เรื่องของครู (ตอนจบ)
ผมออกแรงแบกหามดายหญ้าขุดดินอยู่ใน แผนกที่ ๓ กรมพาหนะทหารบก ได้ ไม่เท่าไร ก็มีผู้ขอตัวไปทำงานบนสำนักงาน เป็นผู้ช่วยภารโรง ซึ่งเป็นงานเบากว่าลูกจ้าง ใช้แรงงานมาก
หน้าที่นี้ก็คือช่วยภารโรงปิดเปิดหน้าต่างประตู กวาดถูห้องและเช็ดโต๊ะเก้าอี้ในสำนักงาน ช่วยเสมียนเดินส่งหนังสือ และคอยรับใช้ผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ เมื่อเวลารับประทานอาหารกลางวัน ที่โรงอาหาร เพราะไม่มีแม่ค้าพ่อค้ามาขาย ต้องเดินไปซื้อใส่ถาดมาจากห้องแถว หน้าวัดแก้วฟ้าจุฬามณี
ผมเดินบริการอาหารให้ หัวหน้ายศพันตรีสามท่าน ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้ากรมการขนส่งทหารบก ทั้งสามท่าน รวมทั้ง พันตรี ประมาณ อดิเรกสาร อดีต หัวหน้าพรรคชาติไทย อยู่ร่วม ๒ ปี จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเสมียน แต่งเครื่องแบบข้าราชการวิสามัญ ติดขีดขมวดสามเหลี่ยมโก้ขึ้น
พ้นจากการนุ่งกางเกงขาสั้นก้นปะ ห่อข้าวไปกินในที่ทำงานมื้อกลางวัน และได้พบเพื่อนข้าราชการที่มีอายุมากกว่าผมทั้งสิ้นซึ่งได้เคยให้ความเมตตาผมมา ตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง
หน้าที่การงานของผมเจริญขึ้นมาได้ ก็ด้วยความเกื้อหนุนค้ำจุน ของมิตรผู้อาวุโสทั้งหลายเหล่านั้น เพราะผมอายุน้อยที่สุดที่เขาคบหาสมาคมด้วย มีรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่คนหนึ่งคือนายจืด
ผมได้พบกับเขาเมื่อครั้งที่ย้ายไปทำงานใน ร้านสหกรณ์กรมพาหนะทหารบก ที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมสี่แยกสะพานแดง บางซื่อ
ซึ่งต่อมาได้ใช้เป็นที่ทำการของ รถโดยสาร ทหารบก โดยจัดให้มีกระเป๋าหญิงเป็นผู้เก็บค่าโดยสารขึ้น เป็นครั้งแรกในเมืองไทย แม้ว่าในตอนต้นจะต้องจัดสารวัตรทหารนั่งคุมไปกลับ ทุกคันทุกเที่ยวจนเป็นปกติ จึงได้เกิดมีกระปี๋ขึ้นบนรถโดยสารทุกสายมาจนถึงสมัยนี้
นายจืดนั้นมีอายุแก่กว่าผมเพียงปีเดียว จึงสนิทสนมกันมาก เราหัดดื่มเหล้ามาในเวลาใกล้เคียงกัน จึงอยู่ในกลุ่มคออ่อนด้วยกัน เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเข้าพิธีแต่งงานที่บ้าน แถว ๆ บางโพ เราไปช่วยเขาตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาส่งตัว แล้วก็ฟุบหลับอยู่ ข้างวงอาหารที่เลี้ยงกันกลางนอกชานนั้นเอง
ตื่นเช้าขึ้นมาก็เหลือแต่เราสองคน จะทำอะไรก็ไม่ได้ อยากจะลุกขึ้นยืนยังไม่ได้ ต้องนั่งพิงตุ่มน้ำเย็น แข่งกันคายอาหารเก่าที่กินเมื่อวาน ลงร่องกระดานจนหมดแรง ต้องนอนต่อที่บ้านงานอีกวัน
สมัยนั้นพวกเราที่อยู่ร้านสหกรณ์ด้วยกัน ๕ - ๖ คนตั้งวงกินเหล้ากันทุกเย็น พอไม่มีเงินก็เซ็นเอาของในร้าน ไปขายเจ๊กในราคาต่ำกว่าที่ซื้อ เรียกว่าซื้อแพงขายถูก
เช่นน้ำมันใส่ผม มอร์เล่ย์ ขวดละ ๑๐ บาท ก็ขาย ๘ บาท ยาสีฟันวิเศษนิยมซองละ ๒ บาท ห่อละ ๑๐ ซองราคา ๒๐ บาท ก็ขายได้ ๑๙ บาท เป็นต้น
ส่วนมากเราจะซื้อของชิ้นเล็ก ๆ ที่หิ้วไปได้ง่าย ๆ ขายให้ร้านชำหรือที่เรียกว่าร้านโชห่วย ในสมัยนี้ ซึ่งอยู่ แถวบางกระบือ แล้วก็เข้าร้านเหล้าแถวนั้นแหละ
เว้นแต่บางวันจะมีเจ้ามือใหญ่ เป็นเพื่อนรุ่นพี่มียศเพียงสิบตรี แต่ที่บ้านเมืองนนทบุรี มีสวนทุเรียนหลายขนัด มีเงินทองมากมายไม่ต้องเป็นห่วง เงินเดือนออกมาเท่าไร ก็จับจ่ายเลี้ยงเพื่อนหมด
ขณะนั้นเป็นช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งได้เริ่มขึ้นเมื่อ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ เวลา ๐๔.๐๐ น.เกาหลีเหนือใช้กำลังประมาณ ๑๐ กองพล จู่โจมข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ บุกเข้ายึดกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ได้ภายใน ๓ วัน สหรัฐอเมริกาได้ส่งกำลังเข้าไปช่วยป้องกัน ในนามขององค์การสหประชาชาติ และประเทศไทยได้ส่งกำลังทั้งสามเหล่าทัพ เข้าร่วมรบกับสหประชาติด้วย
นายจืดเพื่อนผม ได้สมัครไปราชการสงครามเกาหลี ในผลัดที่ ๕ เริ่มเดินทางประมาณ สิงหาคม ๒๔๙๖ จึงไม่มีโอกาสได้แสดงวีรกรรมเหมือนผลัดอื่น
แต่ก็ยังมีเรื่องให้เป็นที่ ฮือฮากันจนได้ โดยเฉพาะกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยเหนือ ถึงกับมีผู้สื่อข่าวสงครามมาสัมภาษณ์ เอาไปลงหนังสือพิมพ์ทีเดียว
เรื่องนั้นก็คือ นายจืดไปไปราชการสงครามครั้งนี้ทั้งตระกูล คือตัวเขาซึ่งเป็นพลทหาร และพี่ชายยศสิบเอก กับบิดาซึ่งมียศเป็นจ่าสิบเอก กองพันทหารไทยผลัดนี้ จึงมีทหารนามสกุลเดียวกันถึง ๓ คน สามารถทำลายสถิติกำลังพลของทหารทุกชาติ ในสมรภูมิเกาหลีได้โดยสิ้นเชิง
ระหว่างไปราชการเขาก็เขียนจดหมายติดต่อกับผมโดยสม่ำเสมอ ซึ่งทำให้ผมนึกอยากจะเป็นทหารอย่างเขาบ้าง เมื่อเขากลับมาจากราชการสงครามเกาหลี เขาก็ได้มาเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของผมเหมือนเดิม
เขาน่าจะเป็นเพื่อนกินเหล้ากับผมไปได้อีกนาน ถ้าไม่บังเอิญเกิดน้อยใจภรรยา เลยคว้ายาฆ่าแมลงมาดื่มแทนเหล้า ด้วยความเข้าใจผิดเพียงนิดเดียว
คือเข้าใจผิดว่าภรรยาคงจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน
แล้วผมก็กินเหล้ากับเพื่อนผู้อาวุโส ต่อไปอีกหลายปี จนกระทั่งเป็นทหารเกณฑ์ และเปลี่ยนมาเป็นทหารสื่อสาร อีกร่วมยี่สิบปีถึง พ.ศ.๒๕๑๗
หมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งรักษาโรคตับของผมจึงบอกให้เลิกดื่มเหล้าโดยเด็ดขาด
ผมกินยารักษาตัวอยู่ร่วมปี แล้วก็หันมาดื่มเบียร์ต่ออีกยี่สิบปี จนเป็นแผลในกระเพาะอาหาร เพิ่มอีกโรคหนึ่ง ที่ทำให้คิดอยู่จนถึงบัดนี้ ก็ยังคิดไม่ตก ว่าจะเลิกกินเสียทีจะดีไหม ?
ลืมเล่าไปว่าผู้กองซึ่งเป็นครู ที่สอนให้ผมกินเหล้าเป็นเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๙ นั้น ผมก็ ไม่ได้กินเหล้าร่วมกับท่านอีกเลย เพราะท่านก็ไม่ได้อยู่ถึงวันขึ้นปีใหม่ ถัดมานั้นด้วยเหมือนกัน.
##########
นิตยสารทหารปืนใหญ่
ตุลาคม ๒๕๔๗
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
15 ส.ค. 50 05:07:32
]