..
โอม... กำหนดจิตจรดปากกาข้าจะเขียน
ให้คลื่นเหียนเวียนหัวกลัวไม่สวย
อักขระอาคมกล้าฟ้าอำนวย
มหาละลวยช่วยกวีนิพนธ์กลอน
เช้าวันหนึ่งกลางกรุงงามนามสยาม
ท้องฟ้าครามคลุ้งฝุ่นปนคนสลอน
ช่างครึกโครมเสียงรถราพากันจร
ต่างรีบร้อนตามวิถีชีวิตตน
บาทวิถีมีชายใบหน้าโศก
ยืนชะโงกยามรถมาโกลาหล
ตาแดงจัดคล้ายดังคัดอัสสุชล
หรือกังวลจนใจเรื่องใดนา
สวมเชิ้ตขาวเคราเกลี้ยงแท้แลดูเฉียบ
ทั่วกายเพรียบงามพราวสาวฝันหา
ถึงดูเศร้าแต่หล่อเลิศเพลิดเพลินตา
หอมอรามิสกรุ่นกายชายชาตรี
อาทิตย์ส่องต้องกายชายจึงหลบ
กลิ่นน้ำอบขจรชวนนวลฉวี
นักศึกษาสาวทำงานหวั่นฤดี
ชำเลืองชี้ชวนเพื่อนมองเพราะต้องใจ
ทอดระทมชายก้มหน้ามิกล้าสบ
มัวแต่ขบคิดขัดข้องมิผ่องใส
ทุกข์รุมเร้าร้อนรนจนฤทัย
จะสนใครในตอนนี้ไม่มีทาง
รถเมล์มาห้าสิบเก้าคันเก่าแก่
หนุ่มท้อแท้เหม่อใจลอยคอยด้านข้าง
ก้าวพลั้งพลาดสะดุดล้มตรงหน้ายาง
ดูเคว้งคว้างดังว่าวขาดอนาถชะตา
ฉับพลันนั้นชายเงยเศียรเจียนสยอง
รถเมล์ล่องแล่นตรงรี่ฤดีผวา
ลุกไม่ทันกลั้นใจนิ่งแล้วหลับตา
อนิจจามาถึงตัวกลัววายปราณ
จริตดับลงปลงฤทัยยามใกล้ม้วย
ใจระรวยแต่จิตมุ่งมิฟุ้งซ่าน
สว่างแจ้งสงบในใจเป็นฌาน
วาบนิ่งนานกาลหยุดลงคงเวลา
ชายหนุ่มนี้นามวรุณบุญคงน้อย
อายุด้อยต้อยต่ำไม่เดียงสา
รักศาสตร์ศิลป์จึงซมซานจากบ้านนา
ระเห็จมาเมืองกรุงมุ่งสร้างตัว
จิตพาล่องลอยย้อนไกลใจจึงเห็น
อดีตเช่นรอยกระทำทั้งดีชั่ว
สนุกเศร้าวาบหวิวบ้าโกรธกล้ากลัว
บาปพันพัวบุญนฤมิตอดีตตน
ให้คำนึงถึงสายลมโบกโชยเอื่อย
ธารเลาะเลื้อยริมชายป่าในหน้าฝน
มัจฉาน้อยเวียนแหวกว่ายเริงสายชล
ใบไม้หล่นรกราวป่าหญ้าขจี
บึงบัวบานชวนบินร่อนภมรภู่
ฝนพร่างพรูฟ้าสว่างพราวพร่างสี
ปทุมขาวแซมดอกม่วงชมพูมี
รื่นฤดีแดดรอนลับนกกลับรัง
กึ่งราตรีหอมลอยลมชมกลิ่นแก้ว
ปีบร่วงแล้วกลีบรำเพยพระพายสั่ง
หรีดเรไรพงไพรร้องก้องผาดัง
น้ำค้างหลั่งหมอกลอยโรยโปรยโพยม
แสนอาลัยในชีวิตคนชายป่า
นอนมองฟ้านับดวงดาวสกาวโสม
หนาวแต่นอกอุ่นทรวงในใจประโลม
เหมือนอาจโน้มวิมานฟ้าลงมาครอง
สมเพชใจย้ายเข้ากรุงมาตกอับ
หอพักคับแคบขัดเหมือนยัดกล่อง
อบอ้าวกายคล้ายอั้งโล่เสโทนอง
มองฝาห้องต้องคุมขังวังเวงทรวง
นี่หรือคือเวียงชั้นฟ้ามหาเขต
แดนอมเรศเจริญเฟื่องเรียกเมืองหลวง
คนแออัดแต่ส่วนใหญ่หัวใจกลวง
ความหลอกลวงล้วนหลอนทั่วทั้งตัวเมือง
ตึกสูงใหญ่ยอดชูชันถึงชั้นฟ้า
แลรถราล้มหลามคำรามเครื่อง
เสียงกระหึ่มฝุ่นควันฝ้านัยน์ตาเคือง
ค่ำคืนเรืองหลอดไฟฟ้าบ้าเล่นไฟ
บ้างรีบเร่งทำงานจนหามรุ่ง
บ้างก็มุ่งแสวงอำนาจให้บาทใหญ่
ลูกหลานถูกทิ้งขว้างเหมือนร้างไกล
เงินทองไซร้สิ่งสอพลอหล่อเลี้ยงกาย
ผู้มีอัฐถูกนับถือคือพระเจ้า
สั่งซื้อข้าวของสิ่งใดได้ดังหมาย
ต่างละโมบโลภริญำ*ศีลธรรมวาย
บ้างยอมขายแม้ศักดิ์ศรีชีวีตน
แบ่งผักฝ่ายรวมพลังไล่ให้อนาถ
จ้องพิฆาตทำลายล้างอ้างฉ้อฉล
เงินเป็นใหญ่ไร้คุณธรรมนำกมล
ล้วนวกวนก่อบาปกรรมย่ำยีกัน
คนจนดั่งนายวรุณฤๅอุ่นสุข
แค่ไม่ทุกข์เพียงวันใดใช่คือฝัน
จะกินอิ่มนอนอุ่นได้อย่างไรกัน
เพราะนับวันเงินร่อยหลอไม่พอกิน
อุตส่าห์สอบเอนทรานซ์แล้วติดแถวหน้า
เข้ามหาวิทยาลัยได้เรียนศิลป์
ลูกชาวนาสามัญชนจนติดดิน
ต้องโผผินจากบ้านนามาอยู่กรุง
พ่อก็แก่แม่ก็เฒ่าเจ้าคงเห็น
อยากจะเป็นนายช่างศิลป์ตามจินต์มุ่ง
ต้องไขว่คว้าสองมือหาสองขาพยุง
ถึงไต่รุ้งสอยตะวันไม่ครั่นคราม
จึงออกเร่หางานไปในเมืองบาป
เหมือนถูกสาบอาบแสงส่องแดนต้องห้าม
เป็นเด็กเสิร์ฟในคาเฟ่เท่ห์กว่ายาม
แถวหน้ารามฯ ร้านดื่มกินรินสุรา
เงินเดือนน้อยจำต้องคอยแต่เศษทิป
สิบยี่สิบไม่พอใช้ใจผวา
สิ้นเดือนไหนจะค่าเช่าจะข้าวปลา
ทุกข์อุราทั้งค่ารถค่าบทเรียน
อดหนึ่งมือกินสองมื้อคืองานหนัก
อาหารหลักข้าวน้ำปลาน่าปวดเศียร
แม้นอดอยากยากไร้ตั้งใจเพียร
ต้องเบียดเสียนเจียนตายไม่คล้ายคน
ใจร่ำร้องอ๋อนี้หรือคือชีวิต
สุจริตสู้ทำไปแต่ไร้ผล
เรียนตกต่ำช้ำใจให้กังวล
ชีวิตตนเหมือนหมกไหม้อยู่ในกรุง
อุปมาเหมือนเด็กชายหลงไพรกว้าง
ให้อ้างว่างว้าเหว่ยันตะวันรุ่ง
ดึกผวาสิงห์เสือขบนั่งตบยุ่ง
สว่างมุ่งสู่จุดหมายที่ชายดง
แต่ลุยกรุงยิ่งยากแค้นกว่าลุยป่า
เรียนวิชาจบออกไปใช่ประสงค์
ต้องอดนอนอดกินข้าวรวดร้าวองค์
แค่จะทรงกายเอาไว้เกือบวายชนม์
จึงตัดใจใช้ถนนสายโลกีย์
ด้วยเหตุมีดีรูปกายหญิงชายสน
หล่อละเมียดชวนสมัครปักกมล
ขอใช้ตนแลกเงินตรายอมค้ากาม
ใต้แสงไฟส่องเวทีมีหลายหนุ่ม
ยืนเกาะกุมเสาโยกส่ายยั่วใจหวาม
บริการทางเพศชายขายความงาม
เกย์ลายครามม่ายใจเหี่ยวเจี๊ยวจ๊าวเชียร์
วรุณเปลือยเปล่าอกไหล่ส่ายสะโพก
เขย่าโยกยั่วหัวใจแบบได้เสีย
จนเกย์เฒ่าใคร่เกลือกกลั้วเล่นผัวเมีย
แลบลิ้นเลียน้ำลายหยดทุ่มหมดตัว
ละอายใจจำต้องมาละเลงเหลิง
เหมือนจุดเพลิงเผากายเป็นชายชั่ว
ราคะแล่นเตลิดไกลให้เมามัว
สิ้นความกลัวมั่วหญิงชายขายชีวัน
ชายมอซอกลับกลายคล้ายมีคลาส
ใบหน้าวาดสำอางใสใส่สีสัน
เสื้อผ้าเนี้ยบเฉียบตามแนวเปรียวแพรวทัน
นำแฟชั่นหล่อลากไส้ชายชาตรี
เคยนอนรูกู้สตางค์มานอนตึก
ไม่อึกทึกเป็นคอนโดโก้สุดศรี
สูงเทียมฟ้าอยู่ทำเลราชเทวี
ล้วนคนที่มีเงินทองจับจองนอน
กลางคืนมั่วกลางวันเรียนไม่เพียรแล้ว
ตุ๋ยตุ๊ดแต๋วเข้าแถวเรียงมาเคียงหมอน
ทั้งสาวใหญ่ซ้อไฮโซโผสะออน
โทรออดอ้อนจ๋าจิ๊จ๊ะอยากฉะนาย
คอมฯ เครื่องเสียงมือถือมีหรือขาด
แหวนเพชรหยาดนาฬิกาบอกว่าหาย
แสร้งสะอื้นกลืนกล้ำร่ำไม่อาย
พวกนางกลายรีบเร่งหาเอามาทูน
พอชีวิตถูกติดตรึงด้วยวัตถุ
จึงแล้วอุดมการณ์วายมลายสูญ
วิชาเรียนขอดร็อบไว้ไม่อาดูร
เลิกเพิ่มพูนผลัดสักปีเพราะมีงาน
ดวงจิตคล้ายถูกชโลมด้วยไฟบาป
เหลือแต่คราบร่างกายใจถูกผลาญ
คุณค่ามนุษย์สุดสิ้นแล้วไม่แคล้วมาร
กายสะคราญใจชั่วช้าฟ้าลงทัณฑ์
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนมนุษย์
ให้สะดุดเคราะห์กรรมธรรมเสกสรร
ดังฟ้าฟาดพ่อมลายวายชีวัน
ตายก่อนกันวันลูกชายได้ปริญญา
บัดนี้จึงซึ่งดวงอาทิตย์ดับ
วรุณอับคับข้องใจในวาสนา
หลงระเริงลืมสิ้นซึ่งสัญญา
อนิจจาพ่อมาวายก่อนชายครอง
เคยบอกพ่อรอจบก่อนแล้วจะบวช
อยากจะอวดปริญญาพ่ออย่าหมอง
ถึงตอนนี้ปริญญายากจับจอง
ได้แค่ครองผ้าเหลืองให้ผู้วายชนม์
ชีวิตคล้ายไม้กระดกมาผกผัน
เสียดายวันคืนล่วงลับจิตสับสน
สองตาจึ่งคั่งคัดอัสสุชล
หลงเล่ห์กลของกิเลศทุเรศใจ
จิตเลื่อนลอยมิรอท่าจะกลับบ้าน
แม่จัดงานทำศพพ่อรอไม่ไหว
รีบร้อนรนจนหกล้มก้มรับภัย
ช่วงบรรลัยรอมัจจุราชกวาดวิญญาณ
เกือบลงโลงให้โล่งใจไม่ดับจิต
รอดหวุดหวิดรถหยุดได้ไม่พร่าผลาญ
ลุกขึ้นยืนขอบคุณฟ้าที่บันดาล
ให้พบพานความเป็นจริงทุกสิ่งอัน
ต่อแต่นี้จะกลับตัวกลัวความผิด
มุ่งลิขิตให้หนทางไม่ร้างฝัน
บวชเพื่อพ่อแล้วพากเพียรเรียนทุกวัน
เลิกแล้วกันคืนวันชั่วขายตัวตน
จะคืนถิ่นท่องพนาเขียนป่าไม้
วาดพงไพรธารห้วยแอ่งทั่วแห่งหน
บรรจงแต้มสีนภาวิทยานิพนธ์
ขอสร้างตนเป็นบัณฑิตจบจิตรกรรมฯ
..
ขอให้สุขสมอารมณ์หมาย
..
..
แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 50 10:49:37
แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 50 10:39:56
แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 50 10:32:15
แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 50 10:03:59
แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 11:29:02
แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 11:18:16
แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 11:13:59
จากคุณ :
วรุณนฤมล
- [
วันสุนทรภู่ 11:07:00
]