ความคิดเห็นที่ 1
ตอนที่ ๔
วิหารมังกรเงิน
พอเห็นแบบนี้เฉินเฟิงก็รีบบอกเซียวหยาวทันที แล้วถามว่าเธอพกดาวกระจายมากี่อัน ?
สามสาวต่างก็ดีใจอย่างมาก แต่คำตอบที่ได้รับดันน่าผิดหวังชะมัด
เซียวหยาวอ้อมแอ้มว่า ฉันมีแค่สิบกว่าอันเอง เพราะมันแพง แถมพลังโจมตีก็ไม่ได้สูงอะไร เมื่อกี้ตอนที่หนีกันมาฉันก็ใช้ไปบ้างแล้ว เลยเหลืออยู่แค่นี้แหละ
ที่น่ายินดีคือ เซียวหยาวแบ่งดาวกระจายให้วิหารจันทราเทพกับระลอกน้ำแห่งสารทม่วงอย่างไม่ถือสามากความแล้วว่าต้องเก็บเป็นความลับ
ตอนแรกเฉินเฟิงยังนึกกังวลเรื่องนี้อยู่ แต่พอเห็นเซียวหยาวเป็นคนแบ่งดาวกระจายให้อีกสองสาวเอง ก็มองเซียวหยาวอย่างตกตะลึงอ้าปากค้าง เลยโดนเซียวหยาวค้อนขวับ
เฉินเฟิงเอาดาวกระจายทั้งหมดที่ตัวเองมีออกมาอย่างสุดเซ็ง แต่ก็แอบเม้มเอาไว้ให้ตัวเองก่อนหลายสิบอัน เพราะกลัวพวกสาวๆ จะเอาไปจนไม่มีเหลือให้เขาเลยสักอันเหมือนเมื่อกี้
พอรู้แล้วว่าสัตว์อสูรพวกนี้ไม่ใช่ว่าฆ่าไม่ตาย ทั้งสี่ก็สบายใจขึ้นมาก ถึงแม้แต่ละคนจะมีดาวกระจายกันแค่คนละไม่กี่สิบอัน ซึ่งเมื่อเทียบกับสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลตรงหน้าแล้ว ยังไงก็ไม่พอใช้แน่ๆ แต่เทียบกับความรู้สึกหวาดผวาทอดอาลัยเมื่อสักครู่ ก็ถือว่าดีกว่ากันมากโข
อยู่ๆ เฉินเฟิงก็พึมพำว่า สไลม์กลัวไฟและกลัวแสง สไลม์กลัวไฟและกลัวแสง เจาะเพดานของถ้ำ...
เซียวหยาวเอ็ดว่า เฉินเฟิงอาการกำเริบอีกแล้ว ! อะไรสไลม์กลัวไฟและกลัวแสงกันยะ ? แล้วจะเจาะเพดานถ้ำไปทำไม ? เจาะเพดานตรงไหนล่ะ !
แทนที่จะอธิบาย เฉินเฟิงกลับหันไปถามระลอกน้ำแห่งสารทม่วงว่า
ระลอกน้ำฯ เธอบอกว่าที่นี่คือบริเวณที่ใหญ่ที่สุดของถ้ำสามคูหาสุดบูรพา และเป็นที่เดียวที่มีแสงสาดลอดลงมาใช่หรือเปล่า ?
แม้ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงจะไม่เข้าใจอะไรเลยเหมือนกับเซียวหยาว แต่ก็ตอบว่า
ใช่ ว่าแต่มาถามเรื่องนี้ทำไมตอนนี้ ? คิดหาวิธีหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนสิ !
เฉินเฟิงหยิบสมุดบันทึกที่ตัวเองหาเจอเมื่อกี้ออกมาโดยไม่สนใจความกังขาของสามสาว แล้วพูดอย่างดีใจ
ก็กำลังคิดหาทางหนีออกไปอยู่นี่ไง ! พวกเธอดูนี่สิ
วิหารจันทราเทพรับสมุดบันทึกมาพลิกเปิดไป ๒ - ๓ หน้าพลางถามว่า
แปลว่าสัตว์อสูรพวกนี้คือสไลม์หรือ ? พออีกสองสาวเห็นว่ามีข้อมูลของสัตว์อสูรนี้ให้ดู ก็พากันไปเบียดขอดูกับวิหารจันทราเทพ
คงใช่มั้ง เธอดูเอาเองสิ เฉินเฟิงว่า แล้วคุ้ยหาของในเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้ต่อโดยไม่สนใจค้อนที่สามสาวส่งมาให้ จากนั้นหยิบตะขอสำหรับปีนที่เคยใช้มาแล้วเมื่อตอนไปเก็บดอกไม้เจ็ดสีออกมา แต่เชือกดันถูกเอามาใช้มัดวานรขนทองเสียแล้ว จึงได้แต่ถามสามสาวว่ามีใครพกเชือกมาด้วยบ้าง ?
สามสาวอ่านบันทึกไปได้พอสมควรแล้ว จึงทราบดีว่าเฉินเฟิงคิดจะทำอะไร พอได้ยินเฉินเฟิงถามถึงเชือก ก็ได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สรุปว่าต่างก็ไม่มีเชือกกันทั้งสามคน เฉินเฟิงได้แต่เดินไปที่ซวงเว่ยอย่างหมดทางเลือก ตอนนี้เหลือแต่เชือกที่มัดวานรขนทองอยู่
ท่าทางวานรขนทองเองก็รู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น จึงตาลีตาเหลือกแหกปากร้องอู้อี้ไม่ยอมหยุด แม้สามสาวจะใจไม่เหี้ยมพอ แต่ก็กลัวตายกันมากกว่า ดังนั้นถึงจะทราบดีว่าเฉินเฟิงคิดจะทำอะไร ก็ไม่ได้ออกปากห้ามปราม ตอนนี้ทั้งสี่คิดแค่ว่าจะจัดการกับวานรขนทองตัวนี้ยังไงดีเท่านั้น
เฉินเฟิงพูดว่า อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ ถ้าตอนนี้มันไม่ตาย พวกเรานั่นแหละจะตายเสียเอง แล้วเอากระบองห่วงทองออกมาเตรียมลงมือ
วานรขนทองพ่นของที่ยัดปากมันไว้ออกมาอย่างยากเย็น แล้วแหกปากร้องเจี๊ยกๆ ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
ขืนปล่อยแกตอนนี้ พวกเราก็ไม่กล้าต่อกรด้วย แกไปที่ชอบๆ เถอะนะ ! เฉินเฟิงเงื้อกระบองห่วงทองขึ้น เตรียมจะฟาดลงใส่
ทันใดนั้นเสียงจากระบบได้ดังขึ้นว่า
ผู้เล่นเฉินเฟิงข่มขวัญสัตว์เลี้ยงสำเร็จอย่างราบรื่น ได้รับวานรขนทองระดับ ๔๕ หนึ่งตัว เนื่องจากเป็นการข่มขวัญสัตว์เลี้ยงข้ามระดับ จึงได้รับไอเท็มเป็นรางวัลพิเศษ แส้เทพสีหราชอหังการ์ของพญาสีหราช ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของผู้เริ่มต้นลุล่วง ได้รับทักษะ ข่มขวัญ ของผู้เริ่มต้น ระดับที่ ๑ ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไขลุล่วง ได้เลื่อนระดับทักษะข่มขวัญของผู้เริ่มต้น เลื่อนเป็นระดับที่ ๒...ระดับที่ ๙
เฉินเฟิงตะลึง คิดไม่ถึงว่าการขู่ก็เป็นทักษะกับเขาด้วย แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามาเป็นทักษะของอาชีพผู้เริ่มต้นนี่มันดูทะ:-)ๆ ยังไงพิกล บัญชาการเอย ข่มขวัญเอย ดูยังไงมันก็น่าจะเป็นทักษะของแม่ทัพหรือราชามากกว่านี่นา ? แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาศึกษาอยู่ดี
เฉินเฟิงดูแส้เทพสีหราชที่โผล่เพิ่มมาในมือ ตัวแส้เรืองแสงสีทองจางๆ ความยาวของแส้ประมาณ ๑๘ ฟุต ที่ด้ามสลักอักษรว่า เฉินเฟิง และ แส้เทพสีหราช ดูท่าจะเป็นไอเท็มที่ขายโอนไม่ได้เสียด้วย
สามสาวกำลังนึกแปลกใจที่ไม่ยักได้ยินเสียงร้องโหยหวนของวานรขนทอง ก็พบว่าอยู่ๆ บนมือของเฉินเฟิงได้มีแส้เพิ่มมาหนึ่งเส้น
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงรับแส้มาดูอย่างถูกอกถูกใจ เธอเป็นนักฝึกสัตว์ แน่นอนว่าอาวุธที่ชอบใช้มากที่สุดก็คือแส้นั่นเอง แต่พอเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่บนด้าม ก็ทราบทันทีว่ามีแต่เฉินเฟิงคนเดียวที่ใช้แส้นี้ได้
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงลองตวัดแส้ดู ผลคือเธอไม่สามารถตวัดคลายแส้เส้นนี้ออกจนสุดได้ ทั้งที่ปกติเธอแค่สะบัดแส้เล่นๆ แส้ก็หวดลมดังขวับๆ น่าเกรงขามแล้ว จึงได้แต่คืนแส้ให้เฉินเฟิงอย่างไม่เต็มใจ
เฉินเฟิงแก้มัดให้วานรขนทองพลางบอกสาเหตุที่ได้แส้เทพสีหราชนี้มาแก่สามสาวอย่างไม่มีการปิดบัง
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงตัดสินใจว่าพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้เมื่อไร เธอจะจับสัตว์เลี้ยงที่ระดับสูงกว่าตัวเองมาสักตัว แล้วขู่จนกว่ามันจะยอมแพ้ให้ได้ !
แต่ตอนนี้ระดับของเธอปาเข้าไปตั้ง ๔๓ แล้ว หากจะหาสัตว์อสูรที่ระดับสูงกว่าเธอตั้ง ๑๕ ระดับ ก็ต้องเป็นสัตว์อสูรระดับ ๕๘ โน่น แล้วสัตว์อสูรที่ระดับสูงกว่า ๕๐ ต่างก็ร้ายกาจสุดๆ กันทั้งนั้น ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงโวยวายโทษเฉินเฟิงว่ารอจนสายป่านนี้เพิ่งจะมาบอกเธอ แบบนี้เธอมิต้องไปฆ่าตัวตายซ้ำๆ หลายรอบให้ระดับของตัวเองลดต่ำลงถึงจะทำได้สำเร็จหรอกเรอะ ?
เฉินเฟิงได้แต่ทำตาปริบๆ กับยิ้มเฝื่อนๆ เมื่อมาเจอะกับระลอกน้ำฯที่แสนจะเอาแต่ใจและไร้เหตุผล เขามีแต่ต้องยอมแพ้สถานเดียว หลังจากรับปากว่าจะช่วยเธอจับสัตว์อสูรที่ระดับสูงกว่าเธอ ๑๕ ระดับให้ได้แล้ว ระลอกน้ำฯค่อยยอมให้หูของเฉินเฟิงได้รับความสงบ
เฉินเฟิงตั้งชื่อให้วานรขนทองว่า อู้คง วานรขนทองดูจะพออกพอใจชื่อนี้มาก หลังจากได้รับอิสระแล้ว มันก็ดูเฉินเฟิงที่กำลังศึกษาแส้เทพสีหราช แต่จุดที่สายตาของมันจ้องเขม็งคือกระบองห่วงทองที่เคยเป็นอาวุธของมัน
เมื่อแส้เทพสีหราชอยู่ในมือเฉินเฟิง แค่สะบัดเล่นๆ ก็เกิดเป็นเสียงคำรามอย่างน่าเกรงขาม แถมยังใช้สะดวกกว่ากระบองห่วงทองมาก เพราะไม่จำเป็นต้องออกปากสั่ง แค่คิดในใจว่าต้องการความยาวเท่าไร แส้เทพสีหราชก็ยืดหดตามที่ใจคิดทันที ทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้สารพัด ทำเอาเฉินเฟิงถูกอกถูกใจอย่างมาก
สุดท้ายเฉินเฟิงเปลี่ยนแส้เทพสีหราชให้มีรูปร่างเหมือนกำไล แล้วสวมเอาไว้ที่ข้อมือซ้าย ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงดูแล้วมีอาการแทบจะเหมือนวานรขนทองเปี๊ยบ คือน้ำลายแทบจะย้อยออกมาจากปาก
พอเล่นแส้เทพสีหราชจนพอใจแล้ว เฉินเฟิงก็มองเห็นสายตาของวานรขนทองในที่สุด แต่กระบองห่วงทองไม่ใช่ของเฉินเฟิงคนเดียว เขาจึงถามความเห็นของเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพดู
เซียวหยาวเสนอข้อแลกเปลี่ยนว่าขอสุนัขป่าสีเงินหนึ่งตัวเป็นสัตว์เลี้ยง ส่วนวิหารจันทราเทพขอไม้เท้าเวทมนตร์ระดับสูงหนึ่งอัน แล้ววานรขนทองก็ได้อาวุธของตัวเองกลับคืนไปในที่สุด มันดีใจสุดขีดจนเอาแต่ควงกระบองห่วงทองเล่นอยู่ไปมาดูเหมือนเห้งเจีย (ซุนอู้คง) ในเรื่องไซอิ๋วไม่มีผิด
อู้คงน่ะดีใจแน่ แต่เฉินเฟิงสิกระอักเลือด ยังดีที่หลังจากอู้คงได้รับกระบองห่วงทองกลับไปแล้ว ระบบก็แจ้งให้ทราบว่าทักษะสื่อสารของนักฝึกสัตว์ของเฉินเฟิงได้เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ เป็นระดับ ๗ พอจะถือว่าเป็นข้อชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง
หลังเรื่องราวผ่านพ้น เฉินเฟิงยังไม่ลืมว่าเขาปล่อยอู้คงทำไม เขาจัดการมัดเชือกเข้ากับตะขอ กำชับสามสาวให้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกสไลม์ แล้วเหวี่ยงตะขอขึ้นไปเกี่ยวด้านบนโพรงได้อย่างราบรื่น จากนั้นค่อยๆ ไต่ขึ้นไปบนโพรงที่เพดานถ้ำอย่างเชื่องช้าเพื่อเสาะหาหนทางรอดท่ามกลางสายตารอคอยของสามสาว
หลังจากไต่ขึ้นไปบนโพรงเหนือเพดานถ้ำได้แล้ว เฉินเฟิงก็ทอดตามองไป แล้วต้องตกตะลึงอ้าปากค้าง
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือ เจดีย์ยักษ์ยอดแหลมสูงทะลุชั้นเมฆ รอบๆ เจดีย์ยักษ์เป็นป่าทึบกว้างไกลสุดสายตา
ลักษณะของเจดีย์คล้ายคลึงกับพีระมิดอย่างมาก เพียงแต่สูงใหญ่กว่า และเปล่งแสงสีทองเรืองรองจนตาพร่า ด้านล่างของเจดีย์มีถนนกว้างขวางสามสายทอดยาวออกมา ทางหนึ่งในสามสายได้ทอดตรงมายังตำแหน่งที่เฉินเฟิงยืนอยู่พอดี
เห็นแล้วไม่อยากจะเชื่อ นี่มันมหึมาเกินไปแล้ว ! ต้องใช้แรงงานคนและวัตถุดิบมากมายมหาศาลขนาดไหนถึงจะสร้างออกมาใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ได้ ? ถ้าที่นี่ไม่ใช่โลกสมมติในเกมออนไลน์ล่ะก็ เฉินเฟิงคงอดสงสัยไม่ได้ว่ามนุษย์สามารถทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ?
ทันใดนั้นสามสาวที่อยู่ด้านล่างก็พากันร้องเรียก ทำให้เฉินเฟิงได้สติจากอาการตะลึง แล้วรีบช่วยพาพวกเธอขึ้นมา
หลังจากเซียวหยาวตามขึ้นมาแล้ว เฉินเฟิงก็ห้ามอีกสองสาวไว้ไม่ให้ไต่ตามขึ้นมา พอวิหารจันทราเทพรู้ว่าเฉินเฟิงจะทิ้งให้เธอกับระลอกน้ำฯอยู่เฝ้าดูต้นทางที่ข้างล่าง ก็ตกใจจนน้ำตาแทบไหล พูดเสียงปนสะอื้นอย่างหมดอาย
โฮฮฮฮฮ ! อย่าทิ้งพวกเราสองคนไว้ที่นี่นะ ! สไลม์พวกนี้น่ากลัวจะตาย แล้วถ้าพวกเธอเกิดไปกันนาน พวกเราจะทำยังไง ?
เฉินเฟิงบอกว่ายังไงก็ต้องมีคนคอยเฝ้าม้าใช่ไหมล่ะ หรือจะยอมให้ซวงเว่ยกับกระต่ายหยกเหินลมตาย ?
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะพยายามพูดเกลี้ยกล่อมยังไง หัวเด็ดตีนขาดวิหารจันทราเทพก็ไม่ยอมอยู่เฝ้าข้างล่าง และแน่นอนว่าจะทิ้งให้ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงอยู่เฝ้าคนเดียวก็ไม่ได้เสียด้วย สุดท้ายเมื่อหมดทางเลือก ทั้งสี่จึงต้องช่วยกันดึงม้าสองตัวกับหลายฝูขึ้นไปข้างบนด้วย ทำเอาทั้งสี่ต่างหอบแฮ่กไปตามๆ กัน
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการขนย้ายสัตว์ สามสาวค่อยมีเวลาหันไปดูรอบๆ แล้วถูกภาพตรงหน้าทำเอาตะลึงจังงัง ปากอ้าตาค้างพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ส่วนเฉินเฟิงก็ยืนร่ายแผนการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปอยู่ข้างๆ
เฉินเฟิงร่ายไปๆ ก็ผิดสังเกตขึ้นมาว่าทำไมไม่ยักมีเสียงสนับสนุนหรือคัดค้านสักแอะ พอหันไปดู ก็เห็นว่าสามสาวกำลังตกตะลึงอ้าปากค้างกับพีระมิดยักษ์ที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกเหมือนเขาเมื่อตะกี้ไม่มีผิด
ดูท่าแผนการที่เขาคิดจะให้ใครสัก ๑ - ๒ คนคอยเฝ้าอยู่ที่นี่คงล้มเหลวเสียแล้ว เพราะเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ก็มักจะอยากสืบเสาะจนกว่าจะได้ความกระจ่าง
และเป็นไปตามคาด หลังจากได้สติจากอาการตะลึง สามสาวก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะเข้าไปสำรวจดูข้างใน
ตอนนี้เฉินเฟิงเริ่มจะนึกเสียใจเสียแล้วที่เอาสัตว์เลี้ยงมาด้วย เพราะยังไงเขาก็ต้องตายแน่ๆ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น และถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็อดเสียดายสัตว์เลี้ยงพวกนี้ไม่ได้
แม้ว่านับแต่เข้ามาในเกมนี้ เฉินเฟิงจะได้รู้จักผู้คนมากมาย ความจริงเขาเองยังตกใจด้วยซ้ำที่มีโอกาสได้คบเพื่อนมากขนาดนี้ในเวลาอันสั้น แต่เขาเคยชินกับการคบหาคนอื่นแบบเย็นชาในโลกแห่งความจริงเสียแล้ว ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับซวงเว่ยและหลายฝูที่ติดตามเขามาแทบจะตั้งแต่เริ่มเล่นเกมมากกว่าเพื่อนคนไหนๆ เสียอีก
พอรู้ว่าถ้าตัวเขาตายไป สัตว์เลี้ยงจะสลายตามไปด้วย เฉินเฟิงก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นมาก นอกจากจะพูดคุยกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองบ่อยๆ แล้ว เขายังไม่ค่อยจะยอมปล่อยให้สัตว์เลี้ยงรับศึกเพียงลำพัง นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ทักษะสื่อสารของเฉินเฟิงก้าวหน้ารวดเร็วอย่างเหลือเชื่อก็เป็นได้ !
จากคุณ :
ซีเรีย
- [
13 ก.ค. 50 07:48:25
]
|
|
|