หลายปีมานี้ กระแส กลอน ไฮกุ/ไฮคุ (Haiku) มาแรงและมีอิทธิพลต่อ กวีไทยใจง่าย (บางกลุ่ม) พอพูดถึง ไฮขุ กวี บางท่านอาจจะพอทราบที่มาบ้างแล้ว แต่วันนี้ ข้าพเจ้าขอเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ขอให้กวีช่วยสวน กันสักหน่อยนะครับ (/สวน [สะวะนะ] น. การฟัง. (ป.; ส. ศฺรวณ). ฟังแล้วก็อย่าพึ่ง สรวล นะครับ อิๆ
สระน้ำ อันเก่าแก่
เจ้ากบตัวหนึ่งกระโดดลง
เสียงน้ำพลันดังจ๋อม
บะโช มะทสึโอะ (ฺBashoo Matsuo)
......นี่คือ โคลง ไฮขุ ที่มีชื่อเสียงที่สุดบทหนึ่งของญี่ปุ่น จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่าไฮขุ เป็นโคลงที่มีขนาดสั้นมากโดยมีเพียง 17 พยางค์ ประกอบด้วย 3 วรรคคือ วรรคละ 5, 7 และ 5 พยางค์ตามลำดับ บทกวีที่เรียกว่า ไฮไค-เร็งงะ (haikai-renga) เป็นที่แพร่หลายตอนปลายสมัยมุโระมะฉิ ( Muromachi ค.ศ.1338-1570 ) ช่วงต้นศตวรรษที่ 15 - 16 ส่วนแรกคือ 17 พยางค์ของ ไฮไค-เร็งงะ เรียกกันว่า ไฮไค (haikai) ในสมัยเอะโดะ( ค.ศ. 1603 - 1868) บะโช มะทสึโอะ ( ค.ศ.1644 - 1694) เป็นผู้สร้างขึ้นมาในวงวรรณทัศน์ในรูป แบบบทกวี โดยมีท่วงทำนองศิลปะที่ขัดเกลาประณีตที่พรรณนาถึงความสอดคล้องประสานในฉากแห่งธรรมชาติและชีวิตมนุษย์ในสมัยเมจิ ( ค.ศ.1868 - 1912) ชิคิ มะซะโอะคะ ( Shiki Masaoka)ตั้งชื่อรูปแบบกวีนิพนธ์นี้ว่า ไฮขุ และมีการใช้ชื่อนี้นับตั้งแต่นั้นมา ใครๆ ก็สามารถแต่งโคลงไฮขุ ได้ค่อนข้างง่ายเนื่องจากรูปแบบคำประพันธ์สั้นๆ ใช้เพียง 17 พยางค์ซึ่งประกอบด้วยวรรคที่มี 7 พยางค์กับ 5 พยางค์ จังหวะ 5, 7 พยางค์ ฟังไพเราะให้ความรู้สึกที่ดีกับคนญี่ปุ่น ในปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นที่นิยมแต่ง ไฮขุ ถึง 10 ล้านคนและชาวต่างประเทศที่รักการแต่ง ไฮขุ ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในป่าดงพงไพร
เราได้ยินเสียงแห่งความเงียบ
ของใบไม้มากมาย
inside the forest
a quiet sound
of the leaves
Takahito Suzuki 10yrs :Japanese
Shotoku Elementary School, Tokyo
บนเตา
เราได้ยินเสียง
กาน้ำร้องไห้
on a stove
a kettle
crying
Sanae Nakata 12yrs :Japanese
คืนหนึ่งในฤดูร้อน
ฉันผวาตื่นลุกขึ้นมา
เสียงยุงบินหวี่วี้....
summer night
woken up
buzzing mosquitos
Yu-ichiro Sano 13yrs :Japanese
คราวนี้พอ ไฮขุ แพร่ระบาดมาถึงไทย ก็เข้าทาง เลยครับ เพราะแต่งง่าย นี่นะ
แต่ใครจะคิดบ้างหรือไม่ว่า ไฮขุ อาจมีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทย เช่นในยุค พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ก็เป็นไปได้ ครับ ไม่เชื่อลอง ฟังสำนวนสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จากหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ด้านที่ 1 ความว่า
พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์
แม่กูชื่อนางเสือง
พี่กูชื่อบานเมือง
ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน
ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง
พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก
เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า
(การออกเสียงสิบเก้าข้าว แปลว่า 19 ฝน 19 หนาว ทำนาข้าวมา 19 ครั้ง 19 ขวบ กรณีการยืดหดของกระสวนเสียงกรณีนี้ คล้ายกับกรณีคนภาคกลาง ออกเสียงเรียกควายว่าควาย แต่คนอีสานจะออกเสียง ควายว่า ข้วย นั่นเอง )
ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก
พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย
ขุนสามชนขับมาหัวขวา
ขุนสามชนเกลื่อนเข้า
ไพร่ฟ้าหน้าใส
พ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจะแจ
กูบ่หนี กูขี่ช้างเบิกพล
กูขับเข้าก่อนพ่อกู
กูต่อช้างด้วยขุนสามชน
ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ *
(แพ้ /แป๊ เป็นภาษาล้านนา หากคำว่าแพ้ อยู่ท้ายประโยค ต้องแปลว่า ชนะ ประโยคนี้ไม่ได้หมายความว่าช้างที่ชื่อมาสเมืองแพ้ แต่แปลว่า พ่อขุนรามคำแหงเองเอาชนะช้างชื่อมาสเมืองได้) กรณีการใช้คำว่าแพ้ ในความหมายว่า ชนะ ยังมีให้เห็นในวงการศาสนาเช่น การแปลพระคาถาบาลี บทที่ว่า
ชยํ เวรํ ปสวติ
ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต ชยปราชยํ ฯ
อรรถกถาจารย์ (ล้านนา) ได้ถอดความไว้ว่า
ผู้แพ้(แป๊)ย่อมก่อเวร
ผู้พ่าย(ป๊าย)ย่อมอยู่เป็นทุกข์
ผู้ละความแพ้(แป๊)และความพ่าย(ป๊าย)เสีย
มีใจสงบระงับนั่นแหละเป็นสุข
*คำว่า "แพ้"/"แป๊" แปลว่า ชนะ "พ่าย"/"ป๊าย" แปลว่า ไม่ชนะ คำว่าแพ้ นี้เป็น ภาษาไทยโบราณ ซึ่งมีความหมายไม่ตรงกับที่ใช้ในปัจจุบัน )
ขุนสามชนพ่ายหนี
พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู
ชื่อพระรามคำแหง
เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน
(จากหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ด้านที่ 1)
หลายท่านอ่านประโยคในศิลาจารึก ที่ว่า "พ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจะแจ" ก็อาจจะมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พระราชบิดา) เพราะพ่อขุนรามคำแหง พูดจาเข้าทำนองประจานพ่อตัวเองว่า หนีกระเจิดกระเจิงกลางสนามรบ
ในทางกลับกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่า (คนสมัย) พ่อขุนรามคำแหง พูดจาจริงใจดี ถ้าเป็นสมัยถัดจากนี้ กวีมักจะบรรยายฉาก การทำยุทธหัตถี อย่างโอฬาร ตระการตา อีกทั้งต้องสงวนคำสงวนความ ให้ดูเคร่งขรึม เช่น บทชมพระเจ้าแผ่นดินว่ามีความรู้เรื่องกลศึก กวีก็จะกล่าวว่า
ลวง..หาญหาญกว่าผู้..................หาญเหลือ กว่านา
ริ..กว่าริคนริ..............................ยิ่งผู้
ลวง..กลใส่กลเหนือ.....................กลแกว่น กลแฮ
รู้..นิ่งรู้กว่ารู้................................เรื่องกล
บทชมขบวนช้างศึก
ลางสาร....ตามเงื่อนแคล้ง...............เกลาเหลา
ลางสํ่า.....จรางมันผัน....................ม่ายม้าห์ .
ลางสาร....อาจเอาธาร......................ชาญเชี่ยว
ลางสํ่า......แกล้วกล้าป่า.....................ชื่นตา ..
บท ยอยศพระเจ้าแผ่นดิน
พิษณุพระกร...แกว่นส้าย................สงคราม
พรพระกรรม์....ไกรกล......................วาดไว้
พรรณพระเกตุ...เงื่อนงาม.................โสภาศ
เพศพระกาณฐิ..ควรไท้.....................แทบองค์
( ลิลิตยวนพ่าย)
จะสังเกตได้ว่า บทประพันธ์ทั้งสอง มีโครงเรื่องที่เหมือนกันคือเรื่อง ว่าด้วยการทำ สงครามและการทำยุทธหัตถี แต่กวีใช้รูปแบบและวิธีการพูดต่างกัน โดยยวนพ่ายพูดอ้อมค้อมกว่า ส่วนจารึกพ่อขุนราม พูดแบบตรงๆ
การพูดแบบตรงๆ แต่กินใจ ที่พบในจารึกพ่อขุนรามคำแหง ยังมีอีกกรณีหนึ่งตัวอย่างเช่น
"เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ้านท่เมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงินได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตาย ยังพี่กู กูพร่ำบำเรอแก่พี่กู ดังบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม"
(จากหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ด้านที่ 1)
เมื่อเราอ่านจบ ก็จะพบทั้งความ กตัญญู (รู้คุณ) และ กตเวที (ตอบแทนคุณ) จากประโยคง่ายๆ เหล่านี้ ถ้าเป็นสมัยที่ถัดจากนี้เช่น สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก็ต้องบรรยายใหม่ให้สละสลวย ความว่า
คุณแม่หนาหนักเพี้ยง...........พสุธา
คุณบิดรดุจอา.........................กาศกว้าง
คุณพี่พ่างศิขรา.......................เมรุมาศ
คุณพระอาจารย์อ้าง.................อาจสู้สาคร
(โคลงโลกนิตย์)
โคลงโลกนิตย์บทนี้เพียงแต่เปรียบเทียบว่าพ่อแม่มีพระคุณเท่านั้นเท่านี้ จะว่ากินใจ ก็กินใจ แต่ก็ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะโคลงได้แสดงเพียงแค่ความ กตัญญู แต่ยังขาดการแสดงภาพ ของการ กตเวที (ตอบแทนคุณ)
เช่นเดียวกับโคลงที่ชื่อ บุพการี ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ที่ว่า
ใครแทนพ่อแม่ได้............ไป่มี เลยท่าน
คือคู่จันทร์สุรีย์ศรี................สว่างหล้า
สิ้นท่านทั่วปฐพี...................มืดหม่น
หมองมิ่งขวัญซ่อนหน้า.........นิ่งน้ำตาไหล ฯ
๒
๏ พ่อแม่เสมอพระเจ้า............บนสวรรค์
ลูกนิ่งน้อมมิ่งขวัญ................กราบไหว้
น้ำตาต่างรสสุคันธ์...............อบร่ำ หอมฤๅ
หอมค่าน้ำใจไซร้.................ท่านให้หมดเสมอ ฯ
๓
๏ ถึงตายเกิดใหม่ซ้ำ............. ไฉนสนอง
คุณพ่อแม่ทั้งสอง.................. สั่งฟ้า
น้ำนมที่ลูกรอง.....................ดูดดื่ม
หวานใหม่ในชาติหน้า.......... กี่หล้าฤๅสลาย ฯ
๔
๏ รอยเท้าพ่อแม่ได้................เหยียบลง ใดแล
เพียงแค่ฝุ่นธุลีผง..................ค่าไร้
กราบรอยท่านมิ่งมง-.............คลคู่ ใจนา
กายสิทธิ์ใส่เกล้าไว้................เพื่อให้ขวัญขลัง ฯ
๕
๏ น้ำนมแม่มิ่งไม้..................รสสุคนธ์
ทั้งโลกตลอดเมืองบน..............ป่าฟ้า
อ้อยตาลทุกแห่งหน................แพ้พ่าย
หวานค่าถึงชาติหน้า..............กี่หล้าหวานเสมอ ฯ
๖
๏ ละเมอหวานตาลอื่นอ้อย......โอษฐ์ขม
หวานแต่สายน้ำนม.............. แม่ให้
เกิดกายแก่นใจผสม.............. เพชรพร่าง
ปางนี่หนอลูกใบ้.................... ช่างไร้ภาษา ฯ
๗
๏ เพรียกหาทั่วฝั่งฟ้า.............. ปรโลก
พ่อแม่เอยลูกโศก.................. สั่งหล้า
น้ำตาร่ำลมโบก.................... เป็นเมฆ
เมฆช่วยมองภพหน้า............. ท่านนั้นสถิตไหน ฯ
๘
๏ ไหวชีวิตสั่นสิ้น................. วิญญาณ
พ่อแม่ลืมธาตุปราณ...............ท่านไว้
ในอกแห่งลูกหลาน................ครวญคร่ำ
ร่ำทุกหายใจไหม้...................อยู่ม้วยเสมอเสมือน ฯ
๙
๏ เฟือนโศกปรโลกเศร้า.......... หนาวขวัญ
ไหวหวั่นดั่งชีวัน.................... ว่างไร้
อเนจอนาถนี่หลับฝัน.............. หรือตื่น
ขมขื่นสะดุ้งอกไหม้................ ร่ำไห้ถวิลหา ฯ
๑๐
๏ โศกกว่าเศร้าสั่นสิ้น.............. สายใจ
ไหวหวั่นชีวาลัย..................... ดิ่งสะดุ้ง
น้ำตาร่วงระเหยไป................. เป็นเมฆ เมฆเอย
ฝนห่าแก้วหลั่งรุ้ง.................... ดับร้อนเผาขวัญ ฯ
๑๑
๏ อโหข้าน้อยต่ำต้อย.............. หอยปู
เจ็บป่วยร่ำจมรู .......................นรกไหม้
พุทธองค์เร่งเอ็นดู................... มาโปรด พระเอย
ข้าไม่ช่วยม้วยไซร้..................โลกสิ้นกวีศรี ฯ
๑๒
๏ พระชี้ดาวพร่างรุ้ง................. แก้วมณี
ใจกว่าเพชรวิเศษศรี.................สั่งไว้
แสงรุ้งร่วงปฐพี........................ ตมต่ำ ก็ดี
เปื้อนที่ไหนนิ่งไซร้.................. เร่งซึ้งสัจจธรรม ฯ
๑๓
๏ มรณํขลังดั่งแก้ว..................... อนุสสติ
อสุภหนึ่งถึงสิบสิ........................ เพ่งไว้
อนาปานสติมิ..........................ประมาท มุ่งเทอญ
ถึงแก่นพุทธธรรมไซร้ ...............สว่างสิ้นภพไตร ๚๛
อังคาร กัลยาณพงศ์ ย่อมได้รับการสืบทอดแนวความคิดมาจากโคลงโลกนิตย์ไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม แต่ทั้ง "โคลงโลกนิตยางคารกัลยาณพงศ์" ก็ยังด้อยกว่า คำประพันธ์ของ พ่อขุนรามคำแหง ที่ว่า
"เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ้านท่เมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงินได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตาย ยังพี่กู กูพร่ำบำเรอแก่พี่กู ดังบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม"
พ่อขุนรามคำแหง ได้ใช้คำพูดง่ายๆ ถอดความได้ว่า เวลากินอะไรดีๆ ก็นึกถึงพ่อถึงแม่และพี่ชาย แล้วก็นำของที่กินอร่อยกินดีนั้นไปให้พ่อแม่และพี่ชายกินด้วย
คำประพันธ์ของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงสร้างความซาบซึ้ง เพราะได้แสดงภาพ ความกตัญญูกตเวที อย่างครบถ้วน เรียกได้ว่า เป็นการสะท้อนจิตเดิมแท้ออกมาทีเดียว
ม.จ. จันทร์จิรายุ รัชนี และ ไมเคิล วิกเคอรี ได้เปิดประเด็นไว้ตั้งแต่ ๑๐ กว่าปีที่แล้วว่า จารึกพ่อขุนรามคำแหงอาจไม่ได้ทำในสมัยพ่อขุนรามฯ รศ. ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ศึกษาค้นคว้าวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ และเสนอว่าจารึกหลักที่ ๑ ไม่ได้ทำขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง แต่เพิ่งทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี่เอง นอกจากนี้นักวิชาการอีกหลายคน เช่น ไมเคิล ไรท์ สุจิตต์ วงษ์เทศ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ก็ให้ความเห็นไปในทิศทางที่ไม่เชื่อว่าจารึกหลักนี้ทำขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงเช่นกัน อีกฟากหนึ่ง จิราภรณ์ อรัณยะนาค ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์การอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้ตรวจพิสูจน์หลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยดูการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีของร่องรอยการขูดขีด พบว่าเป็นร่องรอยที่มีอายุอยู่ในสมัยกรุงสุโขทัยแน่นอน แต่จะเป็นรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์ใดไม่สามารถระบุได้แน่ชัด ก่องแก้ว วีระประจักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ กรมศิลปากร ก็เป็นอีกคนที่ยืนยันว่า จารึกหลักนี้ทำขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงแน่นอน ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกอย่าง ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร ก็ออกมาชี้แจงโต้แย้งประเด็นที่เป็นพิรุธในทุกกรณีตลอด ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา
เอาล่ะครับตอนนี้ใครอยากแต่ง ไฮขุ กันบ้างแล้วครับ แต่เอ่อ....ถ้าสังเกตสังกา ดีๆจะเห็นว่า กลอนไฮขุ ที่ประเทศ ญี่ปุ่น เขาเอาไว้ให้เด็ก 10-13 ขวบ หัดแต่งกันล่ะครับ แต่จะพูดอย่างนั้นมันก็เป็นการดูแคลนกันเกินไป เพราะโบราณราชกวี ของญี่ปุ่นท่านมีความเลื่อมใสศรัทธาพุทธศาสนานิกายเซ็น กลอนไฮขุ จึงแฝง ไปด้วยปรัชญา แห่ง จิตเดิมแท้ อยู่มิใช่น้อย
อนึ่งโคลงของ บะโช มะทสึโอะ ที่ว่า
สระน้ำ อันเก่าแก่
เจ้ากบตัวหนึ่งกระโดดลง
เสียงน้ำพลันดังจ๋อม
โคลงบทนี้ จริงๆ แล้วเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง (การเจริญวิปัสสนา:ดูจิตร) ว่าด้วยเรื่อง สติปัฎฐานสี่ การดูจิต เป็นคำที่นักปฏิบัติกลุ่มหนึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อใช้สื่อความหมายกันเองภายในกลุ่มหมายถึงการเจริญ
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ทุกบรรพ)
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ทุกบรรพ)
รวมถึงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (บางอย่างที่เป็นฝ่ายนามธรรม)กล่าวอย่างย่อ ก็คือการเจริญวิปัสสนาด้วยอารมณ์ฝ่ายนามธรรมได้แก่การรู้จิตและเจตสิกนั่นเอง
สระนำอันเก่าแก่ เจ้ากบตัวหนึ่งกระโดดลง (ก็คือการภาวะนาว่า เห็นหนอๆๆๆๆ แบบเถรวาท)
เสียงน้ำพลันดังจ๋อม (ก็คือการภาวะนาว่า เสียงหนอๆๆๆๆ นั่นเอง)
แต่ก็นั่นล่ะครับ สมัยนี้ใครจะไปสนใจเรื่องเซ็น เรื่องสติปัฏฐาน 4 กวีวัยรุ่น สมัยนี้ห่างวัด ห่างพระ บทกวีสมัยนี้จึงมีลักษณะมุ่งที่จะ สำรอกอารมณ์ สำเร็จความใคร่ใส่ตัวอักษร เพียงเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.lib.ru.ac.th/pk/biography.html
แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 50 20:10:14
แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 50 15:40:18
จากคุณ :
กวินทรากร
- [
28 ก.ค. 50 16:36:13
]