เรื่องมีอยู่ว่า มีอยู่วันนึงฉันอยากจะเดินออกกำลังกาย
แต่ว่าในละแวกที่ฉันพักอาศัยอยู่ ไม่มีสวนสาธารณะเลยฉันเลยตัดสินใจใช้ริมถนนนั่นหละเป็นสวนสาธารณะ จุดหมายปลายทางคือ ร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ที่สุดแห่งหนึ่ง ถ้านั่งรถเมล์ก็ประมาณ 5-6 ป้าย
เนื่องจากเป็นหน้าฝนฉันจึงมีร่มติดตัวไปด้วย ฉันออกเดินประมาณบ่ายสามโมง เดินไปอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อนมองสิ่งต่าง ๆ ตามริมทางเดินมองการดำเนินชีวิตของผู้คนไปด้วย จนกระทั่งไปถึงห้างสรรพสินค้าที่ต้องการ ตอนนั้นเริ่มรู้สึกเหนื่อยแต่ก็ไม่มาก แค่เหงื่อออกนิด ๆ หน่อย ๆ ตอนแรกตั้งใจจะไปซื้อหนังสือนิทานให้หลานที่ห้าง แต่ก็เปลี่ยนใจเดินไปร้านขายหนังสือมือสองซึ่งหนังสือจะยังดูเหมือนใหม่และมีการห่อหุ้มด้วยพลาสติกอย่างดี
เมื่อได้หนังสือแล้วก็ชั่งใจอยู่ว่าจะเดินกลับหรือเดินไปต่อ แต่เมื่อดูเวลาก็เหลือเวลาอีกตั้งมากกว่าจะค่ำ จึงเลือกที่จะเดินต่อ โดยจุดมุ่งหมายคือตลาดสดที่ใกล้ที่สุด (ประมาณ 4-5 ป้ายรถเมลล์) เมื่อเดินไปถึงป้ายรถเมลล์ป้ายแรก ฉันก็เจอเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนึงอายุน่าจะประมาณ7-8 ขวบกำลังสะพายเป้หนังสือ ท่าทางดูหนักมาก เดินมุ่งตรงไปข้างหน้า ดูแล้วรู้สึกเห็นใจอย่างมาก ตัวเล็กนิดเดียวแต่แบกหนังสือตั้งเยอะ นึกถึงตัวเองตอนสมัยอายุเท่านั้นไม่ต้องแบกหนังสือเยอะขนาดนี้ เพราะหนังสือบางส่วนเก็บไว้ที่โรงเรียนไม่ต้องกลัวหาย และก็มีโต๊ะประจำเป็นของตัวเอง จึงไม่ต้องลำบากเหมือนเด็กสมัยนี้
ฉันพยายามเดินเข้าไปให้ใกล้เด็กคนนั้นเพื่อที่จะได้ช่วยน้องเค้าถือกระเป๋า แต่รู้สึกว่ายิ่งฉันพยายามเดินเข้าไปใกล้ น้องเค้าก็ยิ่งพยายามจะเดินให้ไวขึ้นจนรู้สึกได้ ฉันจึงลดระดับความเร็วของการเดินลง เพราะตระหนักแล้วว่าการอยากช่วยของเรา อาจจะกำลังสร้างความกลัวหวาดระแวงให้กับน้องเค้า สักพักน้องเค้าจึงเลี้ยวซ้ายเดินเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนนั้นฉันจึงรู้สึกโล่งออก เฮ้อ! ถึงสักที (คิดแทนน้องเค้าซะเลย)
จากนั้นฉันจึงเดินต่อไป ยังไม่รู้สึกเหนื่อยมากนัก แต่รู้สึกเพลินมากกว่า เพราะสองข้างทางมีอะไรให้ดูมากมาย และอีกอย่างช่วงที่ฉันเดินนั้นรถยังไม่ติด ทำให้รู้สึกโปรดโปร่งพอสมควร เดินไปสักพักไปเจอชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้ม ๆ เงย ๆอยู่ที่หลังกะบะรถเหมือนกำลังค้นหาอะไรสักอย่าง โดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ามีใครคนหนึ่งยืนมองอยู่ ฉันมองสักพักยังเห็นเค้ายังหาของอยู่ตอนแรกว่าจะเข้าไปทัก แต่คิดอีกทีถ้าเกิดว่าเค้าหันกลับมาตอบว่า " เรื่องของผม " ฉันจะเหวอซะเปล่า ๆ เลยเดินผ่านเลยไป แต่ก็ยังอดที่จะชำเลืองดูด้านข้างของเค้าไม่ได้ ผู้ชายอะไรหุ่นดี แล้วยังหน้าตาดีอีก แต่ก็ได้แต่คิดแล้วเดินผ่านเลยไป
จนกระทั่งไปถึงหน้าเต้นท์ขายรถมือสอง ก็พอดีมีรถสีขาวคันหนึ่งวิ่งออกมาด้วยความเร็ว เลี้ยวซ้ายเสียงดังเอี๊ยดแล้วพุ่งความเร็วไปด้านหน้าด้วยความเร็ว ยังกับว่าถนนเส้นนี้เป็นสนามแข่งรถ เสียงรถบ่งบอกว่าได้มีการปรับแต่งขึ้นมา เพื่อให้เสียงก่อกวนโสตประสาทชาวบ้านโดยแท้ พร้อมกันนั้นก็มีเสียงโห่ร้องเชียร์ตามหลัง รู้สึกหมั่นไส้จริง ๆ
และเมื่อเดินเลยผ่านไปได้ไม่ไกลนักก็เจอป้าคนนึงยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ พอฉันกำลังจะเดินผ่านคุณป้าก็เรียกไว้ " หนู ๆ ป้ายรถเมลล์อยู่ตรงนี้หรือเปล่า " พอได้ยินคำถามฉันจึงยิ้มให้คุณป้าท่านนั้น พร้อม ๆ กับมองหาป้ายรถเมล์ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จึงถามกลับไป " ป้าเคยมาขึ้นรถเมล์ตรงนี้เหรอค่ะ " ป้าแกส่ายหน้าแล้วก็บอกว่า " ป้าเพิ่งมาที่นี่วันแรกจ๊ะ มาทำงานตรงร้านอาหารตรงข้ามนั้นหนะ" พร้อมทั้งพูดป้าก็ชี้มือไปที่ร้านอาหารตรงฟากถนนด้านหนึ่ง "ป้ากลับไม่ถูก รู้แต่ว่าต้องขึ้นรถเมลล์สายอะไร เพราะตอนมาหลานมันมาส่ง พาขึ้นแท็กซี่หนะ ป้าจะต้องไปขึ้นรถเมลล์ตรงไหนเหรอ" ฉันมองดูหน้าป้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวลซะเหลือเกิน " ป้าค่ะหนูไม่แน่ใจว่าถ้าเดินตรงไปป้ายรถเมล์มันจะอยู่ไกลหรือเปล่า แต่ถ้าเดินย้อนไปทางที่หนูเดินผ่านมาก็ไม่ไกลมาก " ฉันบอกพร้อมกับจะเดินจากไป แต่ดูท่าทางป้าแกแล้วดูยังไม่ค่อยมั่นใจ ยังหันซ้ายหันขวาอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเดินออกจากจุดนั้นสักที ฉันจึงอาสาที่จะพาแกไปป้ายรถเมล์ ป้ายที่ฉันเดินผ่านมา ซึ่งไม่ไกลมากประมาณ500 เมตรได้ สีหน้าป้าแกเปลี่ยนไปทันทีแกยิ้มมาอย่างเต็มที่พร้อมกับจับแขนฉันเหมือนเด็กกลัวหลงยังไงยังงั้น "ขอบใจมากนะหนู น่ารักจังเลยนะ แล้วนี่หนูจะเดินไปไหนเหรอ" " เดินเล่นค่ะป้าออกกำลังกาย แถวบ้านไม่มีสวนสาธารณะ เลยใช้วิธีนี้ออกกำลังกายค่ะ" "มิน่าหละถึงหุ่นดี นะหนูนะ" ฉันยิ้มบ้าง พอไปถึงป้ายรถเมล์ฉันไม่ลืมที่จะกำชับป้าแกว่า ให้ถามกระเป๋ารถเมล์ด้วยว่ารถผ่านป้ายที่แกจะลงหรือไม่ หลังจากที่แยกจากป้ามาแล้ว
ฉันรู้สึกอิ่มใจบอกไม่ถูก การออกกำลังกายของฉันนอกจากช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ยังมีโอกาสได้ทำบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย ดีจริง ๆ
ฉันเดินไปได้สักพักฝนก็ลงเม็ด โชคดีเหลือเกินว่าป้ายที่ฉันพาป้าแกไปรอรถเมล์ เป็นป้ายที่มีหลังคาพักกว้างขวางพอสมควร แต่ว่าฉันสิกำลังจะเปียกฝน ก็พอดีมีรถสองแถววิ่งผ่านมาฉันเลยตัดสินใจขึ้นรถ ทั้ง ๆ ที่ก็ใกล้จะถึงตลาดแล้วและก็มีร่มด้วยไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน พอถึงตลาดฉันก็แวะเข้าไปซื้อพวงมาลัยเพื่อจะไปฝากพี่สาวไว้ไหว้พระเย็นนี้ สักพักฝนก็ลงเม็ดหนักขึ้น ฉันไม่ได้แวะหลบฝนที่ไหน แต่กางร่มออกมาแล้วเดินฝ่าสายฝนกลับสู่จุดเริ่มต้น บอกตัวเองว่าเดินเล่นกลางสายฝนหน่อยจะเป็นไร ในระหว่างที่ฉันเดินช้า ๆ ท่ามกลางสายฝนไปตามริมถนน รู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่จากบนรถเมลล์ที่มองมา คงแปลกใจว่ายัยนี่มาเดินตากฝนได้ (บนทางต่างระดับซะด้วย) สักพักเจ้าลมบ้าก็พัดมาอย่างแรง เอาซะร่มที่อ่อนแอของฉันหักพับไปครึ่งนึง ตายหละวาทั้งห่วงว่าจะกลัวรถชนตูด ทั้งมัวแต่ดึงร่มให้เข้ามาอยู่ในสภาพปกติ และความพยามก็สำเร็จ ดึงร่มเข้ามาอยู่ในสภาพเดิมได้ แต่ก็ต้องใช้มือนึงคอยดึงไว้เพราะกลัวมันจะพับไปอีก ตอนที่เดินนั้นรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ
พอไปถึงทางต่างระดับอีกซึ่งข้างล่างเป็นคลอง ฉันก็เหลือบไปเห็นศาลาริมคลอง มีหลายคนจอดรถจักรยานและมอเตอร์ไซค์ แวะพักศาลาตรงนั้น ฉันเดินไปไม่รีบร้อนพอไปถึงฉันก็สำรวจบริเวณรอบ ๆ ใกล้ ๆ กับศาลามีสนามฟุตบอลเล็กสนามหนึ่ง ถ้าวันนี้ฝนไม่ตกคงมีหลาย ๆ คนมาออกกำลังตรงนี้ ตรงศาลาตรงข้ามอีกฟากคลอง เด็กผู้ชายเปลือยกายทำท่าเหมือนจะกระโดดลงคลอง แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่กระโดดลงไป ได้แต่เล่นน้ำฝนตรงริมศาลานั้น เลยไปอีกนิดก็มีวัด ฉันสูดอากาศเข้าเต็มปอด บรรยากาศดีเหมือนกันนะ นี่คือครั้งแรกจริง ๆ ที่ใช้วิธีการออกกำลังกายแบบนี้ ได้เจออะไรตั้งมากมายหลายอย่าง ต่อไปฉันคงต้องใช้วิธีนี้เป็นการออกกำลังกายบ่อย ๆ ซะแล้ว (รู้สึกติดใจ) เมื่อฝนหยุดตก ฉันจึงมุ่งตรงกลับบ้านโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะใกล้มืดแล้ว
......ตอนที่เดินไม่ได้รู้สึกปวดขาอะไรเลย พอไปถึงบ้านนั้นแหละแหมมันปวดจริง ๆ....
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 21:43:00
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 21:41:13
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 21:23:12
จากคุณ :
ตติตา
- [
23 มิ.ย. 50 22:25:36
]