Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    อานามสยามยุทธ

    ลักษณะขุนศึก : โคลงดั้นวิวิธมาลี

    อานามสยามยุทธนั้น..................ยาวนาน
    องค์บดินทรเดชา........................ท่านใช้
    ลวงเผาเหล่าญวนลาญ...............หลายอย่าง
    คุมฆ่าญวนล้วนได้........................ดั่งจินต์

    นายทัพไทยถ่อยท้อ.....................การทัพ
    หัวเด็ดโดยบดินทร์......................เด็ดเหี้ยน
    ไป่สู้ศึกอยู่ยับ................................โดยผ่าน
    ใหญ่ศึกใจเหี้ยมเสี้ยน..................จึ่งสลาย

    อาจทำอำนาจทั้ง............................ทศทิศ
    ชี้ออกไป เป็น-ตาย .......................แต่ชี้
    ชาวเมืองเลื่องลือฤทธิ์..................ทุกราษฎร
    แลหนึ่งพระเจ้านี้..........................นับถือ

    ขุนศึกสยามอย่างนี้........................ย่านไฉน
    สิงหเสนีลือ....................................ร่วมเล้น
    ใจเย็นเข่นศึกกษัย..........................สำเร็จ
    เหี้ยมหากอยากเต้าเต้น..................ต่อยบร

    ประพันธ์โดย อัศนี พลจันทร (นามปากกา :นายผี)

    อ่านโคลงดั้นวิวิธมาลี ของนายผี แล้วจงตอบคำถาามต่อไปนี้
    -  "อานามสยามยุทธ"  คืออะไร?
    -  "อานามสยามยุทธนั้นยาวนาน" ยาวนานเพียงใด?
    - ใครถูกเด็ดหัว ("หัวเด็ดโดยบดินทรฯ เด็ดเหี้ยน") ?
    - ("แลหนึ่งพระเจ้านี้นับถือ")  ใครนับถือใคร ?


    เฉลย

    หนังสืออานามสยามยุทธเมื่อพิมพ์แจ้งไว้หน้าปก ว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ที่สมุหนายกในรัชกาลที่ 3 กรุงเทพฯ เป็นผู้เรียบเรียงไว้ 55  เล่ม สมุดไทยตัวรง ว่าด้วยรายงานราชการกองทัพไทย ไปทำศึกสงครามกันกับ ลาว เขมร ญวน ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ กล่าวได้ว่าไทยสิ้นสุดการสงครามกับพม่าลงเนื่องจากอังกฤษแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปยึดครองพม่า แต่ไทยก็ต้องหันไปเผชิญปัญหาการสงครามกับลาว  กัมพูชา  และเวียดนามโดยเริ่มตั้งแต่การปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ที่ฉวยโอกาสขณะที่ไทยเตรียมการระวังป้องกันพระนครจากการรุกรานของอังกฤษ ใน พ.ศ.2369 กองทัพหน้าของเวียงจันท์จู่โจมเข้ามาถึงสระบุรี ส่วนทัพหลวงของเจ้าอนุวงศ์เข้ายึดครองนครราชสีมา ส่วนทางด้านนครศรีธรรมราชรายงานว่าสามารถส่งทหารมาช่วยขัดตาทัพได้เพียงแค่ 2,000  คนเพราะมีกำลังเรืออังกฤษมาจอดอยู่ในน่านน้ำมลายู จำนวน ห้าลำ ไม่ทราบว่าจะไปที่ใด กรุงรัตนโกสินทร์จึงมีศึกที่จะต้องระวังทางด้านใต้อีกทางหนึ่ง กองทัพที่สอง สาม และสี่ ซึ่งเตรียมจะขึ้นไปทางปราจีนบุรี จำต้องถูกเรียกกลับให้ลงไปรักษาปากแม่น้ำเจ้าพระยา การสงครามกับเวียงจันทน์ต้องใช้เวลาถึงสามปี กว่าจะจับเจ้าอนุวงศ์ได้   และได้อาณาจักรลาวคืนมา

    ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ทศพร วงศรัตน์ (ราชบัณฑิต) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการใน พระอภัยมณีคำกลอนของสุนทรภู่ที่ได้ประพันธ์ไว้นั้น ตรง กับเหตุการณ์จริง ห้วงเวลาที่ เจ้าอนุวงศ์กบฏเวียงจันทน์ ถูกจับขังกรงส่งมาถึงกรุงเทพฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2371 หลังจากที่ได้รับการแช่งด่าทรมานหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ประมาณ 7 วัน 8 วัน ก็ตาย (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ร.3) ในกรณีนี้วันพุธของสุนทรภู่เท่ากับได้เพิ่มความชัดเจนให้แก่ประวัติศาสตร์ไทย   พระอภัยมณีคำกลอน ตอนที่ 26 หน้าที่ 415 อุศเรนตายแล้วผีไปเข้านางวาลี ความว่า

    "ชักชะงาก รากเลือด เป็นลิ่มลิ่ม
    ถึงปัจฉิม ชีวาตม์ ก็ขาดสาย
    เป็นวันพุธ อุศเรน ถึงเวรตาย
    ปีศาจร้าย ร้องก้อง ท้องพระโรง"

    ย้อนไปเมื่อครั้งรัชกาลที่ 2 เมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯยังเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร และเจ้าพระยาบดินทรเดชา เป็นจมื่นเสมอใจราช วันหนึ่งมีการเสด็จพระราชดำเนินทางเรือวันนั้นเป็นฤดูหนาวหมอกลงจัดเรือของจมื่นเสมอใจราชผ่านมาพลัดหลง และเฉียดเรือพระที่นั่งของกรมพระราชวังบวรฯ อันเป็นความผิดพระอัยการฐานตัดหน้าฉาน ต้องโทษจำขังอยู่ระยะหนึ่ง กรมหมื่นเจษฎาฯ ทรงเห็นหน่วยก้านของ จมื่นเสมอใจราช ว่าเป็นคนเข้มแข็งจะเป็นหลักของบ้านเมืองต่อไปได้ จึงขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่นานจมื่นเสมอใจราช ได้เลื่อนเป็นพระยาเกษตรรักษา อยู่ในกรมนา พระยาเกษตรรักษา ออกไปทำนาหลวงอยู่พักหนึ่ง ก็ถึงคราวเคราะห์มีคนกล่าวโทษว่าล้อมรั้วทำค่ายคูประตูหอรบ ที่กองนาคล้ายจะส้องสุมกำลังพลเป็นกบฎ จึงต้องพระราชอาญาจำคุกอยู่นาน จนสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กรมหมื่นเจษฎาฯ ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงโปรดให้พ้นโทษเข้ารับราชการใหม่เป็นพระยาราชสุภาวดี

    เจ้าพระยาบดินทรเดชา เวลานั้นได้เป็นที่พระยาราชสุภาวดี  แล้วแต่ยังไม่มีบ้านเรือนจะอยู่แน่นอน คราวนี้ลงอยู่ในแพลอย ซึ่งว่าที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดของสมัยโน้น เพราะธรรมดาชาวบ้านชาวช่อง แม้แต่ขุนนางบางท่านก็อยู่แพกันแทบทั้งนั้น ในภาพโบราณ จะเห็นแพจอดกันเป็นตับตามแม่น้ำลำคลอง พระยาพิไชยวารี (เจ้าสัวโต) เป็นข้าหลวงเดิม ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เช่นเดียวกัน จึงชักชวนให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) นำแพมาจอดปักหลักที่ท่าน้ำหน้าบ้าน พระยาพิไชยวารี ผู้นี้ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ได้เป็น เจ้าพระยานิกรบดินทร์ ต้นสกุล ‘กัลยาณมิตร’ (http://www.thaisamkok.com/forum/index.php?act=Print&client=printer&f=15&t=921)

    เมื่อเกิดศึกเวียงจันทน์ พระยาราชสุภาวดีได้เป็นแม่ทัพสู้รบกับข้าศึกอย่างเข้มแข็งมากในการประจันบานกันครั้งนั้น เจ้าราชวงศ์แม่ทัพลาวเอาหอกแทง ถูกท้องพระยาราชสุภาวดี พระยาราชสุภาวดีชักมีดหมอที่เหน็บไว้แทงสวนไปถูกที่ขา  ทนายของท่านเอาปืนยิงถูกเจ้าราชวงศ์บาดเจ็บเล็กน้อย คนของเจ้าราชวงศ์พานายของตนถอนตัวออกไป พระยาราชสุภาวดีเอานิ้วแยงดูแผลว่าไม่ลึกนัก จึงเอารัดประคตพันรองเอวให้แน่นแล้วเรียกให้คนเอาแคร่ มาหามบัญชาการรบจนทหารลาวแตกพ่ายไป ความสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3  กับเจ้าพระยาบดินทรเดชา จัดว่าลึกซึ้งนัก  ร.3 ทรงเรียกเจ้าพระยาบดินทรฯว่า พี่สิงห์ บางครั้งเมื่อเข้าเฝ้าในที่รโหฐานทรงโยนหมอนอิงให้กับเจ้าพระยาบดินทรฯ ท้าวข้อศอก เจ้าพระยาบดินทรฯ รับไว้แล้วก็วางไว้ข้างหน้าหาได้ใช้หมอนนั้นไม่ การกระทำเช่นที่ทรงทำนี้ ไพร่พล คนใดมีหรือจะไม่ตื้นตันด้วยความจงรัก (จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา, อำนาจอยู่หนใด ชีวประวัติเหมือนนวนิยายของนักปกครอง 7 ท่าน.--พิมพ์ครั้งที่ 1.--กรุงเทพฯ : พัฒนา, 2533.หน้า139-140)

    ตลอดเวลาแห่งช่วงสงครามนี้ ญวนได้ให้การสนับสนุนลาวอย่างเต็มที่ไม่เพียงแต่ลาวเท่านั้นประเทศกัมพูชาซึ่งเคยขึ้นอยู่กับไทยมาหลายร้อยปี ญวนก็ได้เข้ามาแทรกแซงโดยสนับสนุนราชบุตรีของเจ้าแผ่นดินกัมพูชาที่ทิวงคตให้เป็นกษัตริย์ และได้พยามทุกวิถีทางที่จะกลืนกัมพูชาให้เป็นของ ญวน  จากศึกครั้งนี้ป็นต้นเหตุนำไปสู่การสงครามกับกัมพูชาและเวียดนาม  และขยายต่อเป็นสงครามยืดเยื้อกับเวียดนาม     ที่ใช้เวลายาวนานถึง 14  ปี (พ.ศ.2378 - 2392)  

    ใน พ.ศ.2376 เมืองไซง่อนก่อการจราจลโดยฝ่ายกบฏ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็น แม่ทัพบกยกกองทัพไปตีเขมรและหัวเมืองญวนลงไปถึงเมืองไซง่อนเพื่อช่วยฝ่ายกบฏ และให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค)  เป็นแม่ทัพเรือไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายฝั่งทะเล โดยไปสมทบกับกองทัพบกที่เมืองไซง่อน ในส่วนของกองทัพเรือต้องยกกำลังไปหลายครั้งเช่นเดียวกับการรบทางบก

    ในสงครามกับญวนครั้งนี้ เจ้าพระยาบดินทรฯ ได้สั่งให้ตัดศีรษะนายขำ บุตรคนที่ 18 ของท่านในข้อหาขลาดกลัวต่ออริราชศัตรู อันเป็นการลงโทษอย่างรุนแรง เป็นมาตรการที่ให้ ไพร่พล เกิดความยำเกรงต่อกฎข้อบังคับและคำสั่ง จนเป็นกำลังไปสู่ชัยชนะได้

    ในพ.ศ.2384 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นแม่ทัพเรือยกกองทัพเรือ ไป ตีเมืองโจดก  เรือรบไทยที่เดินทางไปร่วมรบในครั้งนี้มี เรือกำปั่นพุทธอำนาจ  เทพโกสินทร์ ราชฤทธิ์ วิทยาคม อุดมเดช เรือค่าย เรือปักหลั่น และเรือมัจฉานุ  ซึ่งใช้บรรทุกเสบียงอาหาร อย่างไรก็ดีการรบทางเรือครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากทหารไทยไม่ชำนาญภูมิประเทศ และเรือ ไทยมีสมรรถนะที่ด้อยกว่า เรือญวน (ดูรายละเอียดใน   พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์, 2508) ทั้งในเรื่องของขนาดและประสิทธิภาพ   ด้วยเหตุผลดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องต่อเรือรบใหม่เป็นเรือป้อมอย่างญวน สามารถติดตั้งปืนใหญ่ได้หลายกระบอก ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ   ให้เจ้าพระยาพระคลังเป็น แม่กอง อำนวยการต่อเรือป้อมแบบญวนไว้ใช้ในราชการ 80 ลำ    ในที่สุดการรบระหว่างญวนกับไทยที่ยืดเยื้อมาถึง 14  ปี ก็ต้องยุติลงโดยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกการศึกครั้งนี้และมีการเจรจาสงบศึกใน พ.ศ.2390  เพราะ ทรงพิจารณาเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคน เปรียบเหมือนว่ายน้ำท่ามกลางมหาสมุทรไม่เห็นเกาะเห็นฝั่ง  (พันเอก หม่อมราชวงศ์ ศุภวัฒน์ เกษมศรี, 2531 : 291) โปรดอ่านเพิ่มเติมในเวปไซต์กองทัพเรือ  http://www.navy.mi.th/navic/document/880804e.html

    หนังสืออานามสยามยุทธฉบับสรุปของกรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุดเรื่องนี้ป็นการย่อเรื่องการสงครามระหว่างไทยกับลาว  กัมพูชาและเวียดนาม    ซึ่งเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นแม่ทัพในทำสงคราม    บันทึกหลักฐานไว้เป็นรายงานราชการกองทัพที่ปฏิบัติการในสงครามดังกล่าว ได้มีการจัดลำดับหัวข้อเรื่องใหม่      ใช้สำนวนภาษาตามสมัยปัจจุบัน   เพื่อสะดวกแก่ผู้อ่านและเข้าใจง่ายขึ้นกว่าฉบับเต็ม เนื้อหาที่น่าสนใจของหนังสือ      ได้แก่ วิธีการดำเนินการทางทหารของไทยในอดีตความเฉลียวฉลาดรอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วนของผู้นำทางการทหาร        นับตั้งแต่องค์พระมหากษัตริย์ เรื่อยลงไปจนถึงขุนนางแม่ทัพนายกองน้อยใหญ่ แสดงให้เห็นถึงกระบวนการจัดทัพ การวางแผนการรบ การดำเนินกลยุทธ์     อุบายและเล่ห์กลการศึกการจัดการด้านกำลังพล ขวัญและกำลังใจของทหาร การส่งกำลังบำรุงการจัดการกับพลเมืองและดินแดนที่ยึดได้ ซึ่งยังคงทันสมัยและเป็นความรู้อันเป็นประโยชน์แก่วงการทหารไทยในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะผ่านกาลเวลามานานถึงเกือบ  200 ปี. (กรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด. อานามสยามยุทธ ฉบับสรุปเรื่อง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร   กองบัญชาการทหารสูงสุด. 2542. 95 หน้า)

    แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 50 19:13:58

    แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 50 19:02:17

    แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 50 19:01:24

    แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 50 18:34:05

     
     

    จากคุณ : กวินทรากร - [ 19 มิ.ย. 50 18:32:43 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom