เรื่องนี้นี่เป็นบทคัดจากไดอารี่จริงๆของอาตมา จึงเป็นงานเขียนแบบเรียลไทม์อย่างแท้จริง แต่จะไม่ใช่อ่านแบบวันต่อวัน เพราะเรื่องต้องใช้เวลาเรียบเรียง อาตมาก็มีเวลาไม่เยอะนัก
... ... ...
เรื่องทั้งหมดนี้เป็นบันทึกของผมในการบวชที่วัดผาณิตาราม จ.ฉะเชิงเทรา โดยเริ่มบวชในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๐ การบวชนี้เป็นไปตามจุดประสงค์ของผมเอง ซึ่งต้องการเรียนรู้ชีวิตทางธรรมในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะไปเรียนต่อ
เหตุผลที่ผมเลือกบวชในวัดนี้เพราะเป็นวัดที่มีกลุ่มปฏิบัติธรรมของคุณแม่สิริมาเปิดคอร์สไว้ ซึ่งผมเคยเข้าคอร์สนี้แล้วครั้งหนึ่งตอนเป็นฆราวาส เห็นว่าดีมาก จึงต้องการเข้าอีกเพื่อเรียนธรรมะให้มากที่สุดในช่วงเวลาที่บวชอยู่
๔ สิงหาคม
หน้าที่ของผมก่อนบวชคือท่องบทสวดขออุปสมบทให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายไม่ยากนัก เพราะว่ายาวพอสมควร แต่ซ้ำๆกันมาก ใช้เวลาท่องสามวันก็พอไปได้
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือผมหนังสือสวดมนต์ที่ผมมีนั้นไม่มีคำแปลของบทสวดนี้เลย ผมเป็นคนไม่ชอบท่องบ่นโดยไม่รู้ความหมาย จึงไปเสิร์ชคำแปลจากอินเตอร์เนต ความหมายของบทสวดนี้จะเป็นทำนองว่า ขอบวชโดยมีเป้าหมายสู่การดับกิเลส มุ่งสู่มรรคผลนิพพาน จะบวชเป็นเณรรับศีลสิบข้อก่อน จากนั้นจึงบวชเป็นพระ
การเดินทางจากบ้านผมไปวัดใช้เวลาไม่นาน ตลอดรายทางมีแต่ไร่นา และสิ่งที่น่าสนใจคือไร่นาในฉะเชิงเทรานี้แทบทุกไร่จะขายหนูนาย่าง ซึ่งผมก็อยากชิมแต่ไม่มีใครยอมลองด้วย เลยไม่ได้ชิม
ผมถึงวัดประมาณบ่ายสามโมง เจ้าอาวาสให้พักอยู่ที่ห้องซึ่งจะเป็นกุฐิของผมในอนาคต เป็นห้องเล็กๆมีโต๊ะให้หนึ่งตัว เตียงแบบติดพื้นหนึ่งตัว หมอนสองใบ และผ้าห่ม ผมค้นดูลิ้นชักโต๊ะแล้วมีแต่หนังสือธรรมะ กับภาพพระพุทธรูปเล็กน้อย
จนกระทั่งประมาณบ่ายห้าโมง มีพระพี่เลี้ยงชื่อหลวงน้าส.มาเรียกไปซ้อมทำพิธีที่วัด แกถามว่า อ้าวจะไปอังกฤษรึ
ใช่ครับ ผมตอบ
จะไปที่ไหน ออร์กฟอร์ดหรือ? แกพูดแบบเป็นเรื่องปกติมาก
เอ่อ ยังไม่เก่งขนาดนั้นครับ แหะๆ ผมยังงงๆ
เอาละอย่างนั้นฟังนะ ขั้นตอนการแห่นาคคือคุณจะต้องเดินรอบโบสถ์ก่อน คำว่าเดินรอบภาษาอังกฤษคืออะไร?
วอคกิ้งอะราวอะไรอย่างนี้มังครับ
เออๆ วอคกิ้งอะราวโบสถ์ จากนั้นก็มาซิทที่หน้าโบสถ์ จากนั้นก็จะมีลุง ...อังเคิลมัคทายกน่ะมาบอกบทสวดให้ แกว่าไปเรื่อยๆด้วยสีหน้าเฉยชา
(ผมแอบคิดในใจว่าแค่ผมไปเรียนอังกฤษไม่ต้องพยายามพูดภาษาอังกฤษกับผมก็ได้ครับ -__-)
เมื่อซ้อมทำพิธีอุปสมบทเสร็จแล้วหลวงน้าก็พาผมไปรู้จักกับหลวงพี่น.ซึ่งเป็นคนดูแลเด็กวัด
โดยวัดผาณิตารามมีมูลนิธิเลี้ยงดูและสอนหนังสือเด็กยากจนอยู่หลายสิบคนอายุประมาณ ๘ ๑๒ ปี และเอามาช่วยงานวัดต่างๆซึ่งก็ได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้างตามประสาลิงตัวเล็กๆ บรรยากาศที่เด็กวัดอยู่ก็เจี้ยวจ้าวเฮฮาตามประสามีเด็กผู้ชายอยู่จำนวนมาก
หลวงน้าส.เป็นคนใจดี แกจะสอนอะไรไปเรื่อยๆ และยิ้มอย่างเมตตาให้ในตอนท้ายเสมอๆ
แกบอกว่าผมอายุเท่าลูกชายแก และพอผมได้ถามว่าแกมาบวชเมื่อตอนใด แกก็ว่าเมื่อได้เที่ยวมาเยอะแล้ว แต่พอผมถามถึงอดีตของแก หลวงน้าส.ก็บอกว่าอย่าไปคุยถึงมันเลย เมื่อเราเกิดใหม่ในโลกของธรรมแล้ว เราไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องทางโลกอีก
บางทีคำสอนง่ายๆของหลวงน้าก็ทำให้ผมประทับใจเหมือนกัน อย่างเช่นก่อนหน้านี้ผมมีปัญหาวิตกเกี่ยวกับความก้าวหน้าในชีวิตอยู่เรื่อยๆ หลวงน้าท่านมาสอนว่า ให้รู้เท่าทันว่าสังขารเป็นของไม่ดี เป็นของไม่เที่ยง จิตใจสำคัญกว่า ถ้าทำจิตใจให้ดี อย่างอื่นๆก็จะดีตาม
คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดฟุ้งซ่าน อีกส่วนเป็นเพราะแปลกถิ่น
๕ สิงหาคม
วันนี้เป็นวันบวชของผม ผมออกจากห้องมาในตอนหกโมงเช้า ถามหลวงพี่ว.ซึ่งเป็นพระมีอายุว่าต้องทำอะไรบ้าง หลวงพี่ว.ก็บอกให้รอระฆังกินข้าว กินข้าวเสร็จจึงปลงผม ระหว่างนี้ไม่มีอะไร
ผมรอจนกระทั่งประมาณเจ็ดโมงครอบครัวก็โทรศัพท์มาว่ามาถึงวัดแล้ว พวกเราจึงออกไปเอาของประเคนพระ และเริ่มรับประทานอาหารกัน ระหว่างนั้นพวกญาติๆก็ทยอยมาเรื่อยๆ อาคนหนึ่งได้มอบหนังสือธรรมะให้ผม ป้าคนหนึ่งได้ทำเครื่องโปรยทานให้ผม อาอีกคนหนึ่งซื้อผ้าไตรและของอื่นๆให้
เมื่อทุกคนกินข้าวเสร็จแล้วมรรคทายกหรือลุงชุบก็พาผมไปนั่งในศาลากลางของวัด ให้ญาติทุกคนตัดผมคนละสามหยิบ หรือพูดง่ายๆว่าลงกรรไกรสามครั้ง ตอนนี้จะสนุกสนานมาก เพราะแต่ละคนจะแกล้งผมต่างๆนานา ผมเป็นคนผมหนา แม้ญาติจะมาตัดกันมากกว่าสามสิบคนแล้วก็ยังเหลือผมเป็นทรงเหมือนรองทรงต่ำปกติ
จากนั้นก็ไปเอาแชมพูสระแล้วตัดผมออกจนหมด ตรงนี้มีเรื่องน่าขำนิดหน่อย คือผมเป็นคนค่อนข้างอ้วนแต่อาศัยไหล่กว้างใส่เสื้อแล้วจะพอซ่อนรูปได้ ตอนโกนหัวจึงอยากโกนทั้งเสื้อ แต่หลวงพี่ท่านบอกให้ถอดก็ไม่มีทางเลือก จึงต้องถอดเสื้อให้ญาติๆนินทาระยะเผาขนว่า อ้ายนี่มันอ้วนนี่หว่า (T__T)
การโกนครั้งนี้ทำให้ผมทราบครั้งแรกในชีวิตว่าผมเป็นคนหัวทุย
ทำให้ผมนึกถึงตวนอื้อในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ที่ถูกเทพจระเข้ทะเลใต้จับไปลูบหัวแล้วพบว่าหัวทุยเหมือนตัวเอง จึงจะรับเป็นศิษย์ซะอย่างนั้น
ศีรษะล้านให้ความรู้สึกแปลกๆ คือเป็นจุดที่ร้อนกว่าผิวส่วนอื่นๆ แต่ถ้าลมพัดมาจะเย็นสบายมาก
ครั้นโกนผมแล้วผมก็ไปสวมชุคนาค ออกมากราบขอขมาต่อพ่อแม่และคุณยาย
พวกเราตั้งขบวนแห่นาค อาคนหนึ่งเป็นคนร้องโห่ฮี้โห่ และคนอื่นๆก็จะรับว่าฮิ้ว ร้องเช่นนี้ไปเรื่อยๆอย่างสนุกสนาน เราวนรอบโบสถ์สามรอบ จึงมีการโปรยทาน ซึ่งพวกเด็กวัดจะเตรียมพร้อมกับเรื่องนี้อยู่แล้ว จะเข้าแย่งโปรยทานกันอย่างดุเดือดจนพวกอาๆฝ่ายพ่อต้องไปยืนอยู่ข้างหลัง ตะโกนให้ผมโปรยไปไกลๆเพื่อไม่ให้เด็กแย่งเก็บกันชุลมุนเกินไป
ผมเข้าโบสถ์ พิธีกรรมผ่านไปอย่างราบรื่น ตรงนี้มีส่วนที่ผมนึกไม่ถึงอยู่บ้าง คือเมื่อผมพูดภาษาบาลีแล้ว ท่านเจ้าอาวาสซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วยก็บอกคำแปลไทยให้ตรงนั้นเลย ซึ่งคำแปลดังกล่าวนี้วิเคราะห์ออกมาแล้ว ทำให้มีใจความลึกซึ้งกว่าคำแปลจากอินเตอร์เนตมาก แสดงให้เห็นหลักธรรมและเหตุผลต่างๆที่สอดแทรกไว้ในประเพณีการบวช ผมฟังก็ซาบซึ้งอยู่
เรื่องน่าขำมีอยู่ว่าเมื่อผมรับบาตรแล้วมากราบพระอุปัชฌาย์ บาตรนั้นหนักต้องระวังให้มากมิเช่นนั้นพอก้มกราบบาตรอาจร่วงมากระแทกศีรษะได้ ทำให้ผมกราบอย่างเก้อๆกังๆ ต้องมีพระมาจับบาตรให้
หลังจากบวชเสร็จอาตมาก็ไปฉลองพระใหม่ และรับประทานอาหารซึ่งทุกคนชมว่ารสชาติอร่อย ขอชมแม่ครัวคือคุณพ.ที่เป็นคนจัดการเรื่องอาหารในงานให้วัดเสมอๆ
พิธีทั้งหมดเสร็จสิ้นประมาณบ่ายสอง อาตมาตามโยมพ่อแม่ไปลอยอังคารเส้นผมตนเอง จากนั้นรับประเคนน้ำปานะ ตอนนั้นอาตมาเห็นโยมแม่มองมายังอาตมาด้วยความปลื้มปิติ อาตมาก็รู้สึกดีใจเช่นกัน
อาตมากลับเข้ากุฏินอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อนจนถึงบ่ายสี่โมงเย็น หลวงน้าก็มาปลุกให้ไปทำวัตรเย็น ขณะนั้นได้สอนการห่มจีวรแบบต่างๆไปด้วย
การทำวัตรเย็นครั้งแรกเป็นอะไรที่สนุกมาก แม้จะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งถึงหนึ่งชั่วโมง แต่การที่พระใหม่อย่างอาตมาต้องเปิดหนังสือสวดมนต์หาบทสวด (ซึ่งไม่เรียงกัน) มาสวดตามพระอื่นๆให้ได้ทันเป็นเรื่องท้าทายทีเดียว
ตอนนี้อาตมาได้รู้จักกับพระนวกะที่บวชเวลาใกล้เคียงกับอาตมาสามรูป คือพระต.๑ พระต.๒ พระต.๓ (คือทั้งสามคนมีชื่อเล่นขึ้นต้นด้วย ต.เต่า) ท่านเหล่านี้ได้ร่วมสนุกเปิดหาบทสวดมนต์กับอาตมาเช่นกัน
ถ้าจะให้แยกแยะ พระต.๑ บวชมาสองเดือนย่างสามเดือนแล้ว อาชีพเดิมทำงานออกแบบผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ดังนั้นจึงเชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์มาก เป็นคนตั้งใจในการบวชอย่างจริงๆจังๆ ภายนอกจึงดูเคร่งครัด ในขณะที่ซ่อนความฮาไว้ภายในมากมาย
พระต.๒ เป็นชาวแปดริ้ว บวชก่อนอาตมาอาทิตย์เดียว เพิ่งเรียนป.โทจบ แล้วมาบวช เนื่องจากอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับอาตมาจึงคุยกันได้หลายเรื่อง
พระต.๓ ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ที่สุด อาตมาเข้าใจว่าท่านบวชที่วัดโสธรในงานบวชเพื่อในหลวง จากนั้นจึงเข้ามาจำวัดที่วัดผาณิตารามเพื่อเทคคอร์สคุณแม่สิริ คนนี้จะบวชเอาพรรษา
อาตมาจะสนิทกับพระสาม ต. นี้มากกว่าคนอื่นเพราะเป็นรุ่นเดียวกัน
นอกจากนั้นวัดผาณิตารามยังมีพระจำวัดรวมอาตมาแล้วสิบห้ารูป ต่อมาอาตมาได้รู้จักกับหลวงพี่ต.๔ ท่านเป็นคนลูกทุ่งๆหน่อย พูดตลกได้เป็นน้ำไหลไฟดับ (วัดนี้มี ต. เยอะจริงๆ แต่หลวงพี่ ต.๔ นี้บวชมาหลายสิบพรรษาแล้ว เป็นคนสอนวิธีสวมจีวรให้อาตมาคนแรก ต่อไปจึงขอเรียกว่า ต.ใหญ่ เพื่อแสดงความอาวุโส) กับพระจ.ซึ่งบวชมาสี่พรรษาแล้ว ยังเป็นพระนวกะเหมือนกัน (ต้องครบห้าพรรษาจึงจะสิ้นสุดการเป็นพระนวกะ) ท่านกำลังมีปัญหาเป็นโรคเบาหวาน ดูจากภายนอกท่านมีลักษณะป่วยหลายอย่าง แต่จิตใจท่านกว้างขวางมาก มักช่วยอาตมาเสมอๆ
เป็นประเพณีที่พระนวกะจะต้องไปแสดงความเคารพพระครู่สวดที่บวชให้ตนในช่วงเข้าพรรษา พอดีอาตมาบวชแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจึงให้อาตมากับหลวงพี่ว. และพระ ต.๑ ต.๒ ซึ่งทั้งหมดได้รับการบวชจากพระคู่สวดคู่เดียวกัน ออกเดินทางไปแสดงความเคารพในวันนั้น
ใครจะบอกว่าพระสงฆ์เป็นพวกโลวเทคก็ตามที่เถิด พระคู่สวดของอาตมาเก่งเทคโนโลยีทั้งคู่ คือพระอาจารย์น.วัดประเวศนี้เชี่ยวชาญเครื่องกล ในศาลามีทีวีซ่อมอยู่สามเครื่อง พัดลมอีกหลายตัว (นั่นคือช่วงที่รับงานลดลงแล้วนะ) กับอีกคนพระอาจารย์ส.วัดต้นสนคนนี้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์และการพ่นทอง ท่านไปเก็บพระเก่าๆที่คนจะทิ้งมาพ่นทอง ตั้งไว้รวมกัน สวยงามมาก; ปีนี้ท่านน่าจะได้เป็นเจ้าอาวาสแล้ว หลังจากที่เจ้าอาวาสคนเก่าวางมือไปจำวัดที่ตราด
เมื่อพวกเราไปแสดงความเคารพท่านทั้งสองก็ห้ศีลให้พรอย่างเป็นมิตร
อย่างสุดท้ายคืออาตมาเอาคอมพิวเตอร์มาวัดด้วยกะจะใช้แต่งนิยายอย่างเดียว เพราะถึงอย่างไรวัดท่ามกลางทุ่งนาชนบทแห่งนี้คงไม่มีอินเตอร์เนตใช้
ปรากฏว่าผิดคาด ที่นี่มีไวร์เลสยิงมาแรงมากๆ (๘๐%) (ถ้าไปเล่นแถวบ้านอาตมาในกรุงเทพฯอย่างดีก็ ๒๐%) เข้าใจว่าเป็นไวร์เลสของ อบต. จึงมีเนตใช้ซะอย่างนั้น
อาตมาช่างดูเบาความทันสมัยของที่แห่งนี้เสียจริงๆ แต่อย่างไรจะพยายามไม่เล่นอินเตอร์เนตจนรบกวนการกิจสงฆ์ครับ -__-
จากคุณ :
เชษฐา
- [
วันแม่แห่งชาติ 01:01:43
]