Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    นิทานเรื่องครูทั้ง ๖ ผู้ไม่นิยมนุ่งผ้า (อฉันทลักษณาภรณ์)

    http://www.trekkingthai.com/board/photo/trekking/OXjksp4k.jpg

    นิทานเรื่องครูทั้ง ๖ มีปรากฏในวาระพระบาลีใจความว่า ครูทั้ง ๖ นั้น คือ

    ๑. ลัทธิปูรณะกัสสปะ (Purana Kassapa) แปลเป็นชื่อไทยชื่อว่า ธเนศ
    ท่านนี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในบรรดาครูทั้ง ๖ ในหนังสือสุมัคลวิลาสินีของพระพุทธโฆษาจารย์ปราชญ์ผู้เรืองนามราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ กล่าวว่า ครูผู้นี้เกิดในตระกูลวรรณะพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง แต่ต้องตกเป็นทาสเขา นายเงินมีทาสอยู่ ๙๙ คน ครั้นได้ทาสมาอีกคนหนึ่งจึงครบ ๑๐๐ นายเงินจึงให้ชื่อว่าเจ้าปูรณะ เหตุว่าเต็มร้อย แล้วจึงเรียกตามโคตรว่าเจ้าปูรณกัสสป ครั้นอยู่นานมา ปูรณกัสสปก็หนีจากนายเงิน ไปพบโจรทั้งหลายๆ ก็ชิงเอาผ้านุ่งผ้าห่มเสียหมด นายปูรณกัสสปก็ไปแต่ตัวเปล่า เข้าไปสู่บ้านแห่งหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายได้เห็นก็สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ จึงพากันให้ข้าวน้ำขนมและของกินต่างๆ นายปูรณกัสสปก็ยกตัวเป็นศาสดา มีศิษย์นับถือมาก เป็นนักบวชไม่นุ่งผ้า (อฉันทลักษณาภรณ์) แต่มีบางมติแย้งว่า คำว่าปูรณะมาจากการบรรลุโพธิญาณมากกว่า เป็นเรื่องยากที่คนวรรณะพราหมณ์จะลดตัวมาเป็นเด็กรับใช้ (แต่ข้าพเจ้าคิดแย้งว่า ถ้าพราหมณ์รับใช้พราหมณ์ก็ไม่น่าจะแปลกเพราะมีวรรณะเท่ากัน ประกอบกับ เป็นเรื่องที่น่าละอายที่วรรณะพราหมณ์ จะต้องตกเป็นทาส จึงไม่แปลกที่ จะต้องคิดเรื่อง หลบหนีจากนายเงิน) ปูรณะกัสสปะ มีคำสอนที่ว่า "วิญญาณนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานอะไร แต่ร่างกายต่างหากทำงาน วิญญาณจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลบุญและบาปที่ร่างกายทำไว้และกล่าวว่า บุญไม่มี บาปไม่มี ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว ทำเองก็ดีให้ผู้อื่นทำก็ดี ย่อมไม่มีผล สิ่งใดก็ตามที่ได้ทำลงไปแล้วดีก็ตาม ชั่วก็ตามเท่ากับว่าไม่ได้ทำไม่มีบุญหรือบาปเกิดขึ้น ทฤษฎีนี้เรียกว่า อกริยทิฏฐิ คือการกระทำที่ไม่มีผล หรือไม่เชื่อไม่เชื่อในผลของกรรม" ซึ่งค้านกับคำสอนของพระพุทธองค์ที่กล่าวว่า กายกับจิตเป็นสิ่งที่เนื่องถึงกัน แยกกันไม่ได้ ทำกรรมเช่นใดย่อมได้รับผลกรรมเช่นนั้น

    ๒. ลัทธิมักขลิโคสาล (Magghalikosala) แปลเป็นชื่อไทยชื่อว่า อวยพร
    ครูผู้นี้เป็นบุตรพราหมณ์ มารดาชื่อภัททา ณ หมู่บ้านสาลวัน ใกล้เมืองสาวัตถี พระพุทธโฆษาจารย์ กล่าวว่า คำว่าโคสาละ แปลว่าผู้เกิดใน โคสาล/โคศาลา/ศาลาเลี้ยงโค/คอกวัว สมัยเป็นเด็กเป็นคนรับใช้ วันหนึ่งเดินอุ้มหม้อน้ำมันไปตามถนน ด้วยความประมาทจึงลื่นล้ม ประกอบกับกลัวนายเงินจักทำโทษจึงลุกขึ้นวิ่งหนี นายเงินฉวยผ้านุ่งผ้าห่มไว้ จึงไปแต่ตัวเปล่า มาขลิ แปลว่า อย่าลื่น จึงใช้ชื่อว่ามักขลิ ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทั้งหลายเห็น มักขลิโคสาล ไม่ได้นุ่งห่มเสื้อผ้า ก็ชวนกันนับถือว่าเป็นพระอรหันต์ จึงพากันให้ข้าวน้ำขนมและของกินต่างๆ ลัทธินี้มีความเกี่ยวเนื่องกับศาสดา คือปารศวนาถต้นกำเนิดศาสนาเชน และเคยเป็นอาจารย์ของนิครนถ์นาฏบุตรมาก่อน ลัทธินี้มีชีวิตอย่างสกปรก ไม่ยอมรับอาหารที่เขาเจาะจงถวาย ไม่รับอาหารขณะมีสุนัขอยู่ข้าง ๆ หรือแมลงวันตอมอยู่เพราะถือว่าเป็นการแย่งความสุขของผู้อื่นไม่รับประทานป ลา เนื้อ ไม่ดื่มสุราและของมึนเมา ไม่สะสมข้าวปลาอาหาร ยามข้าวยากหมากแพง ลัทธิมีคำสอนว่า "สัตว์ทั้งหลาย ต้องฟื้นคืนชีพมาอีกไม่สูญหายไปจากโลกนี้และมีภพที่ไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงไ ม่ว่าภพชั้นต่ำหรือสูง สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย การกระทำไม่มี ผลของการกระทำไม่มีการกระทำที่เป็นเหตุเศร้าหมองไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความ บังเอิญและโชควาสนาและอำนาจของดวงดาว การกระทำทุกอย่างอยู่ภายใต้ชะตากรรม อำนาจของดวงดาวมีอำนาจเหนือสิ่งใดในพิภพ แม้แต่พระเจ้ายังตกอยู่ในอำนาจของโชคชะตา ด้วยคำสอนแบบนี้ มักขลิโทศาล จึงถูกจัดตั้งให้เป็นเจ้าลัทธิอเหตุกทิฏฐิ คือมีความเห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย สิ่งทั้งหลายเป็นมาของมันเอง โดยมันเองและเพื่อมันเองไม่มีใครสร้างและปรุงแต่ง" แนวคำสอนนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่าไร้ประโยชน์ที่สุดในบรรดาลัทธิทั้งหลาย ลัทธินี้สืบต่อกันมาไม่นานก็ขาดหายไป

    ๓. ลัทธิอชิตเกสกัมพล (Ajita kesakambala) แปลเป็นชื่อไทยชื่อว่า สายวรุณ
    ลัทธินี้ก่อตั้งโดยครูที่ชื่อว่า อชิตเกสกัมพล เป็นครูผู้มีชือเสียงก่อนพุทธกาลเล็กน้อย คำว่า เกสกัมพล แปลว่า ผู้มีผ้านุ่งผ้าห่มที่ทำด้วยผม เป็นผ้าที่หยาบและน่าเกลียด (เคราถึงนม ผมถึงตีน) มนุษย์ทั้งหลายได้เห็นก็สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ จึงพากันให้ข้าวน้ำขนมของกิน มีแนวความคิดที่รุนแรงคัดค้านทุกลัทธิรวมทั้งพุทธศาสนา ลัทธินี้สอนว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างขาดสูญ ไม่มีคนไม่มีสัตว์ ไม่มีมารดา บิดา ทำอะไรก็สักว่าแต่ทำเท่านั้นการบูชาบวงสรวงก็ไร้ผล การเคารพนับถือผู้ควรเคารพก็ไร้ผล โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี สัตว์ตายแล้วขาดสูญ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อตายแล้วก็จบที่ป่าช้า ไม่มีอะไรเกิดอีก บาปบุญคุณโทษไม่มี การทำบุญคือคนโง่ การแสวงหาความสุขจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ความสุขที่ได้มาจาก การปล้นสะดมภ์ ย่องเบา เผาบ้านสังหารชีวิตก็ควรทำ" ลัทธินี้ หนักไปในทางวัตถุนิยมยิ่งกว่าลัทธิใด เป็นลักษณะ อุจเฉททิฏฐิ ที่เชื่อว่า ตายแล้วขาดสูญ

    ๔. ลัทธิปกุธกัจจายนะ (Pakudha Kacchayana) แปลเป็นชื่อไทยชื่อว่า วชิระ
    ลัทธินี้ก่อตั้งโดยปกุธกัจจายนะ หนึ่งในคณาจารย์ที่มีชื่อเสียง เล่ากันว่าเกิดในตระกูลพราหมณ์ สมัยเด็กมีความสนใจทางศาสนาเป็นอย่างยิ่ง โตขึ้นจึงออกบวชแสวงหาโมกขธรรม จนบรรลุธรรมที่มุ่งหวัง แล้วสั่งสอนจนกลายเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ครูผู้นี้ถือว่า น้ำเย็นมีชีวิต ไม่กินไม่ใช้น้ำเย็น จะกินจะใช้ก็กินก็ใช้แต่น้ำร้อนและน้ำต้ม ถ้าไปในที่ใดก็ข้ามน้ำและเหยียบน้ำ ถือว่าศีลขาด จึงทำทรายให้เป็นกองขึ้นแล้วก็สมาทานศีลกับกองทรายแล้วจึงไป ซ้ำยังสอนว่า "สภาวะที่แยก หรือทำให้แปรเปลี่ยนไปไม่ได้อีก มี ๗ อย่างคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สุข ทุกข์ วิญญาณ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำหรือใครเนรมิตร เป็นสภาพที่ยั่งยืนตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่อาจให้สุข ทุกข์ ผู้ฆ่า ผู้ถูกฆ่า บาปกรรมจากการฆ่าจึงไม่มี เป็นแต่เพียงสภาวะที่แทรกเข้าไปวัตถุทั้ง ๗ เท่านั้น" ความเห็นของปกุธกัจจายนะจึงจัดเป็น สัสสตทิฏฐิ คือเห็นว่าโลกเที่ยง ซึ่งเป็นแนวคำสอนที่ตรงกันข้ามกับพุทธศาสนา ครูผู้นี้ชนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นพระอรหันต์ ฯ

    ๕. สัญชัยเวลัฏฐบุตร (Sanjaya Velatthaputra) แปลเป็นชื่อไทยชื่อว่า พิเชฐ
    ท่านสัญชัย เป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในสมัยพุทธกาล ครูผุ้นี้ได้ชื่อว่า สญชัยเพราะเป็นชื่อเดิม ที่เรียกกันว่า เวลัฏฐบุตร เพราะเป็นบุตรแห่งช่างจักสาน ได้ตั้งตนเป็นคณาจารย์สั่งสอนมหาชนว่า ตนเป็นพระอรหันต์ ชนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นพระอรหันต์ ฯ พระอัครสาวกคือ พระโมคคัลลานะและพระสารีบุต รก็เคยอยู่กับท่าน เป็นเจ้าลัทธิของพวกปริพพาชก ตั้งสำนักเผยแพร่ที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ชาวมคธเป็นจำนวนมากต่างนับถือในเจ้าลัทธินี้ แต่เมื่อพระอัครสาวกทั้งสองผละหนีไปพร้อมลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก จึงกระอักเลือดจนถึงมรณกรรม ท่านสัญชัยมีแนวคำสอนกลับกลอก เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่สามารถบัญญัติอะไรตายตัวอะไรออกไปได้ เพราะกลัวผิดบ้าง ไม่รู้บ้าง โดยคำสอนว่า "ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ มีก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง โลกนี้โลกหน้าไม่มีจะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ จะว่ามีก็ไม่ใช่ ไม่มีทั้งสองอย่าง วิญญาณไม่มี จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ มีก็ไม่ใช่ ไม่ใช้ทั้งสองอย่าง" ทฤษฎีของท่านสัญชัยจึงฟังยากจะเอาแน่ เอานอนไม่ได้ พูดซัดส่ายเหมือนปลาไหล ในกรตังคสูตร จึงกล่าวประณามว่า เป็นลัทธิคนตาบอด ไม่สามารถนำตนและผู้อื่นให้เข้าถึงความจริงได้ มีปัญญาทราม โง่เขลาไม่กล้าตัดสินใจใด ๆ ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่รู้จริงอย่างถ่องแท้

    ๖. นิครนถ์นาฏบุตรหรือศาสดามหาวีระ (Mahavira) แปลเป็นชื่อไทยชื่อว่า พินิจ
    ก่อนพุทธกาลราว ๔๓ ปี นิครนถ์นาฏบุตร หรือมหาวีระ (Mahavira) ก็ได้ก่อตั้งลัทธิศาสนาหนึ่งขึ้น ซึ่ง ปัจจุบันเรียกว่า ศาสนาเชน นิครนถ์นาฏบุตร นับเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในบรรดาครูทั้ง ๖ ตำนานกล่าวว่าเกิดที่กุณฑคาม เมืองไวสาลี แคว้นวัชชีของพวกเจ้าลิจฉวี ครูผู้นี้ได้ชื่อว่า นิครนถ์ เพราะเคยพูดเสมอๆ ว่า พวกข้าพเจ้าไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด พวกข้าพเจ้าขาดเครื่องร้อยรัดคือกิเลสเสียแล้ว กิเลสเครื่องร้อยรัดใน วาทะของเขานั้น ได้แก่ กิเลสเครื่องกังวล อันมีราคะเป็นต้น ซึ่งมีกังวลอยู่ในเรือนของเขาเป็นกิจ มีนา สวน บุตรภรรยา เป็นอารมณ์ที่เรียกว่านาฏบุตรนั้น เพราะเป็นบุตรของนางระบำ ด้วยวาทะของเขานั้น ชนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นพระอรหันต์ ฯ บิดานามว่าสิทธัตถะหรือสิทธารถะ เป็นกษัตริย์ลิจฉวีพระองค์หนึ่ง มารดาชื่อว่าตฤศลา(นางระบำ) เนื่องจากเป็นคนกล้าหาญ จึงได้ชื่อว่า มหาวีระ แปลว่า มีความแกล้วกล้าอาจหาญ ครั้งออกบวชแสวงหาโมกขธรรม ๑๒ ปี จึงบรรลุโมกษะ เมื่อได้บรรลุแล้วจึงได้นามใหม่ว่า ชินะ อันหมายถึงผู้ชนะแล้ว ท่านเป็นศิษย์ท่านปาร์ศวา (Parsva) ซึ่งถือว่าเป็นศาสดาองค์ที่ ๒๓ ผู้มีอายุห่างจากท่านมหาวีระเพียง ๒๕๐ ปีเท่านั้น คำว่า ศาสดาในศาสนาเชนเรียกว่า ตัรถังกร แปลว่า ผู้ถึงท่าคือนิพพาน โดยมหาวีระเป็นองค์ที่ ๒๔ ได้สั่งสอน อยู่ ๓๐ ปี จึงนิพพานหรือ นิรวาน (Nirvan) ก่อนพระบรมศาสดา อย่างไรก็ตาม มีสาวกของมหาวีระหรือนิครนถ์นาฏบุตรเป็นจำนวนมากที่เปลี่ยนกลับมาเป็นพุทธ สาวกเชนนับเป็นศาสนาที่ถือหลักการไม่เบียดเบียน หรืออหิงสาอย่างเอกอุ และที่มีแนวคิดใกล้คียงกันกับพุทธศาสนา แม้แต่การสร้างพระพุทธรูป ถ้าดูอย่างผิวเผินก็ไม่เห็นความแตกต่างจากพระพุทธรูปเท่าใด ยกเว้นจะเปลือยกายและมีดอกจันทน์ที่หน้าอกเท่านั้น ปัจจุบันมีเชนศาสนิกชนประมาณ ๖ ล้านคน ทั่วอินเดีย โดยมากมีฐานะดี เพราะเป็นพ่อค้าเสียส่วนใหญ่ จุดประสงค์ของลัทธินี้ก็เพื่อจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ โดยเรียกว่าโมกษะ คือต้องสำเร็จเกวลัชญาณก่อน โดยสอนว่า "การที่จะนำไปสู่โมกษะได้นั้นคือแก้ว ๓ ดวงคือมีความเห็นชอบ มีความรู้ชอบ มีความประพฤติชอบ เท่านั้น พระเจ้าเป็นเรื่องเหลวไหล พระเจ้าไม่สามารถบันดาลทุกข์สุขให้ใครได้ ทุกข์สุขเป็นผลที่สืบเนืองมาจากกรรม การอ้อนวอนก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไม่มีสาระ"ลัทธินี้ถือว่าการบำเพ็ญตนให้ลำบากคืออัตตกิลมถานุโยค ถือเป็นทางนำไปสู่การบรรลุธรรมที่เรียกว่า โมกษะ ผู้ที่ฝึกฝนดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดทางกาย วาจา ใจ กล่าวกันว่า ท่านมหาวีระบำเพ็ญขันติธรรมนานจนไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนเถาวัลย์ขึ้นพันรอบกายท่าน

    ต่อมาหลังพุทธปรินิพพาน ๒๔๐ ปีก็แตกออกเป็น ๒ นิกายคือ
    ๑. นิกายทิฆัมพร ยังถือเคร่งครัดเหมือนเดิม โดยไม่นุ่งผ้า เปลือยกายเหมือนเดิม
    ๒. นิกายเสวตัมพร นุ่งขาวห่มขาว ไว้ผมยาว แต่งตัวสะอาดสะอ้าน และคบหากับผู้คนมากกว่านิกายเดิม ที่เน้นการปลีกตัวอยู่ต่างหาก

    ครูทั้ง ๖ นี้เป็นคนพาลทำให้มนุษย์ชาวบ้านพินาศเสียเป็นอันมาก จากทางสวรรค์และนิพพาน เพราะฉะนั้น พระศาสดาจารย์จึงทรงตรัสว่า คบคนพาลเป็นการพินาศทั้งโลกนี้และโลกหน้า คบปราชญ์ก็ให้ได้ความเจริญทั้งโลกนี้และโลกหน้า

    ที่มา : หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย โดย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ



    ลัทธิไม่นุ่งผ้านี้มีปรากฎใน พระอภัยมณีคำกลอน ของสุนทรภู่ความว่า

    ไม่นุ่งผ้า คากรอง ครองหนังเสือ
    ประหลาดเหลือ โล่งโต้ง โม่งโค่งขัน
    น่าเหียนราก ปากมี แต่ขี้ฟัน
    กรนสนั่น นอนร่าย เหมือนป่ายปีน
    เหตุไฉน ใยหนอ ไม่นุ่งผ้า
    จะเป็นบ้า ไปหรือ ว่าถือศีล
    หนวดถึงเข่า เคราถึงนม ผมถึงตีน
    ฝรั่งจีน แขกไทย ก็ใช่ที


    เกิดคำถามขึ้นมาว่า ชีเปลือยในเรื่องนับถือลัทธิอะไร?
    เฉลย นับถือลัทธิ อชิตเกสกัมพล เพราะในกลอนบอกว่า หนวดถึงเข่าเคราถึงนมผมถึงตีน ตรงกับลัทธิ อชิตเกสกัมพล (ผู้มีผ้านุ่งผ้าห่มที่ทำด้วยผม)

    ท่านสุนทรภู่เขียนโดยเล่นคำที่ใช้ "อีน" ซึ่งมีเพียงสี่คำในภาษาไทยเป็นการโชว์ลีลาสุดยอดการเขียนกลอน กลอนอีน นี้ นายผี ก็เคยสำแดงฝีมือไว้ ความว่า

    อัศนี พลจันทร : เที่ยวงานฉลอง

    โอ้ลูกสาวแสนสวยใครนวยนาฏ
    เผ่นผงาดงามสมตึงนมตั้ง
    ผิว์พ่อแม่แลปลื้มลืมระวัง
    เป็นต้องนั่งน้ำตาตกคาตีน
    พวกผู้ดีดูไปซิใจชั่ว
    ล้วนแต่ตัวตีหน้าข้าถือศีล
    พอลับตาบ้าร้ายเล่นป่ายปีน
    ฝรั่งจีนแขกไทยไม่ยั้งมัน

    นอกจากนี้ ในพระอภัยมณีคำกลอน ยังได้กล่าวถึง โยคี ไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น

    เห็นโยคีขี่เมฆมาเสกเวท
    จึงอาเพศพวกผีหนีคาถา
    ขึ้นหยุดยั้งนั่งบนใบเสมา
    ไหว้เจ้าตาทูลถามดูตามแคลง
    มาถึงนี่ผีพร้อมเข้าล้อมหลาน
    คิดว่าบ้านถิ่นประเทศเป็นเขตแขวง
    เข้าหักหาญราญรอนจนอ่อนแรง
    นี่กำแพงเมืองตั้งแต่ครั้งไรฯ

    สำหรับ โยคี ผู้ขี่เมฆ พระอาจารย์ของสุดสาคร ในเรื่องพระอภัยมณีคำกลอน น่าจะเป็น ฤาษี มากกว่า เพราะตามเนื้อเรื่อง พระอาจารย์ก็ไม่ได้สอนวิชา โยคะ ให้กับสุดสาคร ท่านสอนแต่ศิลปะการต่อสู้และสอนวิทยาคม

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 18:12:55

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 18:12:22

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 18:11:17

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 18:06:34

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 12:41:06

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 12:39:21

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 12:37:22

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 12:36:35

    แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 12:35:17

    จากคุณ : กวินทรากร - [ 23 ส.ค. 50 12:29:58 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom