Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ไม่มีคำตอบใดที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน พ.ศ. นี้

    ผมไม่เคยคิดเขียนเรื่องการเมืองของประเทศไทย  เพราะว่า  แค่คุยกันเล่นๆก็นำไปสู่เหตุกระทบกระทั่งจนผิดใจกัน แล้วถ้าเหลือความเห็นทิ้งไว้เป็นลายลักษณ์อักษรจะมิก่อความเดือดร้อนลุกลามต่อไปอีกหรือ  อีกส่วนหนึ่ง ผมไม่เคยคิดว่าประเทศไทยจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศที่นิยมใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาภายในประเทศ  จนบัดนี้ก็ยังยืนยันว่าไม่เคยคิด

    แต่ทั้งหมดนี้เขียนด้วยสองมือของผม

    การจับกลุ่มชุมนุมกลายเป็นกิจกรรมประจำวันในเมืองกรุง  ตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้น  ชุมนุมด้วยสิทธิอันพึงมีตามกฏหมาย  แสดงความเห็นอย่างเสรี  ถัดจากนั้น รวบรวมความเห็น  สรุปสาระสำคัญ แล้วนำเสนอตามขั้นตอน  นั่นคือประชาธิปไตย  ระบบการปกครองที่มีชื่อเล่นด้านมืดว่ากฎหมู่  หากมองเช่นนั้น ก็เป็นการปกครองแบบพวกมากลากไป  ไม่ต้องสนใจสิ่งใดนอกจากผลประโยชน์ของพวกพ้อง  เมื่อมีคำว่า “ พวกเรา ” ก็ต้องเกิด “ พวกเขา ”  เมื่ออีกฝ่ายมีที่ยืนและได้ประโยชน์ ย่อมมีผู้เสียประโยชน์ซึ่งนิยมบอกกล่าวว่า “ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ” หรือ “ ถูกกลั่นแกล้ง ” ดังนั้น ความขัดแย้งจึงมิเคยได้รับการปราณีประนอม เมื่อแต่ละฝ่ายต่างมีคำตอบเบ็ดเสร็จอยู่ในความคิด  ต้องให้ได้ตามแบบที่พวกของเราคิดจึงจะดีงาม มิเช่นนั้นแล้วผิดไปเสียหมด  ความคิดเช่นนั้นถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง พร้อมนำเข้าสู่ความขัดแย้ง สุดโต่งของความขัดแย้งก็คือสงคราม  อย่างเบาๆก็คือการทะเลาะเบาะแว้ง

    สมัยเรียนชั้นประถมนักเรียนจับกลุ่มยกพวกตีกัน  ด่าทอกันด้วยคำหยาบคาย ยังฟังไม่ระคายเคืองหูเท่ากับบรรดาผู้มีบทบาททางการเมืองทั้งหลายให้ความเห็นแก่นักข่าว  ลองฟังการนำเสนอข่าวเวลาที่สัมภาษณ์ผู้มีบทบาททางการเมืองสักคนจะพบว่า ผู้นำเสนอชอบใช้ประโยคเกริ่นนำว่า

    “ ..นาย….ได้แสดงความไม่พอใจต่อ ….”

    ทำให้คิดว่า แม้แต่นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยยังตัดสินกันด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผล บ้านเมืองจึงถูกบริหารไปบนหลักของความพอใจ การใช้ความพอใจย่อมทำให้มีผู้ไม่พอใจ จึงเข้าสู่ความขัดแย้งกันทั้งในจอโทรทัศน์และในรัฐสภา  ประชาชนอีกหลายกลุ่มก็เช่นเดียวกันตัดสินความเป็นไปด้วยความพอใจ  เมื่อไม่พอใจสิ่งใดขึ้นมา ก็จับกลุ่มประท้วงแบบขาดความรับผิดชอบ

    การจับกลุ่มประท้วงเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่ผมมองว่าเป็นกระบวนการที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุด มานั่งฟังแบบไร้ความรับผิดชอบ ให้ความเห็นแบบไร้ความรับผิดชอบ ทำให้การจราจรติดขัดแบบไร้ความรับผิดชอบ โน้มน้าวบุคคลอื่นให้เห็นตามกันแบบไร้ความรับผิดชอบ ผมคิดว่าอย่างนั้น  เคยดูการถ่ายทอดการลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญหลายหน  เมื่อมีผู้เข้าร่วมประชุมยกมือแสดงความเห็นจะมีการแนะนำชื่อเสียงเรียงนาม หรือบางครั้งผู้ดำเนินรายการก็จะทราบชื่ออยู่แล้ว  การจัดการลักษณะการลงประชามติเป็นกระบวนการแสดงความเห็นทางการเมืองที่ดีมากในสายตาของผม เพราะว่าผู้ที่ออกความเห็นเราทราบชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นใครมาจากไหน มีการลงชื่อผู้เข้าร่วมการประชุม มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ให้เห็น การแสดงความคิดเห็นมีหลักการและมีมารยาท  การจับกลุ่มประท้วงเรียกร้องก็ควรนำกระบวนการจัดการลักษณะเช่นนี้มาใช้  มีผู้รับผิดชอบหรือกรรมการที่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน  จัดระบบการลงทะเบียนผู้มาเข้าร่วมชุมนุมให้แสดงบัตรประชาชนหรือทำหลักฐานเก็บไว้ มีกำหนดเวลาชัดเจนว่าจะเริ่มและเลิกเวลาไหน  บางท่านอาจว่ายุ่งยาก แต่ผมคิดว่าเป็นกระบวนการที่แสดงสำนึกรับผิดชอบต่อความคิดเห็นของตนซึ่งอาจมีผลกระทบต่อชาติบ้านเมือง  หากมิเช่นนั้นแล้ว เมื่อเกิดความไม่พอใจก็เพียงจับกลุ่มชุมนุมให้มากแล้วลากกันไปเหมือนเดิม  

    สภาพการเมืองบ้านเราดำรงในวงโคจรแบบนั้นมานาน มีประชาธิปไตยทีแทบจะเรียกว่าประชาพอใจ เมื่อร่างกฎหมาย  แก้ไขกฏหมาย หรือ นักการเมืองออกหาเสียง  เหตุผลที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ

    “ …เพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ”  

    แต่กิจกรรมและข้อกฏหมายส่วนมากมิได้รักษาผลประโยชน์ของประชาชนทั้งหมดอย่างแท้จริง กลับเป็นเพียงรักษาผลประโยชน์ของประชาชนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ถึงแม้จะพยายามรักษาผลประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่ม สุดท้ายก็ย่อมเกิดความขัดแย้ง เพราะ ประชาชนแต่ละกลุ่มมีผลประโยชน์ที่แตกต่างและขัดแย้งกันโดยหลักเหตุผลง่ายๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มการเกษตร( มีคนกล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างแพร่หลาย คงไม่ต้องบรรยายซ้ำอีก )  รวมทั้งประชาชนต้องการเพียงผลประโยชน์ส่วนตนส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่เคยคิดถึง  เหตุผลของฉันถูกแล้ว นอกเหนือจากนั้นผิด  

    หลายชีวิตเบื่อหน่ายการเมืองในวงจรเช่นนั้น  พากันไม่ใส่ใจการเมือง  ผู้พอมีอันจะกินเตรียมขยับขยายย้ายถิ่นพำนักไปดินแดนอื่น ส่วนผู้ไม่มีอันจะกินก็ยังคงต้องก้มหน้าก้มตาอยู่ไปวันๆท่ามกลางการเมืองลักษณะแบบดังกล่าวที่บริหารกันด้วยหลักของความพอใจและผลประโยชน์ของประชาชนบางกลุ่ม

    ลองย้อนมองระบบที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่อย่างเที่ยงแท้  ขบคิดแล้วพิจารณาดูดีๆว่ามีพัฒนาการเป็นเช่นไรภายใต้ระบอบการเมืองของบ้านเรา

    ระบบการศึกษาของประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง  ทำไมการศึกษาภาคบังคับทำให้เด็กที่จบป.6 อ่านหนังสือไม่ออกเขียนหนังสือไม่ได้ แบบเรียนมาตรฐานไม่เพียงพอที่จะทำให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องเรียนพิเศษ
    ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน บางพื้นที่มีไฟฟ้าเข้าถึง มีน้ำประปาใช้ มีชลประทานพอเพียงต่อการเพาะปลูกหรือยัง
    ระบบคมนาคม  ลองดูรถไฟไทยที่นับวันมีแต่จะช้าลง เมื่อใดที่จะมีรถที่เร็วและเชื่อมต่อกันได้ไม่ต้องทุกเมือง เอาแค่เมืองใหญ่ของต่างจังหวัดก็พอ หากมีการขนส่งมวลชนที่รวดเร็ว รถราบนท้องถนนคงลดลง มลภาวะย่อมไม่เลวร้ายลง
    พื้นที่ป่าไม้เป็นอย่างไร การบุกรุกการปลูกทดแทนมีใครใส่ใจอย่างจริงจังบ้าง  

    แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ควรเปลี่ยนชื่อเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจเพราะสิ่งที่กระทบกระเทือนให้กลุ่มการเมืองเคลื่อนไหวคือเรื่องของเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่ไม่เกินเลยก็คือ  ไม่มีใครออกไปเลือกตั้ง หากไม่มีกฏหมายบังคับ หรือ มีการซื้อเสียง

    แผนพัฒนาประเทศในระยะยาวเขียนไม่ได้เพราะว่า ไม่มีใครยอมเสียผลประโยชน์ในระยะสั้นๆเพื่อรักษาผลประโยชน์ในระยะยาว

    ผลประโยชน์ของประชาชนควรตีความโดยคิดถึงสิ่งที่ใช้ร่วมในระยะยาวได้มากที่สุด เป็นประโยชน์ที่คนหมู่มากสามารถใช้พร้อมกันได้จริงๆ  สวนสาธารณะที่ใครเข้าไปเดินก็ได้ มีใช่รีสอร์ทหรือสนามกอล์ฟที่มีคนเพียงบางกลุ่มเข้าไปใช้บริการ ห้องสมุดสาธารณะที่มีหนังสือครบทุกประเภท  โรงพยาบาลที่มีมาตรฐานเท่าเทียมกันทุกแห่งมิใช่การจัดลำดับสถานพยาบาลขนาดเล็กใหญ่แบบปัจจุบัน  

    ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยจึงควรใช้เป็นกระบวนการ แต่จุดประสงค์ควรกำหนดมาจากสิ่งที่เป็นประโยชน์อันเที่ยงแท้ยั่งยืนจริงๆ และผู้กำหนดจุดประสงค์นั้นคือประชาชนผู้เข้าไปเลือกใช้ระบอบการปกครอง  พวกเราทุกคนมีส่วนทำให้เป็นแบบทุกวันนี้เอง อย่าปฏิเสธความรับผิดชอบ อย่าคิดว่าเราไม่เกี่ยวข้อง เราเกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มจำความได้  เราถูกเลี้ยงมาภายใต้ระบอบการปกครองและค่อยๆซึมซับโดยไม่รู้ตัว  หากไม่พิจารณาตัวเองบ่อยๆเราจะถูกคำว่าความพอใจและผลประโยชน์ครอบงำจิตใต้สำนึก แล้วก็จะกลายเป็นประชาชนที่นึกถึงเพียงผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ระดับคนใกล้ชิด

    อย่างไรก็ดี คนก็ยังเป็นสัตว์ประเภทที่ถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมประเพณีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีใครเป็นอิสระอย่างแท้จริง  เราเลือกเกิดในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบอื่นไม่ได้ เราเลือกเกิดในโลกที่ไม่ได้ยกย่องว่าระบอบประชาธิปไตยดีที่สุดไม่ได้  รวมทั้งไม่มีระบบการปกครองใหม่ๆเกิดขึ้นในโลกนี้นานแล้ว  อย่างไรก็ดีระบบการปกครองเป็นเพียงระบบภายนอกเพื่อความเรียบร้อยและการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุขและเป็นธรรมต่อมนุษย์ บางระบบการปกครองยึดหลักความผาสุก บางระบบการปกครองยึดหลักความเป็นธรรม  ไม่มีสิ่งใดผิดทั้งนั้น เพราะเราเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อมในโลกใบนี้  ส่วนบกพร่องก็อาจกลายเป็นคุณในสถานการณ์หนึ่งๆ สุดแท้แล้วแต่พลิกผันตามสถานการณ์  แล้วพวกเราจะไปทะเลาะกันเรื่องของระบบการเมืองการปกครองให้เหนื่อยด้วยสาเหตุใด  คิดไปคิดมาก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง


    ประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลก ประการหนึ่ง

    การไม่ยอมรับเหตุและผลของคนอื่น  ประการหนึ่ง

    ความไม่พอใจ ประการหนึ่ง

    การเสียผลประโยชน์ส่วนตนประการหนึ่ง


    ทะเลาะกันด้วยเรื่องเหล่านี้เพราะสาเหตุใด เสียเวลาเลี้ยงปากท้อง เสียเวลาพัฒนาตนเอง เสียเวลาอันมีค่าที่จะทำดีให้สังคม  พูดให้แรงคือน้ำลายไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น  การทำหน้าที่ของตนโดยไม่ยอมมองบทบาทหน้าที่ของคนอื่นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดจริงหรือ  พวกเราจะร่วมใจคืนอะไรกับบ้านเมืองและสังคมมากกว่าน้ำลายได้ไหม ลองคิดดูว่าคำว่าหน้าที่และอาชีพ กำเนิดมาจากอะไร ถ้ามิใช่กิจกรรมแต่ก่อนเก่า ตำรวจเกิดจากกิจกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมดังนั้นจึงเกิดอาชีพตำรวจ  แพทย์เกิดจากกิจกรรมการรักษาพยาบาล  ครูเกิดจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ต้องการถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ  ทั้งหมดนี้เราทำด้วยตนเองได้ไหม เรารักษาความสงบเรียบร้อยด้วยตนเองได้ไหม เช่น ไม่ไปก่อเรื่องทำร้ายผู้อื่น ฉ้อโกงผู้อื่น เราดูแลรักษาตัวเองให้สุขภาพดีได้ไหม เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์  ออกกำลังกาย  เราเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตนเองได้ไหม   กิจกรรมทุกกิจกรรมเราทำได้ด้วยตัวเอง กิจกรรมที่ดีมีคุณค่า  ผมเพียงอยากบอกว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมเริ่มต้นที่ตัวคุณเอง ถ้าพวกเราไม่เปลี่ยนสังคมก็ไม่เปลี่ยน  แล้วเราก็จะพากันผลิตมนุษย์พันธุ์ที่สร้างความวุ่นวายให้สังคมเกิดขึ้นเรื่อยๆ

    แล้วทุกอย่างก็จะวนเวียนอยู่เช่นนี้

    วนเวียนอยู่ในสังคมที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม

    กฏหมายที่ให้ลงประชามติ ก็มีที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

    เห็นด้วยเพราะอะไร

    ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร

    ต่างคนต่างเหตุผลทั้งเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ

    เห็นด้วยอย่างไร้ความรับผิดชอบหากไม่คำนึงถึงศีลธรรมและประโยชน์ส่วนรวม

    ไม่เห็นด้วยอย่างไร้ความรับผิดชอบหากไม่คำนึงถึงศีลธรรมและประโยชน์ส่วนรวม

    บางทีเราลืมคำว่า “เสียสละ..” และ “ ประโยชน์ส่วนรวม..” ไปนานแล้ว

    วันหนึ่งผมเดินไปทำงาน ผมเห็นพ่อลูกคู่หนึ่ง ลูกโยนเศษกระดาษลงบนพื้นโดยไม่สนใจ แถมพ่อยังบอกว่าไม่เป็นไรลูกไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวคนเก็บขยะจะไม่มีงานทำ พวกเขาเป็นคนที่ใช้ถนนหนทางนี้ไปทำงานและไปเรียนทุกวัน  ผมไม่รู้ว่าเขาทิ้งขยะไปกี่ชิ้นแล้ว  

    หากประชาชนที่เดินถนนเอาแต่คิดว่า ขยะ ก็เป็นหน้าที่ของคนเก็บขยะ

    อนาคตของประเทศก็คงน่าเป็นห่วงจริงๆ

    จากคุณ : กาแฟสอง - [ 24 ก.ค. 50 16:37:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom