เก้าอี้เหล็กเก่าเก็บ จัดเรียงไม่ค่อยมีระเบียบ บางแถวห้าตัว บางแถวสี่ตัว ในห้องประชุมขนาดเล็ก จุได้ประมาณสามสิบที่นั่ง ผมเลือกนั่งหลังห้อง เก้าอี้แถวนอก อากาศในห้องค่อนข้างเย็น เครื่องปรับอากาศพ่นไอเย็นลงมาตรงที่ผมนั่งพอดี ป้ายบนเวที่เขียนชื่อการแสดงดนตรีรายการเล็กๆ จัดโดยชมรมดนตรีของมหาวิทยาลัย เนื่องในโอกาสก่อตั้งครบสองปี ไม่ใช่เวลายาวนานนัก แต่มากพอส่งให้อดีตสมาชิกบางคนกลายเป็นนักร้องชื่อดังของวงการเพลงแถบเอเชีย
ห้องประชุมเล็กไม่เคยเปลี่ยนแปลง สภาพเก่าคร่ำ เก้าอี้ขึ้นสนิมมากกว่าแต่ก่อน มันไม่เคยถูกบูรณะ เพราะเงินทุนส่วนใหญ่ถูกทุ่มให้ห้องประชุมขนาดใหญ่สำหรับงานรับปริญญา ดังนั้น ห้องประชุมที่ไม่เคยถูกเหลียวแล จึงถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเล็กๆของชมรมต่างๆ โดยเฉพาะชมรมดนตรี มันดีมากที่ห้องประชุมเล็กไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะสมาชิกทุกคนรักสภาพแบบนี้มากกว่า
ผมไม่ใช่สมาชิกชมรมดนตรี แต่ใครบางคนเคยเล่าให้ผมฟังอย่างนั้น
ในโอกาสของการฉลอง อดีตสมาชิกชื่อดังจะกลับมาจัดการแสดงเล็กๆ เพื่อรำลึกความหลังและแสดงความขอบคุณต่อชมรมที่ช่วยให้ก้าวเข้าสู่โลกของดนตรี แขกรับเชิญประกอบด้วยอาจารย์ที่ปรึกษา สมาชิกรุ่นก่อตั้ง ทีมงาน ภารโรงที่คอยดูแลห้องประชุม บัตรเชิญพิมพ์อย่างเรียบง่าย มีชื่องาน เวลาจัดการแสดง และชื่อแขกรับเชิญ กระดาษสาสีน้ำตาลอ่อนดูอบอุ่น ผมพับเก็บในกระเป๋าเสื้อ แขกคนอื่นเหลือบมองผมบ้างเหมือนกัน พวกเขาไม่รู้จักผม ผมไม่รู้จักพวกเขา แต่พวกเขาล้วนรู้จักกัน
ผมมาแทนใครบางคน คนๆนั้นของร้องให้ผมมางานนี้ให้ได้
อีกสามสิบนาทีกว่าจะเริ่มงาน ทีมงานเริ่มจัดวางเครื่องดนตรีบนเวที กีตาร์โปร่งสองตัว กลองชุด และเปียโน ทุกชิ้นสภาพสมบุกสมบัน ดูท่าผ่านการใช้งานมานาน บางตัวมีรอยจารึกว่าได้รับบริจาค ผมเคยฟังเพลงของนักร้องรับเชิญคนนี้หลายครั้ง เพลงฮิตมีอยู่หลายเพลง เธอร้องได้แทบทุกแนว ร็อค ป็อบ แจ้ส หรือแม้แต่ฮิพฮอพ ผมยอมรับในความสามารถของเธอ การโด่งดังในประเทศอาจใช้แค่กลไกการตลาด โหมโฆษณาและออกทัวร์คอนเสิร์ต แต่การโด่งดังถึงต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย กลไกการตลาดอาจมีส่วนบ้าง แต่นั่นย่อมแปลว่า เสียงร้องของเขากินใจผู้คน แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ความถี่เสียงของเธอสั่นสะเทือนหัวใจผู้คนแทบทั้งภูมิภาคเอเชีย จะยกเว้นแค่คนไทยบางกลุ่มที่รักเพลงลูกทุ่งเป็นชีวิตจิตใจ
ในห้องประชุมเริ่มมีคนจับจองเก้าอี้นั่งหนาตา พวกเขาพูดคุยกันเบาๆ ดูสนุกสนานออกรส แต่ผมนั่งเงียบในมุมที่มืดที่สุด ไม่ต้องการให้ใครทักทาย ไม่ต้องการตอบคำถามว่าผมเป็นใครในชมรม ไม่ต้องการบอกว่ามาแทนใคร หากบอกออกไปงานรื่นเริงอาจกลายเป็นงานที่แสนสลดหดหู่
คนที่วานให้ผมมาแทนเป็นอดีตสมาชิกชมรมดนตรี เป็นคนรักของผม
เธอเสียชีวิตเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อความตายมาหยิบคนใกล้ชิดของเราไป ต้องยอมรับว่าเรามักไม่ค่อยได้ฟังคำสั่งเสีย โดยมากคนเหล่านั้น ฝากลมหายใจเฮือกสุดท้ายบนเตียงนอนของโรงพยาบาลกับหมอหรือพยาบาลที่รู้จักกันได้เพียงไม่กี่วันของเวลาทั้งชีวิต แม้บางคนพอจะมีพินัยกรรมทิ้งไว้เป็นเอกสารอ้างอิงแบ่งเบาภาระจัดการสินทรัพย์ แต่น้อยนิดที่จะทิ้งพินัยกรรมทางความรู้สึกเอาไว้ให้คนข้างหลัง เราไม่มีลูกด้วยกัน ต่างคนต่างเป็นหมัน เมื่อความบังเอิญทางพันธุกรรมประจวบเหมาะขนาดนี้ การยอมรับด้วยเหตุผลทางโชคชะตาจึงมีน้ำหนักทันที
“ ความรัก ความผูกพัน ของเราสองคนอาจไม่มีชีวิตใดชีวิตหนึ่งที่เป็นพยานยืนยัน อาจไม่มีเจ้าตัวน้อยให้ทุ่มเทดูแลร่วมกัน เพียงเรามีวันเวลาที่เคยได้ใช้ร่วมกันก็พอแล้ว …”
ผมทั้งสุขและเศร้ายามที่นึกถึงรอยยิ้มของเธอตอนพูดประโยคเหล่านั้น ผมน่าจะตั้งใจฟังให้มากกว่านั้น ยิ้มให้เธอมากกว่านั้น และรักเธอให้มากกว่านั้น
อีกห้านาทีจะถึงเวลาแสดงดนตรีตามกำหนดการ เก้าอี้ทุกตัวมีคนนั่งเกือบครบ มีบางคนเหลือบมองพิจารณาตัวผมอยู่บ้าง สีหน้าท่าทางสงสัยว่าผมเคยเป็นใครในความทรงจำของเขา เมื่อไม่มีสัญญาณใบชี้บ่งว่าเราเคยมีชีวิตที่เกี่ยวกัน เขาก็หมดความสนใจ ใครบางคนในความทรงจำของเขาอาจอยู่ในหัวใจของผม อยากขอโทษสักคำเพราะไม่อาจพูดถึงวันคืนเก่าๆร่วมกันได้ ถ้าเธอมานั่งอยู่ตรงนี้เอง อาจมีใครหลายคนได้อิ่มเอมกับวันเวลาของความหลังได้อีกครั้ง ผมเองก็ไม่ต่างจากพวกเขาที่ต่างก็อยากได้คุยกับคนในอดีตอันแสนสุข
“ ...สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากทำ ก็คือสัปดาห์หน้าจะมีคอนเสิร์ตครบรอบก่อตั้งชมรมดนตรีของมหาวิทยาลัย งานเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก ฉันอยากไปพบเพื่อนเก่าๆ พูดคุยกับพวกเขาอีกสักหน ตั้งแต่แต่งงานมีครอบครัว ฉันไม่ได้เล่นดนตรี ไม่ได้จับไวโอลิน วางชีวิตเก่าๆของฉันไว้ข้างหลัง.. ”
สารภาพตามตรงว่าตอนที่เธอคุยเรื่องแบบนั้นให้ฟัง ในช่วงเกือบถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ทำเอาหัวใจของผมอ่อนเปลี้ยเพลียแรง คิดว่าช่วงเวลาที่เราโอบอุ้มมาพร้อมกัน ผมเอาแต่ใจตนเอง ไม่เคยใส่ใจความใฝ่ฝันของเธอสักนิด
“ ..อย่าทำหน้าเศร้าสิ ” เสียงของเธอแว่วมา ถ้อยคำเดียวกันกับที่เคยได้ยินก่อนหน้าเวลาขณะนี้ “ ..การใช้ชีวิตร่วมกับคุณเป็นความสุขอย่างที่สุดของฉันแล้ว คุณไม่ได้ทำให้ฉันต้องทิ้งดนตรี คุณไม่เคยรู้ว่าฉันเคยเล่นดนตรี และไม่ได้ปริปากบอกให้ฉันเลิกเล่น ทั้งหมดฉันปิดคุณเอง ...เป็นความตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าได้ใช้ชีวิตร่วมกับคุณ ฉันจะใช้เวลาทั้งหมดเพื่อให้คุณมีความสุข โดยไม่เอาความใฝ่ฝันส่วนตัวที่มีโอกาสเป็นจริงน้อยเหลือเกินมาเบียดบังเวลาที่ควรให้กับผู้ชายที่ฉันรักที่สุด ..”
ในเวลานั้น เธอยิ้มอย่างสดชื่น แม้ว่าต้องนอนบนเตียงของโรงพยาบาล ยิ่งใกล้วินาทีสุดท้ายของชีวิต เธอยิ่งยิ้มสดชื่นขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่อาจฝืนยิ้มได้สักนิด จิตใจของผมอ่อนแอเปราะบาง แม้แต่จะกุมมือของเธอก็ยังทำไม่ได้
“ ..ในลิ้นชักหัวเตียง มีซองบัตรเชิญงานคอนเสิร์ตอยู่ ถ้าถึงวันแสดงแล้วฉันไม่อยู่แล้ว คุณช่วยไปดูแทนฉันทีนะ ... ”
มันเป็นคำขอร้องของเธอ เป็นการขอร้องก่อนคำขอร้องสุดท้าย ผมได้แต่บอกเธอว่าอย่าพูดอย่างนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าหัวใจของเธอหยุดทำงานลงได้ทุกขณะ เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านม่านสีฟ้าจาง จับจ้องท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆข้างนอกขาวหมดจด แสงแดดรำไร เสียงรถแล่นผ่านไปมา แรงลมหอบใบไม้แห้งเล็กๆจากต้นไม้ข้างหน้าต่างตกลงบนเตียง เธอค่อยๆออกแรงลุกขึ้นนั่ง หย่อนปลายเท้าลงข้างเตียง แล้วบอกกับผมว่า
“ ..ฉันอยากกลับบ้าน คุณพาฉันกลับบ้านนะคะที่รัก ..”
นั่นคือ คำขอร้องสุดท้าย และด้วยรอยยิ้มของเธอที่ได้เห็น ผมไม่อาจปริปากปฏิเสธเธอได้แม้สักคำ
เมื่อเป็นความต้องการของผู้ป่วยระยะสุดท้าย แพทย์จึงยินยอมให้ออกจากโรงพยาบาลอย่างง่ายดาย ผมขอเป็นอุ้มเธอนั่งรถเข็นพาเธอไปขึ้นรถ ตั้งแต่วินาทีนั้น ผมตั้งใจไว้ว่า จะใช้เวลาเพื่อดูแลเธอให้สุดความสามารถด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ใคร มาแย่งเวลาของผมไปจากเธอ
แล้วอีกสิบสี่วันหลังจากนั้น
เธอจากไปอย่างสงบ
เพลงที่เธอเปิดค้างเอาไว้ เป็นของนักดนตรีที่แสดงคอนเสิร์ตในวันนี้
เมื่อกลับมาอยู่บ้าน เธอไม่เคยขอร้องให้ผมทำอะไรให้อีกเลย ผมพาเธอกลับบ้านแล้ว ก็เหลือเพียงมาดูคอนเสิร์ตที่เธออยากดูเท่านั้น หวังว่าทุกสิ่งที่ผมได้สัมผัสในวันนี้ ตัวเธอในหัวใจของผมจะได้สัมผัสไปพร้อมๆกัน
“ ขอโทษครับ ข้างๆมีใครนั่งหรือยัง ”
เสียงทักทายแรกตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องประชุมดึงผมออกความคิดถึง ชายวัยรุ่นราวคราวเดียวกับผม แต่ท่าทางเป็นผู้ใหญ่กว่านั้น นั่งลงข้างๆ ผมเพียงพยักหน้าตอบว่าเชิญตามสบาย
“ ดีใจจังครับ ที่มีที่ว่างไกลจากเวที ห่างจากคนอื่นๆ ผมไม่รู้จะคุยกับใครดี ผมเห็นคุณนั่งเงียบๆ ก็เลยเดาว่า คุณน่าจะเหมือนกับผม คือไม่ใช่คนของที่นี่ ”
“ คุณเดาถูก ..” ผมตอบเบาๆ
“ นั่นไง ผมว่าแล้ว คนที่หน้าตาดูอยากจะตายเอาวันพรุ่งนี้อย่างเรา เป็นพวกแปลกที่แปลกทางเหมือนกัน นี่ถ้าแฟนไม่ขอร้องให้มาแทนเพราะเสียดายบัตรเชิญนะ ผมไม่มาฟังเพลงของนักดนตรีคนนี้หรอก ไม่ใช่ว่าเธอร้องเพลงไม่ดีหรอกนะ แต่ผมเป็นพวกคลั่งไคล้เพลงเพื่อชีวิต ..”
เขาจ้อเสียยาวท่าทางจะเป็นคนช่างคุย แต่คงอึดอัดไม่น้อยที่คุยกับใครไม่ได้สักคน คนที่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกันโลกมักจะบีบให้มาเจอกัน
“ ..คุณเองก็มาแทนใครเหมือนกันใช่ไหมครับ ”
ผมพยักหน้าตอบหนหนึ่งก่อนส่งเสียงตอบ
จากคุณ :
กาแฟสอง
- [
24 พ.ค. 50 23:46:25
]