ความคิดเห็นที่ 1
มิอาจวิจารณ์ ขอตั้งขอสังเกตบางประการแทนแล้วกันนะครับ ในฐานะคนอ่านกลอนบ้าง เขียนกลอนบ้าง เวลาผมอ่านบทกวี โดยเฉพาะที่มีฉันทลักษณ์ เช่นกาพย์ โคลง กลอน ผมจะฟังเสียงเป็นอันดับแรก บทร้อยกรองไทยมีจังหวะเสียงของตัวเองคล้ายเสียงดนตรี ถ้าบรรเลงผิดคีย์ ผิดโน้ต มันก็ไม่เหมาะเจาะเพราะพริ้ง แล้วอันดับต่อไปผมจึงฟังความหมาย ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ มันก็ไม่อาจจะรู้สึกร่วมได้
------------------------------------------------------------------
1. เสียงท้ายวรรค คำที่คุณนองวินใช้ลงท้ายวรรค เสียงฟังแล้วไม่ค่อยเป็นทำนองกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวรรครับ (วรรคที่สอง) ของบทที่ 1, 3 และ 4 มีเพียงบทที่ 2 ที่ลงท้ายด้วย "สยาม" เป็นเสียงจัตวา แล้ววรรครอง (คือวรรคที่สสาม) ลงท้ายด้วย "นาม" เป็นเสียงสามัญ ฟังแล้วนุ่มนวลรื่นหู สำหรับบทที่ 3 และ 4 ลงท้ายวรรครับ (วรรคที่สอง) ด้วยเสียงสามัญ ฟังแล้วผิดทำนองน่ะครับ เหมือนร้องคนละเพลง ไม่ใช่เพลงกลอนสุภาพ
ที่จริงตำแหน่งนี้ลงท้ายด้วยเสียงวรรณยุกต์ได้หลายเสียง แต่เสียงที่ไพเราะที่สุด ดูเหมือนจะเป็นเสียงจัตวา ซึ่งนิยมใช้กันมาแต่โบราณมาก สมัย ป.6 ผมต้องท่องบทอาขยานจากพระอภัยมณี จำได้ไม่ครบ แต่เท่าที่จำได้ วรรครับลงท้ายด้วยเสียงจัตวาทุกวรรค ตัวอย่างนะครับ
จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข, จัตุบาทกลางป่าพนาสิน, อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา, นั่งพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง, ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย, ไม่เทียมโฉมนางงามพี่พราหมณ์เอ๋ย, (จำได้แค่นี้ครับ)
ในกลอนสุภาพสมัยใหม่ มีการลงท้ายเสียงวรรคสดับด้วยเสียงวรรณยุกต์อื่นมากขึ้น ที่นิยมมากหน่อย ผมสังเกตว่าจะเป็นเสียงต่ำไปเลย เช่นเสียงเอก หรือเสียงโท แต่เสียงสามัญนี่ ใส่เข้าไปปุ๊บ ทำนองจะผิดไปจากกลอนสุภาพทันทีครับ
บทร้อยกรองที่เล่นจังหวะคล้ายกลอนสุภาพ เช่น กลอนหก กลอนเจ็ด กลอนสี่ (หรือแม้แต่กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ในบางครั้ง) ก็มักจะใช้เสียงลงท้ายในลักษณะเดียวกัน
2. การส่งสัมผัสด้วยคำตายในบทที่ 1 คือ จาก "พจน์" ไปยัง "ปรากฏ" และ "วจน์" ในปัจจุบันมีที่ใช้มากกว่าในสมัยโบราณ และใช้แสดงอารมณ์ที่หลากหลายขึ้น แต่ก็ยังเหมาะกับอารมณ์เฉพาะอยู่ เวลาส่งสัมผัสด้วยคำตาย ต้องระมัดระวังเรื่องเสียงให้ดีครับ ว่ามันเหมาะสมหรือเปล่า ทั้งในแง่ความราบรื่นของเสียง และอารมณ์ที่สื่อออกมา
3. การเล่นคำต้นวรรค "สุนทรภู่ ครูกวี ศรีสยาม" เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ล้อรับกับโคลงชนิดหนึ่ง (ใช่โคลงกระทู้รึเปล่านะครับ เรียนมานานแล้วก็ลืม) ถ้าจะให้เด่น ควรจะเว้นวรรคแยกคำด้วย ไม่งั้นมีแนวโน้มว่าคนอ่านส่วนใหญ่จะไม่สังเกต
มีข้อติงอยู่นิดเดียวคือ ข้อความที่นำมาเล่นแบบนี้ ควรจะมีจำนวนคำที่หารด้วย 4 ลงตัว เพื่อให้กระจายใส่ทุกวรรคในบทได้อย่างพอดี ไม่มีลักลั่น ในตัวอย่างบทของคุณนองวิน ถ้าเราจะแยกคำแบบนี้ คนอ่านก็จะเห็นคำว่า "ด้วย" งอกเพิ่มมาอีกคำ โดยไม่ได้เจตนา
สุน ทรภู่ ครูกวี ศรีสยาม ทร สาย ในความ งามในพจน์ "ภู่" นามนี้ ที่ลือชา แลปรากฏ ครู แห่งวจน์ ชดช้อย เปี่ยมถ้อยคำ
กวี ซึ่ง หนึ่งอนัญ ไม่มีสอง ศรี ครรลอง ผ่องแผ้ว แก้วสยาม สยาม เมือง เมืองไทย ได้ลือนาม ด้วย ??? ความงาม คำถ้อย ร้อยกวี
อีกนิดคือ การแยกคำที่ไม่มีความหมายออกมา แล้วทำให้ประโยคมันไม่มีความหมาย หรือสื่อความหมายผิดไปด้วย ในกรณีนี้คือคำว่า "ทร" รอบแรกที่ผมอ่าน ยังไม่ได้เห็นบทบรรยายด้านล่าง ผมไม่เข้าใจคำว่า "ทรสาย" นึกได้แค่เพียงว่า "ทร" แปลว่าเลวทราม (เช่น ทรชน, ทรราชย์) เลยงงมาก ว่า "ทรสาย" แปลว่าอะไรที่เลวทราม แล้วมันไป "ทรสายในความงาม" ได้อย่างไร จะวิ่งหาพจนานุกรม ก็ไม่ค่อยขยันนัก
4. การเล่นคำซ้ำ คุณนองวินตั้งใจเล่นคำ (ผมเดาว่าอย่างนั้น) อยู่หลายตำแหน่ง เช่น "แก้วสยาม, สยามเมือง เมืองไทย" "กวีเอก เอกแผ่นดิน" แต่หลายตำแหน่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นการเล่นคำ หรือว่าคำมันซ้ำ แต่ความรู้สึกคือมันซ้ำค่อนข้างเยอะ คำที่สะดุดเช่น กวี, ถ้อยคำ, คำถ้อย, ครู, รำลึก รู้สึกมันย้ำไปนิด แต่อาจเป็นเจตนาการเล่นคำของคุณนองวิน อันนี้ก็รับทราบได้ครับ
5. สัมผัสใน อันนี้ขอชมเชน ว่าคุณนองวินตั้งใจสลักเสลาสัมผัสในได้ดีสมเป็นบทกลอนรำลึกท่านสุนทรภู่ครับ ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร มีทุกบท และแทบจะทุกวรรคก็ว่าได้ เก่งนะเนี่ย
6. ลักษณะ "กลอนพาไป" บางวรรคมีลักษณะแบบนี้คือ ใช้ถ้อยคำจำนวนมาก คล้องจองกันราบรื่นตามทำนอง แต่ความหมายไม่ชัดเจน ความหมายซ้ำไปซ้ำมา หรือผิดความหมายของเนื้อเรื่อง ตัวอย่างที่ผมสะดุด คือ "ศรีครรลอง ผ่องแผ้ว แก้วสยาม, สยามเมือง เมืองไทย ได้ลือนาม" ลองค่อยๆ แปลความหมายดีๆ แล้วอาจจะงงเหมือนผม ว่าท่านเป็นศรีของ "แนวทาง" (ครรลอง) ที่สะอาดบริสุทธิ์ ประหนึ่งเป็นแก้วแห่งสยาม จนทำให้เมืองไทยได้มีชื่อเสียง (???)
อีกตำแหน่งหนึ่งคือกลบทเบญจพรรณห้าสีที่นำมาใช้ วรรครอง (วรรคที่สาม) กับวรรคส่ง (วรรคที่สี่)
ชักชวนเชิญ เชือนใช้ (ให้อ่านซี)
ชักชวนเชิญ เหมาะสมดีแล้ว เชือนแปลว่าช้า ใช้ (???) ใช้อะไร อ่านแล้วคล้ายไม่ใช่ชวนอ่านหนังสือหรือบทกวี เหมือนชวนใช้สินค้ามากกว่า
รีบเริงรี่ รี้ริก (พลิกอ่านดู)
ให้ภาพที่ทำให้ผมตกใจมาก ^^" รีบรี่ ระรี้ระริอย่างรื่นเริงไปอ่าน จินตนาการแห่ง "วจน์ ชดช้อย" อันมี "ความงาม (แห่ง) คำถ้อย ร้อยกวี" แตกกระจายเหมือนแก้วตกพื้น
------------------------------------------------------------------
โดยรวมแล้ว เป็นกลอนสุภาพที่เขียนได้ "ถูกต้องตามบังคับ" ได้แก่ จำนวนคำ และสัมผัส (มียกเว้นบางแห่ง เช่น "หลายร้อยล้าน ราวชลาลัย เช่นอภัยมณี" ซึ่งคำเยอะจัง และ "เปี่ยมถ้อยคำ" ซึ่งจริงๆ แล้วไม่สัมผัสกับ "สยาม" แต่ก็เป็นข้อยกเว้นจำนวนน้อย) นอกจากนี้ยังมีความตั้งใจในการใส่กลเม็ด กลบท (ทั้งสามประการ)
ส่วนที่ขาดคือประสบการณ์การอ่านกลอน (หรือบทกวีอื่น) ทำให้มีจุดอ่อนคือ
- ไม่เข้าถึง "เสียง" หรือ "ทำนอง" ของคำประพันธ์ประเภทนี้ ซึ่งในผังสัมผัสไม่ได้สอน อาจารย์ไม่ได้บอก พอไม่ได้อ่าน ก็ไม่มีโอกาสสังเกต และไม่สามารถหยิบมาใช้ได้
- คลังคำมีจำกัด ทำให้วนอยู่ในไม่กี่คำ และอาจไม่เข้าใจความหมายของคำที่ตัวเองหยิบมาใช้ดีพอ หรือหาคำที่ถูกใจ ถูกความหมาย ถูกสัมผัส (และถูกเสียง) ไม่เจอ
ไม่ทราบว่ารุ่นน้องที่เอากลอนนี้ไปส่งอาจารย์เรียนอยู่ระดับชั้นไหน เพราะการให้คะแนนก็คือการประเมินทักษะและความสามารถของผู้เรียน ซึ่งแต่ละระดับชั้นย่อมคาดหวังไม่เท่ากัน
สำหรับผม ถ้างานนี้เป็นของเด็กชั้นโต (คือมัธยมปลาย) ผมคงไม่ส่งประกวดแน่ แต่ถ้าเป็นของเด็กชั้นเล็ก (คือมัธยมต้น) ถ้าจะส่งประกวดของงาน "ภายใน" โรงเรียน ก็เพื่อสร้างสีสันและเป็นกำลังใจให้เด็กที่เป็นเจ้าของงานครับ แต่ถ้าส่งประกวด "ระหว่าง" โรงเรียน ผมก็คงไม่ส่งอยู่ดี
ในแง่คะแนนก็เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับระดับชั้น และแผนการเรียนของเด็กด้วย แต่โดยทั่วไปผมเป็นคนใจดีนะ อิๆๆ ให้คะแนนไม่ค่อยยากหรอก จาก 10 ผมคงให้ซัก 7 แหละครับ (ถ้ามีบทบรรยายประกอบแบบนี้ ถ้าไม่มี ผมคงไม่เห็นความพยายามขนาดนี้ และอาจจะเหลือ 6 แหะๆๆ) ถ้าอาจารย์ท่านนั้นให้ 5 อาจเป็นเพราะท่านคาดหวังว่า สอนไปเยอะแล้ว ควรจะเอาสิ่งที่สอนมาประยุกต์ใช้ได้บ้าง (ซึ่งน้องคนนั้นก็ไม่ได้ประยุกต์ใช้อยู่ดี เพราะขอให้คุณนองวินเขียนให้ ได้ 5 ก็ถือว่ากำไรแล้ว จริงมั้ยครับ)
ป.ล. ไม่สนับสนุนการให้คนอื่นทำการบ้านให้ และไม่สนับสนุนการทำการบ้านให้คนอื่นครับ ^^
จากคุณ :
คุณพีทคุง (พิธันดร)
- [
19 มิ.ย. 50 07:20:06
]
|
|
|