Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    จับพลัดจับผลูมาเรียนสัตวแพทย์(4)..pre-Clinic แล้วนะ..

    ในเมืองไทยมีมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรสัตวแพทยศาตร์บัณฑิตอยู่ 6 แห่ง ก็คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.เกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น ม.เชียงใหม่ ม.เทคโนโลยีมหานคร และมหาวิทยาลัยมหิดล ในปีหนึ่ง ๆ จะผลิตบัณฑิตรวมทั้งหมดราว ๆ ห้าร้อยคน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสาขาวิชาอื่น ถึงตอนนี้เรียนจบสัตวแพทย์ไปก็ยังไม่ตกงานนะคะ



              หลักสูตรสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต (สพ.บ) ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนตลอดหลักสูตร 6 ปี เรียกว่าเรียนจนแก่คามหาลัยกันล่ะ แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจว่ายังมีคณะแพทย์กับทันตแพทย์อยู่โยง 6 ปีเป็นเพื่อนกัน พอเรียนจบก็มีคำนำหน้าชื่อ นายสัตวแพทย์ (น.สพ.) กับ สัตวแพทย์หญิง (สพ.ญ.) เด่นหราอยู่หน้าชื่อ หากรับราชการเขาก็สตาร์ทเงินเดือนให้เท่ากับ ซี4 หรือเทียบเท่ากับคนที่จบปริญญาโท กิ๊บเก๋มั๊ยคะ


    อ้าว ก็เรียนกันตั้ง 6 ปีเนาะ


                 ส่วนขอบข่ายวิชาที่เรียนก็ไม่ได้มากมายอะไรก็แค่ เรียนรู้และรักษาสัตว์ทุกชนิดที่ไม่ใช่คนและพันธุ์ไม้ ตั้งแต่บนบก บนอากาศ ในน้ำแม้กระทั่งในรู!


                   
                 การเรียนสัตวแพทย์จะแบ่งเป็น 3 ช่วงหลัก ๆ คือ ตอนปีหนึ่ง เรียกว่าเรียนเตรียมสัตวแพทย์ คือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานทั่วไป เช่น คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา สังคม ภาษาอังกฤษ เป็นต้น พอขึ้นปี 2 และ ปี 3 จะเรียกว่าเรียนพรีคลินิก (Pre-clinic) เป็นการเรียนวิทยาศาสตร์แต่เน้นไปทางสัตวแพทย์มากขึ้น เช่น ชีวเคมี (Biochemical) กายวิภาค (Anatomy) สรีรวิทยา (Physiology) จุลชีววิทยา (Microbiology) ภูมิคุ้มกันทางสัตวแพทย์ (Immunology) เภสัชวิทยา (Pharmacology) เป็นต้น


             ส่วนช่วงปี 4  ถึงปี 6 เรียกว่าช่วงคลินิค (Clinic) ซึ่งจะแบ่งเป็นช่วงปี 4 กับปี 5 จะเรียนเรื่องสมมติฐานการเกิดโรคในสัตว์ชนิดต่าง ๆ การผ่าตัด การตรวจวินิจฉัยโรค ตลอดจนการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ  ส่วนปี 6 เป็นปีสุดท้าย ไม่มีการเรียนการสอนในห้อง เป็นการฝึกงานล้วน ๆ พร้อมทั้งรายงานการฝึกงาน และส่งรายงานเป็นระยะ ๆ


             จากประสบการณ์ ฉันคิดว่าการเรียนในระดับพรีคลินิค เป็นการเรียนที่ยากและหนักมาก โดยเฉพาะปีสอง เป็นการเรียนในสิ่งที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ตอนเรียนปีหนึ่งยังพอมีพื้นฐานของ ม.ปลายติดอยู่ตรงติ่งสมองอยู่บ้าง ก็เลยดูสบาย ๆ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก แต่พอขึ้นปีสองสิคะ ต้องมาท่องชื่อกล้ามเนื้อ ท่องชื่อกระดูก เส้นเลือดเส้นเอ็น ในวิชากายวิภาค (Anatomy) เรื่องพวกนี้เคยรู้มาก่อนที่ไหน และชื่อกล้ามเนื้อแต่ละมัดนะคะ ยาว เยอะ จำยาก เช่นกล้ามเนื้อแขนที่ในคนใช้ฉีดยา ชื่อ Bicep bracii กล้ามเนื้อตรงต้นขา ต่ำกว่าสะโพกลงมาหน่อยมี 4 มัด ชื่อ Biceps femeris, Semitendinosus, Semimembranosus, Quatriceps กล้ามเนื้อน่องที่โป่งเป็นลูก ๆ ตอนเราเล่นกีฬา ชื่อ Gastocnemious แค่นี้เบาะ ๆ ค่ะ กล้ามเนื้อในร่างกายสัตว์มีเป็นร้อยมัด กระดูกมีเป็นร้อยชิ้น เส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ เส้นเอ็นต่าง ๆ ต้องท่องค่ะ ท่องไปสอบข้อเขียนนี่ไม่เท่าไหร่นะคะ แต่ต้องสอบแลบกริ๊งด้วยนี่สิคะ ลุ้นระทึกยิ่งกว่าเล่นเกมส์ทศกัณฐ์อีก เพราะอาจารย์เค้าให้เวลาแค่ 30 วินาทีสำหรับตอบว่าไอ้ที่เข็มจิ้มอยู่นั่นน่ะ ชื่ออะไร บอกได้อย่างเดียวค่ะว่าท่องไปให้เต็มที่แล้วใช้ไขสันหลังตอบ เพราะมันไม่ทันคิด!  


              ในร่างกายสิ่งมีชีวิตไม่ได้มีแค่กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเลือดเท่านั้น มันยังมีอวัยวะน้อยใหญ่ที่อัดกันแน่นในช่องอก ม้วนเป็นขด ๆ ในช่องท้อง มีสมองอยู่ในกระโหลกศีรษะ และทุกอย่างมีชื่อ ไม่ว่าจะเป็นช่วงโค้งงอของสำไส้ หรือรอยหยักของร่องสมอง


              วิชากายวิภาคจึงเป็นวิชาที่ท่องกันตะพรึดตะพรือ เอาชนิดเบลอกันไปข้างหนึ่งเลยเชียวล่ะ แถมตอนลงเรียนแลบก็ทรมานเป็นที่สุด เพราะเราใช้สุนัขเป็นอาจารย์ใหญ่ วันแรกที่เข้าห้องกรอสจำได้ว่าหลาย ๆ คนน้ำตาไหลพราก ๆ ไม่ได้สงสารอาจารย์ใหญ่หรอกนะคะ แต่เพราะกลิ่นฟอร์มาลีนที่ใช้ดองศพมันแรงมากจนแสบตาแสบจมูกไปหมด


              การเรียนจะเริ่มต้นจากการเรียนเลคเชอร์ก่อน อาจารย์ก็จะมาสอนว่าแต่ละชิ้นเรียกว่าอะไร มีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ไปเรียนในห้องปฏิบัติการเพื่อเห็นของจริงกันจะ ๆ ตอนแรกทุกคนก็จะกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าจับ เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต โดยพื้นฐานแล้วคนมักจะเกลียดและกลัวอะไรที่ตายแล้ว อาจารย์ใหญ่ที่นอนอยู่บนโต๊ะตัวเย็นชืด นอนแข็งทื่อ แถมบางกลุ่มอาจารย์ใหญ่แลบลิ้นปลิ้นตาให้อีกต่างหาก กลิ่นฟอร์มาลีนผสมกับกลิ่นเนื้อเน่าโชยมาเป็นระยะ ๆ เล่นเอากินอะไรไม่ลงไปหลายวัน


             แต่พอเรียนไประยะหนึ่งก็ชักจะเริ่มชิน ร่างกายสิ่งมีชีวิตอย่างคนเรานี่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากนะคะ เพราะมันพร้อมที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมเสมอ จากที่เคยสวมหน้ากากปิดปากปิดจมูกซะมิดชิด ช่วงหลัง ๆ มาก็เอาออกเถอะ จากที่เคยกลัว เคยรู้สึกจั๊กกะดึ๋ยเวลาจับ ตอนผ่าดูก็ต้องใส่ถุงมือตั้งสองสามชั้น แต่พอชินแล้ว ถุงมือไม่ต้อง ล่อมือเปล่ากันเลย จับกันหมับ ๆ


    จากที่เคยกินข้าวไม่ลงหลายวัน คราวนี้สั่งข้าวเข้าไปกินในห้องผ่าศพเลยก็มี แถมกินชดเชยมากกว่าวันที่กินไม่ลงอีก เวลากินไปก็คุ้ยไป จนถึงวันนี้ยังนึกสงสัยอยู่เลยว่าได้เผลอหยิบชิ้นส่วนของอาจารย์ใหญ่เข้าปากไปบ้างหรือเปล่าหว่า


                   


     ในช่วงที่เรียนกายวิภาคอยู่นั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันไปนั่งทานข้าวกับเพื่อนต่างคณะ ร้านที่ไปกินก็ดูสะอาดสะอ้าน เมนูอาหารก็น่ากิน แต่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าร้านเท่าไหร่ ในขณะกำลังสั่งอาหารอยู่นั้นเพื่อนก็สะกิด


               “ฉันว่าเราไปกินร้านอื่นกันดีกว่า” พูดพลางทำสายตาล่อกแล่ก


                “ทำไมล่ะ อาหารดูอร่อยออก ร้านสะอาดด้วย”


                “นี่แกไม่ได้กลิ่นอะไรเลยเหรอ” เพื่อนพูดพลางป้องปากเอามืออุดจมูกไว้


                 “หึ ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย”


                “ฉันว่ามาจากไอ้นั่นแน่ ๆ เลย” พูดแล้วก็ชี้ไปที่ถังขยะที่อยู่ห่างจากหน้าร้านไปราว ๆ 5 เมตร ซึ่งไม่ได้เป็นถังขยะของร้านแต่เป็นถังขยะสาธารณะ


                 “นี่แกเป็นไซนัสอักเสบเหรอ เหม็นจะตายอยู่แล้วยังไม่ได้กลิ่นอีก” ว่าแล้วเพื่อนก็รีบฉุดแขนฉันออกจากร้านทันที


                เมื่อมานั่งคิดดู สงสัยอาจเป็นเพราะฉันอยู่กับกลิ่นที่มันแรงจากห้องกรอสเป็นประจำ พอไปได้กลิ่นอะไรนิดหน่อยก็เลยคิดว่ามันไม่เป็นปัญหา


                 แต่ตอนนี้นะหรือคะ เดินผ่านห้องกรอสทีไรแทบจะต้องรีบวิ่งทันที กลัวกลิ่นจะติดตัว ติดหัว ติดเสื้อติดผ้า รับไม่ได้ค่ะ มันเหม็น จนเพื่อนมันอดหมั่นไส้ไม่ได้


                 “แหม...’แดะนะคะ ทำยังกับไม่เคย”


                  แหะ ๆ

    จากคุณ : getvs - [ 28 พ.ค. 50 16:57:07 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom