ผมไม่เคยคิดเขียนเรื่องการเมืองของประเทศไทย เพราะว่า แค่คุยกันเล่นๆก็นำไปสู่เหตุกระทบกระทั่งจนผิดใจกัน แล้วถ้าเหลือความเห็นทิ้งไว้เป็นลายลักษณ์อักษรจะมิก่อความเดือดร้อนลุกลามต่อไปอีกหรือ อีกส่วนหนึ่ง ผมไม่เคยคิดว่าประเทศไทยจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศที่นิยมใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาภายในประเทศ จนบัดนี้ก็ยังยืนยันว่าไม่เคยคิด
แต่ทั้งหมดนี้เขียนด้วยสองมือของผม
การจับกลุ่มชุมนุมกลายเป็นกิจกรรมประจำวันในเมืองกรุง ตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้น ชุมนุมด้วยสิทธิอันพึงมีตามกฏหมาย แสดงความเห็นอย่างเสรี ถัดจากนั้น รวบรวมความเห็น สรุปสาระสำคัญ แล้วนำเสนอตามขั้นตอน นั่นคือประชาธิปไตย ระบบการปกครองที่มีชื่อเล่นด้านมืดว่ากฎหมู่ หากมองเช่นนั้น ก็เป็นการปกครองแบบพวกมากลากไป ไม่ต้องสนใจสิ่งใดนอกจากผลประโยชน์ของพวกพ้อง เมื่อมีคำว่า พวกเรา ก็ต้องเกิด พวกเขา เมื่ออีกฝ่ายมีที่ยืนและได้ประโยชน์ ย่อมมีผู้เสียประโยชน์ซึ่งนิยมบอกกล่าวว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือ ถูกกลั่นแกล้ง ดังนั้น ความขัดแย้งจึงมิเคยได้รับการปราณีประนอม เมื่อแต่ละฝ่ายต่างมีคำตอบเบ็ดเสร็จอยู่ในความคิด ต้องให้ได้ตามแบบที่พวกของเราคิดจึงจะดีงาม มิเช่นนั้นแล้วผิดไปเสียหมด ความคิดเช่นนั้นถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง พร้อมนำเข้าสู่ความขัดแย้ง สุดโต่งของความขัดแย้งก็คือสงคราม อย่างเบาๆก็คือการทะเลาะเบาะแว้ง
สมัยเรียนชั้นประถมนักเรียนจับกลุ่มยกพวกตีกัน ด่าทอกันด้วยคำหยาบคาย ยังฟังไม่ระคายเคืองหูเท่ากับบรรดาผู้มีบทบาททางการเมืองทั้งหลายให้ความเห็นแก่นักข่าว ลองฟังการนำเสนอข่าวเวลาที่สัมภาษณ์ผู้มีบทบาททางการเมืองสักคนจะพบว่า ผู้นำเสนอชอบใช้ประโยคเกริ่นนำว่า
..นาย
.ได้แสดงความไม่พอใจต่อ
.
ทำให้คิดว่า แม้แต่นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยยังตัดสินกันด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผล บ้านเมืองจึงถูกบริหารไปบนหลักของความพอใจ การใช้ความพอใจย่อมทำให้มีผู้ไม่พอใจ จึงเข้าสู่ความขัดแย้งกันทั้งในจอโทรทัศน์และในรัฐสภา ประชาชนอีกหลายกลุ่มก็เช่นเดียวกันตัดสินความเป็นไปด้วยความพอใจ เมื่อไม่พอใจสิ่งใดขึ้นมา ก็จับกลุ่มประท้วงแบบขาดความรับผิดชอบ
การจับกลุ่มประท้วงเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่ผมมองว่าเป็นกระบวนการที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุด มานั่งฟังแบบไร้ความรับผิดชอบ ให้ความเห็นแบบไร้ความรับผิดชอบ ทำให้การจราจรติดขัดแบบไร้ความรับผิดชอบ โน้มน้าวบุคคลอื่นให้เห็นตามกันแบบไร้ความรับผิดชอบ ผมคิดว่าอย่างนั้น เคยดูการถ่ายทอดการลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญหลายหน เมื่อมีผู้เข้าร่วมประชุมยกมือแสดงความเห็นจะมีการแนะนำชื่อเสียงเรียงนาม หรือบางครั้งผู้ดำเนินรายการก็จะทราบชื่ออยู่แล้ว การจัดการลักษณะการลงประชามติเป็นกระบวนการแสดงความเห็นทางการเมืองที่ดีมากในสายตาของผม เพราะว่าผู้ที่ออกความเห็นเราทราบชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นใครมาจากไหน มีการลงชื่อผู้เข้าร่วมการประชุม มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ให้เห็น การแสดงความคิดเห็นมีหลักการและมีมารยาท การจับกลุ่มประท้วงเรียกร้องก็ควรนำกระบวนการจัดการลักษณะเช่นนี้มาใช้ มีผู้รับผิดชอบหรือกรรมการที่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน จัดระบบการลงทะเบียนผู้มาเข้าร่วมชุมนุมให้แสดงบัตรประชาชนหรือทำหลักฐานเก็บไว้ มีกำหนดเวลาชัดเจนว่าจะเริ่มและเลิกเวลาไหน บางท่านอาจว่ายุ่งยาก แต่ผมคิดว่าเป็นกระบวนการที่แสดงสำนึกรับผิดชอบต่อความคิดเห็นของตนซึ่งอาจมีผลกระทบต่อชาติบ้านเมือง หากมิเช่นนั้นแล้ว เมื่อเกิดความไม่พอใจก็เพียงจับกลุ่มชุมนุมให้มากแล้วลากกันไปเหมือนเดิม
สภาพการเมืองบ้านเราดำรงในวงโคจรแบบนั้นมานาน มีประชาธิปไตยทีแทบจะเรียกว่าประชาพอใจ เมื่อร่างกฎหมาย แก้ไขกฏหมาย หรือ นักการเมืองออกหาเสียง เหตุผลที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
แต่กิจกรรมและข้อกฏหมายส่วนมากมิได้รักษาผลประโยชน์ของประชาชนทั้งหมดอย่างแท้จริง กลับเป็นเพียงรักษาผลประโยชน์ของประชาชนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ถึงแม้จะพยายามรักษาผลประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่ม สุดท้ายก็ย่อมเกิดความขัดแย้ง เพราะ ประชาชนแต่ละกลุ่มมีผลประโยชน์ที่แตกต่างและขัดแย้งกันโดยหลักเหตุผลง่ายๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มการเกษตร( มีคนกล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างแพร่หลาย คงไม่ต้องบรรยายซ้ำอีก ) รวมทั้งประชาชนต้องการเพียงผลประโยชน์ส่วนตนส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่เคยคิดถึง เหตุผลของฉันถูกแล้ว นอกเหนือจากนั้นผิด
หลายชีวิตเบื่อหน่ายการเมืองในวงจรเช่นนั้น พากันไม่ใส่ใจการเมือง ผู้พอมีอันจะกินเตรียมขยับขยายย้ายถิ่นพำนักไปดินแดนอื่น ส่วนผู้ไม่มีอันจะกินก็ยังคงต้องก้มหน้าก้มตาอยู่ไปวันๆท่ามกลางการเมืองลักษณะแบบดังกล่าวที่บริหารกันด้วยหลักของความพอใจและผลประโยชน์ของประชาชนบางกลุ่ม
ลองย้อนมองระบบที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่อย่างเที่ยงแท้ ขบคิดแล้วพิจารณาดูดีๆว่ามีพัฒนาการเป็นเช่นไรภายใต้ระบอบการเมืองของบ้านเรา
ระบบการศึกษาของประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมการศึกษาภาคบังคับทำให้เด็กที่จบป.6 อ่านหนังสือไม่ออกเขียนหนังสือไม่ได้ แบบเรียนมาตรฐานไม่เพียงพอที่จะทำให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องเรียนพิเศษ
ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน บางพื้นที่มีไฟฟ้าเข้าถึง มีน้ำประปาใช้ มีชลประทานพอเพียงต่อการเพาะปลูกหรือยัง
ระบบคมนาคม ลองดูรถไฟไทยที่นับวันมีแต่จะช้าลง เมื่อใดที่จะมีรถที่เร็วและเชื่อมต่อกันได้ไม่ต้องทุกเมือง เอาแค่เมืองใหญ่ของต่างจังหวัดก็พอ หากมีการขนส่งมวลชนที่รวดเร็ว รถราบนท้องถนนคงลดลง มลภาวะย่อมไม่เลวร้ายลง
พื้นที่ป่าไม้เป็นอย่างไร การบุกรุกการปลูกทดแทนมีใครใส่ใจอย่างจริงจังบ้าง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ควรเปลี่ยนชื่อเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจเพราะสิ่งที่กระทบกระเทือนให้กลุ่มการเมืองเคลื่อนไหวคือเรื่องของเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่ไม่เกินเลยก็คือ ไม่มีใครออกไปเลือกตั้ง หากไม่มีกฏหมายบังคับ หรือ มีการซื้อเสียง
แผนพัฒนาประเทศในระยะยาวเขียนไม่ได้เพราะว่า ไม่มีใครยอมเสียผลประโยชน์ในระยะสั้นๆเพื่อรักษาผลประโยชน์ในระยะยาว
ผลประโยชน์ของประชาชนควรตีความโดยคิดถึงสิ่งที่ใช้ร่วมในระยะยาวได้มากที่สุด เป็นประโยชน์ที่คนหมู่มากสามารถใช้พร้อมกันได้จริงๆ สวนสาธารณะที่ใครเข้าไปเดินก็ได้ มีใช่รีสอร์ทหรือสนามกอล์ฟที่มีคนเพียงบางกลุ่มเข้าไปใช้บริการ ห้องสมุดสาธารณะที่มีหนังสือครบทุกประเภท โรงพยาบาลที่มีมาตรฐานเท่าเทียมกันทุกแห่งมิใช่การจัดลำดับสถานพยาบาลขนาดเล็กใหญ่แบบปัจจุบัน
ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยจึงควรใช้เป็นกระบวนการ แต่จุดประสงค์ควรกำหนดมาจากสิ่งที่เป็นประโยชน์อันเที่ยงแท้ยั่งยืนจริงๆ และผู้กำหนดจุดประสงค์นั้นคือประชาชนผู้เข้าไปเลือกใช้ระบอบการปกครอง พวกเราทุกคนมีส่วนทำให้เป็นแบบทุกวันนี้เอง อย่าปฏิเสธความรับผิดชอบ อย่าคิดว่าเราไม่เกี่ยวข้อง เราเกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มจำความได้ เราถูกเลี้ยงมาภายใต้ระบอบการปกครองและค่อยๆซึมซับโดยไม่รู้ตัว หากไม่พิจารณาตัวเองบ่อยๆเราจะถูกคำว่าความพอใจและผลประโยชน์ครอบงำจิตใต้สำนึก แล้วก็จะกลายเป็นประชาชนที่นึกถึงเพียงผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ระดับคนใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี คนก็ยังเป็นสัตว์ประเภทที่ถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมประเพณีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีใครเป็นอิสระอย่างแท้จริง เราเลือกเกิดในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบอื่นไม่ได้ เราเลือกเกิดในโลกที่ไม่ได้ยกย่องว่าระบอบประชาธิปไตยดีที่สุดไม่ได้ รวมทั้งไม่มีระบบการปกครองใหม่ๆเกิดขึ้นในโลกนี้นานแล้ว อย่างไรก็ดีระบบการปกครองเป็นเพียงระบบภายนอกเพื่อความเรียบร้อยและการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุขและเป็นธรรมต่อมนุษย์ บางระบบการปกครองยึดหลักความผาสุก บางระบบการปกครองยึดหลักความเป็นธรรม ไม่มีสิ่งใดผิดทั้งนั้น เพราะเราเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อมในโลกใบนี้ ส่วนบกพร่องก็อาจกลายเป็นคุณในสถานการณ์หนึ่งๆ สุดแท้แล้วแต่พลิกผันตามสถานการณ์ แล้วพวกเราจะไปทะเลาะกันเรื่องของระบบการเมืองการปกครองให้เหนื่อยด้วยสาเหตุใด คิดไปคิดมาก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง
ประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลก ประการหนึ่ง
การไม่ยอมรับเหตุและผลของคนอื่น ประการหนึ่ง
ความไม่พอใจ ประการหนึ่ง
การเสียผลประโยชน์ส่วนตนประการหนึ่ง
ทะเลาะกันด้วยเรื่องเหล่านี้เพราะสาเหตุใด เสียเวลาเลี้ยงปากท้อง เสียเวลาพัฒนาตนเอง เสียเวลาอันมีค่าที่จะทำดีให้สังคม พูดให้แรงคือน้ำลายไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น การทำหน้าที่ของตนโดยไม่ยอมมองบทบาทหน้าที่ของคนอื่นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดจริงหรือ พวกเราจะร่วมใจคืนอะไรกับบ้านเมืองและสังคมมากกว่าน้ำลายได้ไหม ลองคิดดูว่าคำว่าหน้าที่และอาชีพ กำเนิดมาจากอะไร ถ้ามิใช่กิจกรรมแต่ก่อนเก่า ตำรวจเกิดจากกิจกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมดังนั้นจึงเกิดอาชีพตำรวจ แพทย์เกิดจากกิจกรรมการรักษาพยาบาล ครูเกิดจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ต้องการถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ทั้งหมดนี้เราทำด้วยตนเองได้ไหม เรารักษาความสงบเรียบร้อยด้วยตนเองได้ไหม เช่น ไม่ไปก่อเรื่องทำร้ายผู้อื่น ฉ้อโกงผู้อื่น เราดูแลรักษาตัวเองให้สุขภาพดีได้ไหม เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย เราเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตนเองได้ไหม กิจกรรมทุกกิจกรรมเราทำได้ด้วยตัวเอง กิจกรรมที่ดีมีคุณค่า ผมเพียงอยากบอกว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมเริ่มต้นที่ตัวคุณเอง ถ้าพวกเราไม่เปลี่ยนสังคมก็ไม่เปลี่ยน แล้วเราก็จะพากันผลิตมนุษย์พันธุ์ที่สร้างความวุ่นวายให้สังคมเกิดขึ้นเรื่อยๆ
แล้วทุกอย่างก็จะวนเวียนอยู่เช่นนี้
วนเวียนอยู่ในสังคมที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม
กฏหมายที่ให้ลงประชามติ ก็มีที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
เห็นด้วยเพราะอะไร
ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร
ต่างคนต่างเหตุผลทั้งเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ
เห็นด้วยอย่างไร้ความรับผิดชอบหากไม่คำนึงถึงศีลธรรมและประโยชน์ส่วนรวม
ไม่เห็นด้วยอย่างไร้ความรับผิดชอบหากไม่คำนึงถึงศีลธรรมและประโยชน์ส่วนรวม
บางทีเราลืมคำว่า เสียสละ.. และ ประโยชน์ส่วนรวม.. ไปนานแล้ว
วันหนึ่งผมเดินไปทำงาน ผมเห็นพ่อลูกคู่หนึ่ง ลูกโยนเศษกระดาษลงบนพื้นโดยไม่สนใจ แถมพ่อยังบอกว่าไม่เป็นไรลูกไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวคนเก็บขยะจะไม่มีงานทำ พวกเขาเป็นคนที่ใช้ถนนหนทางนี้ไปทำงานและไปเรียนทุกวัน ผมไม่รู้ว่าเขาทิ้งขยะไปกี่ชิ้นแล้ว
หากประชาชนที่เดินถนนเอาแต่คิดว่า ขยะ ก็เป็นหน้าที่ของคนเก็บขยะ
อนาคตของประเทศก็คงน่าเป็นห่วงจริงๆ
จากคุณ :
กาแฟสอง
- [
24 ก.ค. 50 16:37:51
]