Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องของครู

    เรื่องของครู (ตอนจบ)

                           ผมออกแรงแบกหามดายหญ้าขุดดินอยู่ใน แผนกที่ ๓ กรมพาหนะทหารบก ได้  ไม่เท่าไร  ก็มีผู้ขอตัวไปทำงานบนสำนักงาน เป็นผู้ช่วยภารโรง ซึ่งเป็นงานเบากว่าลูกจ้าง  ใช้แรงงานมาก
       
                       หน้าที่นี้ก็คือช่วยภารโรงปิดเปิดหน้าต่างประตู กวาดถูห้องและเช็ดโต๊ะเก้าอี้ในสำนักงาน ช่วยเสมียนเดินส่งหนังสือ  และคอยรับใช้ผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ เมื่อเวลารับประทานอาหารกลางวัน ที่โรงอาหาร เพราะไม่มีแม่ค้าพ่อค้ามาขาย ต้องเดินไปซื้อใส่ถาดมาจากห้องแถว หน้าวัดแก้วฟ้าจุฬามณี

                        ผมเดินบริการอาหารให้  หัวหน้ายศพันตรีสามท่าน  ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้ากรมการขนส่งทหารบก ทั้งสามท่าน  รวมทั้ง พันตรี ประมาณ อดิเรกสาร   อดีต  หัวหน้าพรรคชาติไทย อยู่ร่วม ๒ ปี จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเสมียน แต่งเครื่องแบบข้าราชการวิสามัญ  ติดขีดขมวดสามเหลี่ยมโก้ขึ้น  

    พ้นจากการนุ่งกางเกงขาสั้นก้นปะ ห่อข้าวไปกินในที่ทำงานมื้อกลางวัน และได้พบเพื่อนข้าราชการที่มีอายุมากกว่าผมทั้งสิ้นซึ่งได้เคยให้ความเมตตาผมมา ตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง

    หน้าที่การงานของผมเจริญขึ้นมาได้ ก็ด้วยความเกื้อหนุนค้ำจุน ของมิตรผู้อาวุโสทั้งหลายเหล่านั้น เพราะผมอายุน้อยที่สุดที่เขาคบหาสมาคมด้วย  มีรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่คนหนึ่งคือนายจืด

    ผมได้พบกับเขาเมื่อครั้งที่ย้ายไปทำงานใน ร้านสหกรณ์กรมพาหนะทหารบก ที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมสี่แยกสะพานแดง บางซื่อ

    ซึ่งต่อมาได้ใช้เป็นที่ทำการของ รถโดยสาร ทหารบก โดยจัดให้มีกระเป๋าหญิงเป็นผู้เก็บค่าโดยสารขึ้น เป็นครั้งแรกในเมืองไทย แม้ว่าในตอนต้นจะต้องจัดสารวัตรทหารนั่งคุมไปกลับ ทุกคันทุกเที่ยวจนเป็นปกติ จึงได้เกิดมีกระปี๋ขึ้นบนรถโดยสารทุกสายมาจนถึงสมัยนี้

                       นายจืดนั้นมีอายุแก่กว่าผมเพียงปีเดียว จึงสนิทสนมกันมาก เราหัดดื่มเหล้ามาในเวลาใกล้เคียงกัน จึงอยู่ในกลุ่มคออ่อนด้วยกัน  เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเข้าพิธีแต่งงานที่บ้าน แถว ๆ บางโพ เราไปช่วยเขาตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาส่งตัว แล้วก็ฟุบหลับอยู่ ข้างวงอาหารที่เลี้ยงกันกลางนอกชานนั้นเอง  

    ตื่นเช้าขึ้นมาก็เหลือแต่เราสองคน จะทำอะไรก็ไม่ได้ อยากจะลุกขึ้นยืนยังไม่ได้ ต้องนั่งพิงตุ่มน้ำเย็น แข่งกันคายอาหารเก่าที่กินเมื่อวาน ลงร่องกระดานจนหมดแรง ต้องนอนต่อที่บ้านงานอีกวัน

                       สมัยนั้นพวกเราที่อยู่ร้านสหกรณ์ด้วยกัน ๕ - ๖ คนตั้งวงกินเหล้ากันทุกเย็น พอไม่มีเงินก็เซ็นเอาของในร้าน ไปขายเจ๊กในราคาต่ำกว่าที่ซื้อ  เรียกว่าซื้อแพงขายถูก

    เช่นน้ำมันใส่ผม มอร์เล่ย์ ขวดละ ๑๐ บาท ก็ขาย ๘ บาท ยาสีฟันวิเศษนิยมซองละ ๒ บาท ห่อละ ๑๐ ซองราคา ๒๐ บาท  ก็ขายได้ ๑๙ บาท เป็นต้น  

    ส่วนมากเราจะซื้อของชิ้นเล็ก ๆ ที่หิ้วไปได้ง่าย ๆ ขายให้ร้านชำหรือที่เรียกว่าร้านโชห่วย ในสมัยนี้ ซึ่งอยู่ แถวบางกระบือ แล้วก็เข้าร้านเหล้าแถวนั้นแหละ  

                       เว้นแต่บางวันจะมีเจ้ามือใหญ่ เป็นเพื่อนรุ่นพี่มียศเพียงสิบตรี แต่ที่บ้านเมืองนนทบุรี มีสวนทุเรียนหลายขนัด มีเงินทองมากมายไม่ต้องเป็นห่วง  เงินเดือนออกมาเท่าไร ก็จับจ่ายเลี้ยงเพื่อนหมด      

    ขณะนั้นเป็นช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งได้เริ่มขึ้นเมื่อ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ เวลา     ๐๔.๐๐ น.เกาหลีเหนือใช้กำลังประมาณ ๑๐ กองพล  จู่โจมข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ บุกเข้ายึดกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ได้ภายใน ๓ วัน  สหรัฐอเมริกาได้ส่งกำลังเข้าไปช่วยป้องกัน ในนามขององค์การสหประชาชาติ และประเทศไทยได้ส่งกำลังทั้งสามเหล่าทัพ เข้าร่วมรบกับสหประชาติด้วย
         
    นายจืดเพื่อนผม ได้สมัครไปราชการสงครามเกาหลี ในผลัดที่ ๕ เริ่มเดินทางประมาณ สิงหาคม ๒๔๙๖ จึงไม่มีโอกาสได้แสดงวีรกรรมเหมือนผลัดอื่น

    แต่ก็ยังมีเรื่องให้เป็นที่ ฮือฮากันจนได้  โดยเฉพาะกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยเหนือ ถึงกับมีผู้สื่อข่าวสงครามมาสัมภาษณ์ เอาไปลงหนังสือพิมพ์ทีเดียว

                       เรื่องนั้นก็คือ นายจืดไปไปราชการสงครามครั้งนี้ทั้งตระกูล คือตัวเขาซึ่งเป็นพลทหาร และพี่ชายยศสิบเอก กับบิดาซึ่งมียศเป็นจ่าสิบเอก กองพันทหารไทยผลัดนี้ จึงมีทหารนามสกุลเดียวกันถึง ๓ คน สามารถทำลายสถิติกำลังพลของทหารทุกชาติ ในสมรภูมิเกาหลีได้โดยสิ้นเชิง

                       ระหว่างไปราชการเขาก็เขียนจดหมายติดต่อกับผมโดยสม่ำเสมอ ซึ่งทำให้ผมนึกอยากจะเป็นทหารอย่างเขาบ้าง เมื่อเขากลับมาจากราชการสงครามเกาหลี เขาก็ได้มาเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของผมเหมือนเดิม  

    เขาน่าจะเป็นเพื่อนกินเหล้ากับผมไปได้อีกนาน  ถ้าไม่บังเอิญเกิดน้อยใจภรรยา  เลยคว้ายาฆ่าแมลงมาดื่มแทนเหล้า  ด้วยความเข้าใจผิดเพียงนิดเดียว

    คือเข้าใจผิดว่าภรรยาคงจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน
    แล้วผมก็กินเหล้ากับเพื่อนผู้อาวุโส ต่อไปอีกหลายปี จนกระทั่งเป็นทหารเกณฑ์ และเปลี่ยนมาเป็นทหารสื่อสาร อีกร่วมยี่สิบปีถึง พ.ศ.๒๕๑๗  

    หมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งรักษาโรคตับของผมจึงบอกให้เลิกดื่มเหล้าโดยเด็ดขาด  

    ผมกินยารักษาตัวอยู่ร่วมปี แล้วก็หันมาดื่มเบียร์ต่ออีกยี่สิบปี  จนเป็นแผลในกระเพาะอาหาร เพิ่มอีกโรคหนึ่ง ที่ทำให้คิดอยู่จนถึงบัดนี้ ก็ยังคิดไม่ตก ว่าจะเลิกกินเสียทีจะดีไหม ?

    ลืมเล่าไปว่าผู้กองซึ่งเป็นครู ที่สอนให้ผมกินเหล้าเป็นเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๙ นั้น ผมก็ ไม่ได้กินเหล้าร่วมกับท่านอีกเลย  เพราะท่านก็ไม่ได้อยู่ถึงวันขึ้นปีใหม่  ถัดมานั้นด้วยเหมือนกัน.
               
    ##########

    นิตยสารทหารปืนใหญ่
    ตุลาคม ๒๕๔๗

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 15 ส.ค. 50 05:07:32 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom