หมาหนาว .......ดีน ดาเรน
คืนนี้ผมจับได้ไม้สั้น
ผมทำงานอยู่ที่ร้านอะโกโก้แห่งหนึ่งแถวถนนสุริวงค์ ถนนกิเลสราตรีอย่างที่ใครบางคนว่า แต่ความจริงมันก็คือถนนแห่งสายอาชีพหนึ่งเช่นเดียวกับอาชีพสุจริตอื่นๆนั่นเอง
หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับ ม.3 ผมก็เข้ากรุงเทพฯเพื่อหางานทำ ผมลงรถที่ขนส่งหมอชิต ขึ้นแท็กซี่จะไปหาญาติที่ทำงานก่อสร้างแถวนนทบุรีตามแผนที่ที่ญาติส่งไปให้ผม แท็กซี่พาผมตระเวนจนหมดเงินไปกับค่ารถแล้วพาผมไปส่งไว้ที่หมอชิตตามเดิม
คืนนั้นผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงอาศัยแอบหลบนอนอยูในสวนจตุจักร ผมพบเด็กรุ่นเดียวกับผมซึ่งเดินเตร็ดเตร่อยู่เข้ามาชวนพูดคุยและชวนไปทำงาน จากการคุยกันผมพอฟังออกว่าเขาจะชวนผมไปทำงานอะไร ผมไม่ได้โง่นัก พอจะรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อยากจะคิดดีทำดีอย่างที่ควรจะเป็น แต่จะทำอย่างไรได้เพื่อปากเพื่อท้องที่หิวอยู่ผมจึงไม่มีสิทธิ์จะเลือกอะไรได้มากนัก
โชคดีหน่อยที่ผมเป็นคนหน้าตาไม่ขี้ริ้วขี้เหร่จึงพอเป็นใบรับรองการเข้าทำงานได้ งานที่ผมต้องทำก็ไม่ยากเย็นอะไรแค่ยืนยิ้มเข้าจังหวะกับเสียงเพลง ทนหนาวเอาหน่อยกับเสื้อผ้าน้อยชิ้นซึ่งบางทีก็ไม่มีเลย...ไม่อายอยู่แล้วเพราะเคยแก้ผ้าจับปลาในบ่อเลนบ่อยๆ
คิดถึงการจับไม้สั้นไม้ยาวครั้งแรกของผม...ผมคิดหนีทันทีเมื่อรู้ว่าจะต้องทำอะไร แต่เมื่อหนีเสือเข้าไปในบ่อจระเข้ยังไงก็โดนกัดวันยังค่ำ คืนนั้นผมวิ่งหนีออกจากร้านโดยมีพวกบึ้กๆวิ่งตามสามสี่คน พวกมันร้องกล่าวหาว่าผมวิ่งราว เราวิ่งหนีวิ่งไล่ตามซอกซอยแถวนั้นสักพักผมก็ถูกตำรวจจับ
ที่โรงพักกำลังวุ่นวาย ทั้งตำรวจในเครื่องแบบ นอกเครื่องแบบ ชายหญิงวัยรุ่นซึ่งเป็นผู้ต้องหาและวัยรุ่นที่ไม่ได้เป็นผู้ตัองหา ผมพยายามเล่าความจริงให้ตำรวจฟัง พี่บึ้กประจำร้านก็เล่าความจริงของเขาให้ฟังเช่นกัน คุณตำรวจทำท่างงๆแต่คงเข้าใจความจริงจึงลงบันทึกไปว่าผมมีความผิดฐานพกพาอาวุธมีดแล้วปล่อยตัวกลับ...กลับไปถูกซ้อมน่ะซิ!
ครั้งต่อๆมาไม้สั้นหรือไม้ยาวผมก็ไม่ยี่หระแล้วละ ช่างมัน!
เวลาตอกบัตรเข้างานของผมคือ 18.00 น. ถ้าใครมาสายถูกปรับ 200 บาท ขาดงานโดยไม่บอกล่วงหน้าปรับ 500 บาท และถ้าไม่อยู่จนร้านปิดก็อดได้ค่าแรงในวันนั้น...เท่าไหร่ทราบไหมครับ ค่าแรงประจำวันคือ 100 บาท ไม่มีเงินเดือน ไม่มีสวัสดิการอะไร อ้อ! มีกางเกงขาสั้นผ้าร่มอุบาทว์ๆหนึ่งตัวและมีหมอมาตรวจสุขภาพทุกเดือน เท่านั้นเอง
พวกผมมีชีวิตอยู่ได้จากทิปและเปอร์เซ็นต์จากค่าเครื่องดื่มที่ลูกค้าสั่งให้ ซึ่งไม่ค่อยมีลูกค้ามากนักเพราะร้านประเภทนี้มีมากเหลือเกิน เด็กๆอย่างผมยั้วเยี้ยไปหมดทั้งถนน
หลังงานเลิกประมาณตีหนึ่ง บางทีก็ตีสอง ผมจึงได้กินอาหารมื้อเดียวประจำวันของผม อาหารยอดฮิตคือข้าวเหนียวส้มตำ 30 บาทก็อิ่ม เหลือเงิน 70 บาทเป็นค่ารถ ค่าน้ำดื่มและค่าเช่าห้อง
กินส้มตำเสร็จแล้วผมต้องเตร็ดเตร่ เดินเล่นไปเรื่อยๆ บางทีก็นั่งที่สนามหญ้าหน้าสวนลุมพินีเพื่อรอให้ใกล้สว่างจึงจะกลับห้องพักที่เพื่อนผมเช่าอยู่กับแฟน พอพวกเขาไปทำงานประมาณเจ็ดโมงเช้าผมจึงเข้าห้องได้ ตอนเย็นเพื่อนกลับจากงานผมก็ออกไปทำงานพอดี เพื่อนคิดค่าเช่าเดือนละ 300 บาท ผมต้องเก็บเงินไว้วันละ 10 บาทเป็นค่าเช่าห้อง
วันหนึ่งแม่เขียนจดหมายมาขอเงินเพื่อจะเอาไปตัดดอก ธกส. ผมจะไปเอาที่ไหนกันละนี่?...ก็เพราะไม่อยากให้แม่กังวลใจผมจึงได้เคยบอกแม่ไปว่าผมมีงานทำที่ดี แม่จึงหวังจะให้ผมช่วยเหลือ...ลำพังรายได้วันละร้อยของผม ผมก็เป็นบ้านี่กิ๋นข้าวเหนียวตึงวันอยู่แล้ว!
เคยมีลูกค้าพาผมออกไปข้างนอกเหมือนกัน ผมขอยาเพื่อนกินหนึ่งเม็ดก่อนจะออกจากร้าน แล้วลูกค้าจะทำอะไรผมก็ทำไปเถอะ ผมเบลอๆไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่หรอก...ตรงนี้แหละที่ได้เป็นค่าเสื้อผ้าและค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ
ประชาชนอย่างผมจะเรียกว่าชั้นสองหรือชั้นสามดีครับ หรือไม่มีชั้นเลยถ้าดูจากการหาเลี้ยงชีพ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ผมยังเคยคิดดูถูกตัวเองเสมอ อยู่ไปวันๆมองหาอนาคตและหนทางที่ดีได้ยาก เพื่อนบางคนหวังอนาคตที่ดีจากลูกค้าที่จะมาจริงใจและรับเลี้ยง...คงยาก แม้หาได้เดี๋ยวเขาก็เบื่อ ถึงไม่เบื่อก็ไม่น่าจะยินดีกับสถานะภาพเช่นนั้นเลย มันหดหู่...เหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่ง!
โดยเฉพาะเพื่อนแล้วยิ่งหายาก เพื่อนร่วมอาชีพที่จะเป็นเพื่อนแท้หาแทบไม่มี ทุกคนต้องแสดงตัว ต้องอวดตัว ต้องแก่งแย่ง หรือไม่ก็งัวเงียอ่อนเปลี้ยเสียจนแทบจะไม่มีเวลาเสวนากับใคร...ก็กลับกลางวันเป็นกลางคืนกลางคืนเป็นกลางวันอย่างนั้น ทุกวันทุกคืน.....
แต่ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง...เอ้ย! ตัวหนึ่ง...มันคือไอ้ตูบหน้าปากซอยเข้าหอพัก เมื่อผมย้ายมาอยู่ใหม่ๆ มันเข้ามาตีสนิทอี๋อ๋อกับผม เพราะคงจะได้กลิ่นปลาร้าส้มตำที่ผมเพิ่งกินมาหมาดๆ คืนต่อมาผมจึงเก็บกระดูกไก่จากร้านส้มตำมาฝากมัน และผมก็ทำเป็นประจำทุกวัน
ไอ้ตูบมันคอยมารับผมหน้าปากซอยทุกคืน กระดิกหางแกว่งก้นให้ทุกครั้ง ก็กลิ่นกระดูกไก่มันหอมหวนออกอย่างนั้น มันคาบกระดูกเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง...บ้านของมัน...มันอยู่ตัวเดียวไม่มีเพื่อนพ้องหรือลูกเมีย แน่ละไม่มีเจ้าของคอยให้ความเมตตา คงว้าเหว่และต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเพียงลำพัง...เช่นเดียวกับผม
คืนหนึ่งผมกลับเข้าซอยเร็วกว่าปกติ ประมาณตีสาม มีวัยรุ่นสองคนเข้าประชิดตัว คนหนึ่งล็อคคออีกคนเอามีดจี้ ผมเห็นจวนตัวจึงปลดเป้สะพายให้อย่างที่พวกมันต้องการ ไอ้ตูบโผล่ออกมาจากความมืดกระโดดแยกเขี้ยวคำรามงับเจ้าสองคนเสียกระเจิง เออ...ค่อยคุ้มค่ากระดูกไก่หน่อย....
จากวันนั้นผมไม่กล้ากลับเข้าซอยในเวลาดึกๆอีก ต้องรอจนกว่าฟ้าสางจึงกลับเข้าหอ ผมกลัวไอ้สองคนจะกลับมาแก้แค้น ขนาดเวลาเย็นตอนออกไปทำงานผมยังหวาดๆกลัวพวกมันจะมาดักทำร้ายที่หน้าปากซอย ผมจึงต้องเดินเรื่อยเปื่อยทุกคืน คืนไหนง่วงจริงๆผมก็นอนมันตรงนั้นละ ตรงไหนก็ตรงนั้นที่มันไม่ประเจิดประเจ้อและไม่ผิดกฎหมาย
ความมืดอยู่ที่ไหนความมืดก็อยู่ที่นั่น ไม่มีหรอกแสงสว่าง ผมเคยเดินไปเรื่อยๆในสวนลุมฯเพื่อรอเวลาให้ถึงเช้า ใจหนึ่งลึกๆอยากเป็นสัตว์เลี้ยงของใครสักคนอย่างที่ตัวเองเคยนึกรังเกียจนักหนาเหมือนกัน.....
วันหนึ่งผมเดินไปพบวัยรุ่นพวกที่เคยเห็นนั่งเล่นอยู่ที่สถานีตำรวจ พวกเขาเดินปรี่เข้ามา ผมรีบชิ่งออกกลางถนน...ก็เลยรอดตัวมาได้ คืนต่อมาเจออีก คราวนี้มันยิ้มเหยียดๆเยือกๆหนาวเข้ากระดูก ผมจึงเลี่ยงไม่เดินไปทางนั้นอีก
ผมยังวิตกถึงเรื่องเงินตัดดอก ธกส. ของแม่...
ค่อยคิดแล้วกันนะ...ถึงเวลาทำงานจากผลของการจับไม้สั้นไม้ยาวแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่กินยาหนึ่งเม็ดแล้วขึ้นเวทีไปให้ไอ้เพื่อนที่จับได้ไม้ยาวมันรังแกให้ลูกค้าดู.....
พอลงจากเวทีพี่กัปตันมาจูงผมไปหาแขกคนหนึ่ง ผมพูดไม่ผิดหรอก ก็ลูกค้าที่เป็นแขกไง เขาใส่ชุดยาวๆที่มีผ้าคลุมหัวด้วย ผมใส่เสื้อผ้าทั้งที่ยังเบลอๆอยู่และตามออกไปกับแขกคนนั้น...เมื่อถึงที่พักของเขาปรากฏว่ามีแขกทะมึนอีกคนหนึ่งรออยู่...ผมรีบกินยาอีกสองเม็ด คิดกลัวๆอยู่ในใจว่าผมอาจจะตายจากการกระทำของแขกสองคนนี้ก็ได้ถ้าเขาเป็นคนไม่ดี แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ตายก็ตายนะ! คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาจึงทำให้ผมอึดได้ขนาดนั้น
ผมไม่ตายครับ...และแขกก็ใจดีให้เงินพอที่แม่จะใช้ตัดดอก ธกส. ได้ แล้วผมก็สะเงอะสะงะไปนั่งเบลองีบหลับด้านหลังของสวนลุมฯในที่มืดลับตาคน
กำลังจะเคลิ้มๆหลับผมเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาที่ผม ผมปรือตามองแล้วต้องสะดุ้ง...ไอ้พวกที่ผมหลบฉากมาได้สองหนสองครานั่นเอง ผมใจหายวาบรีบเอามือกุมกระเป๋าสตางค์แน่น แม่จ้วยเปิ้ลจิ่ม! ผมลุกขึ้นจะวิ่งหนีแต่ช้ากว่าพวกมัน...
กำลังคิดว่าคงแย่แน่แล้วผมก็ทรุดฮวบลงกับพื้น...ดาวลอยวูบวาบอยู่ตรงหน้า แค่เฮือกหายใจเท้าก็ลอยมาที่หน้าผมอีกตื้บ และอีกตื้บ พวกมันสี่ห้าคนรุมยำผม ผลัดกันตืบ ตึ้บๆปึ้กๆ...ผมชาไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ส่วนใหญ่พวกมันเลือกอัดแต่บนใบหน้า...โชคดีที่ใส่รองเท้าผ้าใบกันทุกคน
พอได้สติผมร้องขอความกรุณาให้พวกมันหยุดทำร้ายผมจะเอาอะไรก็เอาไป ผมกลัวว่ามันจะใช้อาวุธซึ่งผมคงเสียชีวิตแน่ แม้แค่เพียงจับผมโยนลงน้ำผมก็คงตายเหมือนกันเพราะว่ายน้ำไม่เป็น
กูไม่เอา กูไม่เอาของมีง มันคนหนึ่งตะคอกใส่ผม
มีงเป็นตุ๊ดใช่มั้ย ? ตื้บๆๆ
กูเห็นมีงหลายวันแล้ว ปึ้ก ตื้บ ผมยกมือไหว้ร้องขอชีวิต
มีงไม่ต้องไหว้กู ไอ้ตุ๊ด ผมกลัวตายมากยื่นกระเป๋าสตางค์ให้มัน
กูไม่เอาของมีง มีงไม่รู้จักกู อยากจะเข้าคุกหรือมีงไอ้ห่ะ
มีงอย่ามาเดินให้เห็นหน้าอีก แล้วผมก็ถูกรุมอัดอีกสักพัก
มีงจะได้หายหล่อ ไอ้ตุ๊ด :-) ! มันสำรอกทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
ผมมีแรงขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่รู้ วิ่งขโยกออกมาที่ถนนโบกมือเรียกรถแท็กซี่ พอคนขับรู้ว่าผมวิ่งหนีคนร้ายมาและเห็นใบหน้าที่ปูดบวมมีเลือดออกไหลโทรมของผมเขาก็เหยียบคันเร่งทิ้งผมไป ดีหน่อยที่คันที่สองยอมรับผม ผมขอร้องให้พี่แท็กซี่ไปส่งเท่าที่เงิน 70 บาทที่เหลือจะไปได้ แต่พี่เขาใจดีส่งผมถึงปากซอยหอพักและแนะนำให้ผมไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ...
ลงจากรถได้ผมทรุดนั่งกับฟุตปาทริมถนน ควักกระจกบานเล็กออกมาส่องดูหน้า จากแสงไฟข้างถนนผมเห็นหน้าของแดร็กคูล่าตนหนึ่ง ดวงตาบวมปลิ้นเต็มไปด้วยสีแดงช้ำของเลือดที่คั่งอยู่เต็มสองลูกตา ไม่มีตาขาวเหลืออยู่เลย คิ้วแตกเห็นเนื้อปนเลือด เหนือคิ้วและบริเวณหน้าผากปูดบวมออกมาอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะปูดบวมได้ขนาดนั้น เหมือนเสริมกะโหลกสุนัขไว้บนหน้าผาก แข็งๆปูดๆนี่มันมาจากไหนกัน ใต้ตาก็แตกช้ำ เลือดกำดาวยังซึมเกรอะกรัง ทั้งน้ำมูกน้ำลายและเลือดไหลเลอะเต็มเสื้อไปหมดทั้งตัว...ผมไม่เหลือแม้แต่สภาพของประชาชนชั้นเลวอยู่เลย.....
ผมเริ่มรู้สึกปวดบนใบหน้าและร่างกาย ผมค่อยๆลุกขึ้นก้าวเดินเข้าซอย ผมตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า นึกเสียดายเงินตัดดอกของแม่...แต่แล้วก็นึกได้ว่าพวกผู้ร้ายไม่ได้เอาไป...เอ...ทำไมมันจึงไม่เอาเงินของผม แล้วมันรุมกระทืบผมทำไม...ยังจำได้ที่มันทำเสียงสมเพชพูดว่าผมไม่รู้จักว่าพวกมันเป็นใคร และขู่จะเอาผมเข้าคุก...
หรือมันคือขาใหญ่ที่หมั่นไส้และอยากสั่งสอนผม...ถ้าเป็นมิจฉาชีพพวกมันต้องชิงทรัพย์ผมซิ...หรือว่า...จริงสิ ผมเคยเห็นพวกมันบนสถานีตำรวจนี่นา...หรือผมกำลังถูกสั่งสอนโดยคนที่ผมหวังจะพึ่งพาหาความปลอดภัยจากพวกเขาอยู่.....
โอ...ให้ตายซิ! นี่มันเรื่องจริง เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม ไม่ใช่เรื่องสั้นวันอาทิตย์ของหนังสือพิมพ์รายวันฉบับไหนๆทั้งนั้น.....
ไอ้ตูบเดินออกมาจากซอกมืด เมื่อเห็นผมมันไม่กระดิกหางอย่างเคย คงจำผมไม่ได้...มันก้มหน้า เหลือบตามองผมอย่างหวาดระแวงแล้วเลี่ยงลงข้างทาง ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว หรืออาจจะเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นตอนค่อนรุ่งปลายเดือนธันวาคมก็ได้...มันเหลือบตามองผมอีกครั้งแล้วแทรกตัวที่สั่นเทานั้นเข้าไปในพงหญ้าแห้ง.....
มันคงหนาวเข้ากระดูกเหมือนผมในขณะนี้กระมัง!.....
___________________
แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 50 18:05:28
แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 50 18:03:33
จากคุณ :
ดาเรน
- [
21 ส.ค. 50 16:35:43
]