ห้องเจาะเลือดน่ะครับ คุณพยาบาลท่าทางยังอ่อนประสบการณ์ดูเกร็งๆ ยิ่งทำให้ผมยิ่งเกร็งไปใหญ่ เข็มแรกเป็นการแทงเข็มน้ำเกลือที่หลังมือด้านซ้ายซึ่งผมเลือกแล้วว่าเป็นข้างที่จะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผมน้อยที่สุด  ก่อนแทงก็เริ่มมีลางไม่ค่อยดีซะแล้ว เพราะคุณเธอบ่นตลอดเวลาว่าเส้นเลือดผมไม่ขึ้น หาเส้นเลือดไม่เจอ จนผมต้องแนะนำด้วยความกลัวตายว่า งั้นรัดแขนผมให้แน่นขึ้นก็ได้ เส้นเลือดจะได้ขึ้น  เธอแทงเข็มมาจึ๊กแรก Oh my God! เจ็บฉิบหาย เท่านั้นยังไม่พอ คุณเธอยังดูดเลือดผมไปด้วย แต่มันไม่มีเลือด !!! เธอพยายามยื้อยุด ดูดเลือดอันน้อยนิดของผมพร้อมควงเข็มไปรอบๆ  ใครก็ได้ช่วยผมเอานังนี่ออกไปจากชีวิตผมทีเถอะ เจ็บจะตายอยู่แล้ว  ผ่านไปเกือบนาทีที่เข็มอันเบ้อเริ่มค้างคาอยู่ในผิวเนื้ออันบอบบางของผม สุดท้ายเธอก็ยอมแพ้ ดึงเข็มออกมาทั้งยวง แล้วพูดกับผมหน้าตาเฉยว่า
    “ขอใหม่นะคะ ยื่นมือขวามาค่ะ”  
    น้ำตาผมแทบเล็ดออกมาด้วยความเจ็บและความแค้น นี่เธอไม่คิดจะขอโทษผมเลยสักคำเหรอ ฮือๆๆๆ ผมค่อยๆยื่นมือขวาอันสั่นเทาไปให้เธอ  แววตาของเธอดูเยือกเย็นสิ้นดี   ความเจ็บซ้ำเดิม แต่เปลี่ยนข้าง เธอหันไปบอกเพื่อนพยาบาลว่า
    “ขอเข็ม Size เล็กกว่าเดิม เมื่อตะกี้ ใหญ่ไป”  อ้าว ???  T_T ซวยจริงๆ เลยกู
    หลังจากเข็มทะลุทะลวงไปสู่เนื้ออันบอบบางของผมแล้ว คุณเธอก็เริ่มยุทธการดูดเลือดของผมอีกครั้ง ซึ่งผลก็ยังคงเหมือนเดิมคือไม่มีเลือด !!! จนผมต้องยอมกลั้นใจบอกเธอไปว่า
    “ถ้าอยากได้เลือด ก็เจาะเอาที่ข้อพับแขนด้านในก็แล้วกันครับ”  ผมภาวนาว่าผมจะได้ไม่ทรมานไปมากกว่านี้
    “อ๋อ ก็คงงั้นแหละค่ะ”  นี่!! หน้าตาเฉยอีกแล้ว หล่อนชื่ออะไรเนี่ย มีลูกกูจะไม่ตั้งชื่อลูกเป็นชื่อเดียวกับหล่อนเด็ดขาด
    แล้วรูที่สามของผมก็อุบัติขึ้นด้วยประการฉะนี้แล   แต่ก็ยังคง Concept ได้เลือดอย่างยากเย็นอยู่ดี แถมคุณเธอยังทิ้งท้ายให้ผมฟังอีกครั้งว่า
    “เลือดน้อยจริงๆ นะคะเนี่ย”   ผมรู้สึกเป็นปมด้อย และน้อยเนื้อต่ำใจในความเป็นคนมีเลือดน้อยเหลือเกิน ทำไงดี ผมจะมีหน้าไปสู้คนอื่นๆได้อย่างไรกัน ระหว่างที่กำลังเพ้อเจ้ออยู่นั้น เขาก็เข็นผมมาที่หน้าห้องตรวจอีกฟากหนึ่ง สัก 10 นาที คุณพยาบาลคนใหม่ก็เข็นผมเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศไม่แตกต่างไปจากห้องเชือดห้องแรกสักเท่าไร หันไปหันมา คุณพยาบาลคนนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
    “ขอเจาะเลือดอีกทีคะ” อะไรกันเนี่ย ???!!!!!!  แล้วตะกี้ไม่เจาะให้เสร็จๆ ไปวะ
    “คือเขาต้องเจาะเลือดห่างกันครึ่งชั่วโมงคะ” เธอเฉลย แล้วก็จัดการให้ผมนั่งขาหยั่ง ไม่ใช่ แต่คราวนี้ทุกอย่างมันดูง่ายดายสำหรับเธอมากๆ ย้ำ ง่ายมากๆ ทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที แถมยังเจ็บน้อยกว่าครั้งแรกเยอะมากๆ ขั้นตอนง่ายๆ จิ้ม ดูด ถอน ปิดแผล ไม่มีการควงสว่านแต่อย่างใด  อ้าว งั้นกูไม่ได้เลือดน้อยอย่างที่ยัยพยาบาลคนแรกกล่าวหาให้ผมรู้สึกเป็นปมด้อยนะสิ  หลังจากนองเลือดเป็นที่หนำใจของคุณพยาบาลแล้ว รวมแล้วทั้งสิ้น 4 รู เข้าใจว่ามีรูที่เป็นส่วนเกิน คือไม่ควรจะเกิด 2 รู ฝีมือยัยพยาบาลปี๋ปี้คนนั้น คนที่กล่าวหาผมทั้งๆ ที่ตัวเองนั่นแหละไม่มีความสามารถพอ ฮึ้ย  ผมก็ได้พบคุณหมอเฉพาะทาง หู คอ จมูก หลังจากคุณหมอส่องคอผม ก็อุทานคล้ายๆ กับคุณหมอหน้าตี๋คนนั้นเด๊ะ
    “อื้ม ทำไมเป็นแยอะอย่างนี้ ขอเพาะเชื้อหน่อยนะคะ“ แล้วคุณหมอให้ผมอ้าปากว้างๆ ดึงลิ้นผมให้ห้อยลงมากขึ้น แล้วก็แหย่ท่อนสำลีคล้ายๆ Cotton Butt ยาวๆ เข้าไปเขี่ยๆ ในคอผม โอ้โห คิดอยู่ตอนนั้นว่า ถ้ากูอ้วกใส่หน้าคุณหมอนี่จะผิดมั้ยวะ มันจะอ้วกให้ได้ แล้วคุณหมอก็เอาปลาย Cotton Button ที่เข้าไปเขี่ยในคอผมมาป้ายที่แผ่นกระจกบางๆ 2 แผ่น เฮ้อ โล่งคอไปที  
    “เดี๋ยวไป X Ray ดูไซนัสหน่อยนะคะ” ยัง ยังไม่จบง่ายๆ  แล้วพยาบาลก็เข็นผมออกไป X Ray แล้วก็พาขึ้นห้องซึ่งอยู่ชั้น 8 วิวดีจัง แถม ยังมีผู้ร่วมห้องเป็นคุณลุงคนหนึ่งท่าทางใจดี

    นี่มันอะไรกันนี่ ผมแค่ตั้งใจว่ามาหาหมอ ให้หมอฉีดยาสักเข็มแล้วกลับบ้านไปนอนพักก็น่าจะพอ แต่กลายเป็นว่าผมต้องมานอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้นางพยาบาลปี๋ปี้มาเจาะนู่นเจาะนี่ ไป X Ray แล้วสุดท้ายก็มานอนเหงาอยู่คนเดียวที่โรงพยาบาล  เอ๊ะ ถ้าผมใช้ประกันสังคม มันจะเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ผมคิดเล่นๆ  

    ความจริงคุณพ่อผมก็มาเป็นเพื่อนผมแหละ แต่มีธุระต้องกลับไปจัดการ ผมก็เลยเคว้งๆ คนแรกที่ผมคิดถึงก็คือน้องรักผมคนหนึ่ง เพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งที่ผมสนิทกับมันมากๆ เวลามันมีปัญหาอะไร มันก็จะคอยมาปรึกษาผม เราคุยโทรศัพท์กันทุกเกือบทุกวัน มันเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆของผมคนหนึ่งทีเดียว  ชีวิตประจำวันของผมก็คือการมีมันเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันความรู้สึกซึ่งกันและกัน  ผมส่ง SMS ไปหามันว่าผมเข้าโรงพยาบาล   สองสามชั่วโมงให้หลังมันก็โทรมา
    “เป็นไงบ้างพี่”
    “เจ็บคอ เป็นไข้ว่ะ” ผมตอบมันไป
    “ถึงกับต้องนอนโรง’บาล เลยเหรอ  เนี่ย บาสก็เจ็บคอเหมือนกัน เจ็บมากด้วย” มันอยากมีส่วนร่วมครับ
    “ก็ไม่รู้ว่ะ แต่กูไม่เคยทรุดเพราะเจ็บคอขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน เนี่ยเขาให้ยาชามาอมก่อนกินข้าวด้วยนะเอ็ง ไฮโซ (ตรงไหน?) มั้ย   เอ็งเจ็บคอ ก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
    “อืม พี่พักผ่อนเยอะๆ จะได้มีแรงไปเล่นสงกรานต์” หลังจากวางสายมันไป ผมก็แอบหวังว่ามันจะมาเยี่ยมผมบ้าง เพราะบ้านเราอยู่ใกล้กัน แต่ก็ไม่เจอมันแม้เงา  ถึงกระนั้นก็ก็ยังมีความหวังว่า งั้นเดี๋ยวดึกๆ มันก็คงโทรศัพท์มาหาผมมั้ง แต่ผมก็ไม่ได้ยินเสียง Ring Tone ที่ผมตั้งให้เฉพาะมันเลย

    วันแรกผ่านไป … เงียบ เหงา และเดียวดาย  แถมนอนไม่หลับอีก คุณพยาบาลเธอจะคอยมากวนทุกๆ 5-6 ชั่วโมง จะหลับ จะหลับ ก็มาวัดไข้ วัดความดัน ถามว่าฉี่ อึ ไปกี่ครั้ง  พอผมจะหลับ เหมือนเธอจะรู้ อิ อิ เอ็งจะหลับใช่มั้ย อย่านะ ไม่ ไม่ เอ็งหลับไม่ได้ ตื่นมาอ่านทีวีพูลเป็นเพื่อนกูก่อน อะไรทำนองเนี้ย สรุปนอนไปได้แค่ 4 ชั่วโมงเบ็ดเสร็จ

    วันที่สอง ... อืม เดี๋ยวน้องรักมันคงโทรมา ไม่เป็นไร อย่างน้อยวันนี้ผมตื้อคุณหมอจนได้กลับบ้านจนได้ เม็ดเงินสะพัดจากตัวผมเปลี่ยนมือไปยังโรงพยาบาล “หนึ่งหมื่นสี่สิบบาทถ้วน” อาาาาา โปร่งโล่งกระเป๋า ความจนเป็นอย่างนี้นี่เอง   หลังจากกลับมาบ้าน ผมก็นั่งถ่างตารอน้องรักจนถึงเที่ยงคืนแล้วก็ผล็อยหลับเพราะฤทธิ์ยา

    วันที่สาม ….. นั่งตาลอย เมายา แล้วก็ไม่มีสัญญาณใดๆ จากคนที่ผมคิดถึง    เซ็ง

    วันที่สี่ ….. ดูข่าวคนเล่นสงกรานต์ที่ถนนข้าวสารแล้วอิจฉา กูหมดสภาพขนาดนี้ อดแน่ๆ กู ขืนเดินออกไป เขาคงนึกว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบ ตาลอยๆ แต่ในใจกลับคิดถึงใครบางคนที่เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน

    วันที่ห้า …… ทนไม่ไหวแล้ว ชวนแม่ออกไปดูหนังที่ Central พระรามสองดีกว่า ตอนแรกจะดู “โกยเถอะเกย์” แต่ไม่มีรอบ ก็เลยได้ดู “เมล์นรก หมวยยกล้อ” ผิดหวังนิดๆ แต่แม่ที่ไปด้วยขำขี้แตกขี้แตนอยู่ข้างๆ ก็เลยหยวนๆ ท่าทางคุณเธอมีความสุขที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็เลยรู้สึกดีขึ้น กลบเกลื่อนกับความผิดหวังที่เกิดกับหนังเรื่องนี้ได้บ้าง
    ไอ้น้องรักของผม มันหายไปไหนนะ ผมไม่โทรไปหามันหรอก ทั้งๆ ที่ปกติผมจะโทรหามันทุกวัน แต่เวลานี้มันต่างออกไป ผมอยากรู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมสร้างความสัมพันธ์เพียงพอที่จะยึดเหนี่ยวหัวใจของไอ้น้องคนนี้ได้มากน้อยแค่ไหน จากที่ผมเคยมั่นใจ ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจเสียแล้ว    
    ตกเย็นผมเลยโทรนัดเพื่อนอีกคนไปเล่น Mid Night สงกรานต์ที่ผับแห่งหนึ่งแต่พอถึงสองทุ่ม รู้สึกร่างกายเบาๆ หวิวๆ จะเป็นลม ก็เลยโทรไปยกเลิกเพื่อน  อดเลยกูสงกรานต์ปีนี้  

    วันที่หก …. น้องชายสุดที่รัก (น้องแท้ๆ) อาสาพาแม่และผมขับรถตระเวนรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตอนแรกตั้งใจจะไปไหว้พระเก้าวัด แต่หลังจากผ่านไปวัดแรกคือวัดสุทัศน์ ความคิดของพวกเราก็เปลี่ยนไป คนมันมาจากไหนไม่รู้ ก็เลยเปลี่ยนเป็นขับรถชมวิวกันแทน   อาการบ้านนอกเข้ากรุงอย่างผม ทำให้ผมนึกเสียใจที่กำหนดชีวิตตัวเองพลาดไป  ผมน่าจะวางเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจนกว่านี้ แทนที่ผมจะได้มาทำงานในเมืองอย่างที่ใฝ่ฝัน กลับต้องไปทำงานอยู่ปริมณฑลเสียนี้ เฮ้อ เซ็ง

    จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมจะได้เจอไอ้น้องรักเป็นวันแรก ผมตั้งใจจะคอยหลบหน้ามัน แต่ก็ต้องไปเจอมันในห้องน้ำจนได้ ตกใจหมดกู
    “ท้องเสียว่ะพี่”  เนี่ยเหรอคำแรกที่มันคุยกับผมหลังจากที่ไม่ได้คุยกับผมมาเกือบสัปดาห์
    “…….” ผมได้แต่ยิ้มเงียบๆ แล้วมันก็เดินออกไป ปล่อยให้ผมร้สึกใจหวิวๆ อยู่ในห้องน้ำเพียงลำพังกับกลิ่นที่มันทิ้งเอาไว้เป็นที่ระลึก

    จากคุณ : boozumaru - [ 3 พ.ค. 50 16:20:33 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom