ทุกปี เมื่อช่วงเวลาแห่งการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาถึง เรื่องราวของความสุขสมหวังและผิดหวังจะฉาบฉายอยู่บนใบหน้าของนักเรียนที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายหรือจบวุฒิการศึกษาที่เทียบเท่าเช่นนี้อยู่เสมอ
ผู้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยและคณะที่มุ่งหวังได้ บนใบหน้าย่อมปรากฏรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติ
ผู้ที่สอบไม่ได้หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยและคณะที่มุ่งหวังไม่ได้ บนใบหน้าย่อมปรากฏรอยเศร้าหมอง มากน้อยไปตามระดับของการควบคุมตัวเอง
หลายครั้งเกิดโศกนาฏกรรมของผู้ที่ผิดหวัง นำมาซึ่งความเศร้าสลดต่อพ่อแม่ญาติพี่น้องและแวดวงการศึกษา
บรรยากาศเหล่านี้ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น ยกเว้นเรื่องโศกนาฏกรรม ซึ่งดูเหมือนจะโหดร้ายเกินไป และเป็นสิ่งที่ไม่ปกตินัก
ผู้ที่สามารถการสอบเข้าสถาบันที่มีชื่อเสียงและคณะยอดนิยมได้ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีและน่าภาคภฺมิใจมาสู่ตัวเองและครอบครัว เพราะต้องแข่งขันกันนักเรียนทั้งประเทศ
แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะมามากเพียงไหนอย่างไร ในส่วนตัวของผมนั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้
เพราะผมไม่เคยสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ผมเคยแต่สอบออกจากมหาวิทยาลัย
ชีวิตของผมไม่เคยสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา เพราะช่วงชีวิตในขณะนั้น ไม่เอื้ออำนวยให้ผมได้มีโอกาสลิ้มรสการสอบเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาเลย
เพราะหลังจากนั้นอีกสองสามปีผมจึงสมัครเข้าเรียนที่มสธ. หรือมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สิ่งที่ผมต้องสอบก็คือ การสอบออก ผมต้องสอบออกทุกปี จนกระทั่งปีที่สี่ผมก็สอบออกได้สำเร็จ
การศึกษาของผมจึงควบคู่ไปกับการศึกษาในมหาวิทยาลัยชีวิต โดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิงกับเพื่อนร่วมรุ่น ในขณะศึกษา
การศึกษาของผมจึงหมายถึงการเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ความสามารถ วุฒิภาวะ ความเชี่ยวชาญในแขวงวิชาที่ได้ศึกษา เพื่อพัฒนามุมมอง พัฒนากรอบความคิดในการมองตัวเอง มองสังคม และมองโลก ให้ลึกซึ้งและกว้างไกลยิ่งขึ้น
การสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในประสบการณ์ชีวิตในชีวิตนี้ของผม
เมื่อวันเวลาแห่งการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเวียนมาถึง ผมอดไม่ได้ที่จะติดตามข่าวความเคลื่อนไหวนี้ เพราะผมมองว่า กาศึกษาคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติ
หลายอย่างอาจเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ที่เหมือนกันก็คือ กฎเกณฑ์เหล่านั้น เป็นไปเพื่อคัดสรรนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัยเพื่อให้เป็นธรรมที่สุดตามกฎเกณฑ์ของผู้บริหารทางการศึกษาจะกำหนดให้เป็นไปตามความเหมาะสม
ไม่ว่ากฎเกณฑ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร เป้าหมายของนักเรียนทุกคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย ล้วนมั่นหมายสถาบันที่มีชื่อที่สุด ซึ่งหมายถึงอนาคตที่ดีเมื่อจบการศึกษา เพราะซื่อเสียงของสถาบันเป็นสิ่งที่รองรับเป็นเบื้องต้น
แต่ผู้ที่มุ่งหวังอย่างนั้น ก็ต้องจ่ายค่าไปไม่น้อย ทั้งความขยัน อดทน ในการเตรียมตัวสอบ จนกระทั่งกลายเป็นความกดดันและผิดหวัง เมื่อผู้ที่เตรียมตัวมาอย่างดีแต่พลาดหวัง กระทั่งรับไม่ได้ในสิ่งที่ผิดหวังนั้น
กระทั่งรับไม่ได้ที่จะต้องเข้าเรียนในสถาบันอื่นที่ชื่อเสียงเป็นรองลงมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่านิยมในสังคมไทยที่เห่อเหิมไปกับค่านิยมที่ต้องเป็นเอกอุหรือเป็นหนึ่ง จึงยึดติดติดกับชื่อเสียงเกียรติยศ ความมั่งคั่ง กระทั่งลืมคุณค่าของความเป็นคนไป สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเหมือนกับเงาร้ายที่แฝงอยู่ในจิตใจของคนในสังคม จนกระทั่งหล่อหลอมเป็นวิถีปฏิบัติและวิถีปรารถนาของผู้คนในสังคม
ค่านิยมในความมีชื่อเสียง ความร่ำรวย มั่งคั่ง และค่านิยมในสิ่งที่เป็นกระแส กลายเป็นความอ่อนแอที่เกิดภายในจิตใจของผู้คน และกลายเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอ่อนแอไปด้วย เพราะมโนทัศน์ของคนในสังคม ของประชาชนในประเทศโน้มเอียงไปอย่างนั้น การกระทำก็ย่อมเป็นไปในแนวทางนั้น
นักเรียนนักศึกษา คือผู้ที่จะเป็นกำลังกายกำลังสมองของประเทศชาติในอนาคต เมื่อมีมโนทัศน์อย่างไร ทิศทางของสังคมในอนาคตย่อมเป็นไปอย่างนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
อาจจะมองดูว่าเป็นจุดเล็กๆ แต่จุดเล็กๆนี้จะค่อยๆขยายใหญ่ยิ่งขึ้นตามวันเวลา เมื่อนักเรียนนักศึกษาในวันนี้ เข้าไปมีบทบาทในส่วนต่างๆของประเทศในอนาคต และเมื่อนักเรียนนักศึกษาในวันนี้มีมุมมองที่คับแคบไม่เปิดใจกว้าง ได้เข้าไปอยู่ในส่วนที่เป็นส่วนที่กำหนดทิศทางของประเทศชาติ ในอนาคต ทิศทางของประเทศชาติจะเป็นอย่างไร
มหาวิทยาลัย เป็นเหมือนแบบจำลองของบุคลากรที่จะมีอิทธิพลต่อประเทศชาติในทุกสาขาอาชีพ และในทุกส่วนของประเทศชาติในอนาคต เพราะอีกหนึ่งทศวรรษ อีกสองทศวรรษ อีกสามทศวรรษ และอีกสี่ทศวรรษข้างหน้า นักศึกษา ณ วันนี้ คือผู้ที่กำหนดชะตาประเทศชาติอย่างไม่ต้องสงสัย
หากว่า ณ วันนี้นักเรียนนักศึกษามีค่านิยมที่ไม่เปิดใจกว้าง ยึดถือรุ่น ยึดถือสถาบันการศึกษา ยึดถือความมีชื่อเสียง เกียรติยศเป็นด้านหลัก
อนาคตของประเทศชาติจะเป็นอย่างไร
ถึงเวลาแล้วหรือยังว่า เราจะเปลี่ยนแปลงค่านิยมใหม่ มองโลกมองสังคม มองชีวิต ให้กว้างกว่าที่เคยมอง
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐
จากคุณ :
huaboonsan
- [
1 มิ.ย. 50 10:12:07
]