ชี้แจง
บทความเรื่องนี้ถูกใช้เป็น "การบ้าน" ส่งในวิชาพุทธศาสนา ให้หัวข้อว่าได้อะไรมาบ้างจากการไปสวนโมกข์ แต่บังเอิญคนเขียนนึกไม่ออกว่าได้อะไรบ้าง เลยเขียนเล่าไปวัน ๆ เสียเลย ดีชั่วอย่างไรช่วยพิจารณ์ด้วยนะครับ จะได้เป็นประโยชน์ต่อการทำการบ้านในครั้งต่อไป =_="
เรื่องเล่าจากสวนโมกข์
เมืองไชยาในอดีตเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรพุทธศาสนานิกายมหายานที่สำคัญที่สุดอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งยังคงทิ้งร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองในอดีตไว้มากมาย ทั้งในปัจจุบันเมืองไชยาก็ยังเป็นแหล่งประดิษฐานของพระพุทธศาสนาที่มั่นคงมากอีกแห่งหนึ่งด้วย
สวนโมกขพลาราม หรือนามเดิมวัดธารน้ำไหล เป็นจุดหมายของการเดินทางทัศนศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งย่างก้าวแรกที่ก้าวเข้าไป ก็เกิดความประทับใจในแมกไม้เขียวชอุ่ม ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นป่าที่สมบูรณ์ที่สุดในแถบนี้ ความร่มเย็นของไม้ใหญ่ทั้งหลาย ผสานกับคลื่นความสงบเย็นอันสัมผัสได้จากบรรยากาศ ผู้คน สภาพแวดล้อม ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก จากที่แต่เดิมไม่แน่ใจว่าการมาสวนโมกข์จะเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ (อ้างอิงจากประสบการณ์เลวร้าย 12 ชั่วโมงนรกแตกบนรถไฟ)
หลังจากฟังคำเกริ่นนำคร่าว ๆ เกี่ยวกับสวนโมกข์และท่านพุทธทาสจากหลวงตาท่าทางอารมณ์ดีรูปหนึ่งแล้ว (พวกเราแอบเรียกท่านว่า หลวงตาสราญรมย์) พวกเราก็ได้แยกย้ายกันไปพักในโรงเรือนซึ่งจัดเตรียมไว้รับรองผู้เข้ามาเยี่ยมชมสวนโมกข์โดยเฉพาะ
โรงเรือนก่อจากอิฐกึ่งไม้ มีลักษณะเรียบง่าย และมีแต่สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริง ๆ ปลั๊กไฟภายในโรงเรือนนั้นไม่มี ทำให้พวกกิเลศหนาทั้งหลาย (รวมถึงผมด้วย) ต้องไปหาที่เสียบชาร์จโทรศัพท์เอากับศาลารับรองข้างหน้าวัด ตรงกันข้ามกับโรงนอน เป็นหอฉันของพระ ทีแรกผมกับเพื่อนก็นัดกันว่าจะไปทานข้าวฟรีกันที่หอฉัน แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบทำให้พวกเราหน้าบางกันหมด ไม่กล้าไปกระลิ้มกระเหลี่ยอยู่แถว ๆ นั้น ทั้งจำยอมอุดหนุนอาหารราคาแพงหน้าวัดทุกมื้ออีก
หลังจากพักผ่อนกันสักครู่ ก็ถูกเรียกไปรวมกันเพื่อทัวร์ทั่ววัด ก็เริ่มกันตั้งแต่ลานดินอันท่านพุทธทาสใช้เป็นสถานที่ทำงานครั้งเมื่อท่านยังไม่ดับขันธ์ ตรงนั้นมีเก้าอี้ไม้ มีแคร่เล็ก ๆ มีโต๊ะ มีหนังสือผลงานของท่านพุทธทาส รวมทั้งหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าตัวจริงของท่านอีกด้วย
พวกเราเดินตัดลานดินนั้นทางด้านหลัง สู่ผืนหญ้ากว้างผืนเขียวขจี ซึ่งมีรูปจำลองพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตตรัยประทับเด่นเป็นสง่ากลางลานหญ้า จากที่อ่านมาในหนังสือ ประติมากรรมชิ้นนี้ถูกค้นพบโดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งเสด็จเยือนเมืองไชยา เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนามหายานในอดีตกาล พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์นุ่มนวลเมตตา ซึ่งหลวงตาก็ได้กรุณาเล่าให้ฟังเป็นเกร็ดความรู้ว่า พระศรีอาริยเมตตรัยนั้น ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุด และมีความเมตตามากที่สุดด้วย แล้วหลวงตาก็ยังได้กล่าวถึงจตุคามรามเทพ เครื่องร้อยจมูก..เอ๊ยเครื่องห้อยคอที่ฮอตฮิตที่สุดในปัจจุบันนี้ ว่าไม่น่าจะมีแหล่งที่มาจากพุทธศาสนา แต่น่าจะมาจากท้าวขันธุคาม หรือ ขันธกุมาร พระกุมารแห่งพระแม่อุมาเทวีกับพระศิวะจากศาสนาพราหมณ์เสียมากกว่า
หลังจากนั้น พวกเราถูกพาไปเยี่ยมชมเรือนนางงาม นางงามที่ว่าเป็นโครงกระดูกสามโครง มีโครงใหญ่สอง โครงเล็กอีกหนึ่ง ใช้สำหรับเตือนใจให้ฉุกคิดว่าไม่ควรหลงงมงายอยู่กับแค่หนังบาง ๆ ที่ปิดบังเนื้อเลือดกระดูกมูตรน้ำเหลืองน้ำหนองอันน่ารังเกียจ ไม่น่ายึดถือเป็นเจ้าของ และกลางเรือนนางงามนั้นก็มีรูปราหูอมจันทร์ศิลปะธิเบต ใจกลางดวงจันทร์มีรูปต่าง ๆ มากมายเป็นปริศนาธรรมที่แสดงถึงปฏิจสมุปบาท หลวงตาได้กรุณาอธิบายเกี่ยวกับปฏิจสมุปบาทอย่างคร่าว ๆ ว่า คือเหตุปัจจัยที่อิงอาศัยก่อกำเนิดจากกันเป็นทอด ๆ เช่นรูปก่อเวทนา เวทนาก่อตัณหา ตัณหาก่ออุปทาน อุปาทานก่อภพ ภพก่อชาติฯ เป็นต้น
ต่อจากเรือนนางงาม พวกเราก็ได้รับเกียรติให้ขึ้นไปเยี่ยมชมโบสถ์ของวัดสวนโมกขพลาราม ซึ่งระหว่างทางมีอนุสรณ์สถานของท่านพุทธทาสอยู่ หลวงตาเล่าให้ฟังอีกว่า ณ จุดนี้เป็นสถานที่ที่เคยใช้เป็นเชิงตะกอนในการฌาปนกิจสังขารของท่านพุทธทาส และกล่าวอีกด้วยว่าการที่ท่านพุทธทาสมีพินัยกรรมเช่นนี้ก็มีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าเมื่อเกิดจากดินก็ขอกลับสู่ดิน ไม่จำเป็นต้องมีช่อฟ้าใบระกามาครอบคลุม ไม่จำเป็นต้องมีโกศทองลงยามารองรับร่างให้เอิกเกริก ทั้งนี้ยังได้ยกตัวอย่างบุคคลสำคัญซึ่งอยู่กลางดินทรายตลอดทั้งพระชนม์ชีพอีกด้วย (พระพุทธเจ้านั่นเอง)
โบสถ์ที่นี่เป็นโบสถ์ที่ไม่มีสีมา แต่มีเครื่องแสดงขอบเขต หรือศัพท์บาลีเรียก นิมิต เป็นต้นไม้ ก้อนหิน หรือต้นเสาแทน ซึ่งโบสถ์รูปแบบนี้อยู่ในพระวินัยอนุญาตของพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน บริเวณสถานที่นั้นไม่มีสิ่งก่อสร้างหรืออาคาร เป็นเพียงแต่เนินเล็ก ๆ บนยอดเขาเตี้ย ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูงให้ร่มเงา พื้นเป็นลานดินเตียน มีหินวางกระจายอยู่ในอาณาเขต เหมือนดั่งอาสนะไว้สำหรับให้พระสงฆ์มาใช้ยามที่มีสังฆกรรม หรือมีสวดปาฏิโมกข์
เมื่อเราลงจากเขาเตี้ย ๆ นั้น ก็ได้พบกับอาคารโรงมหรสพทางวิญญาณ เบื้องหน้าที่เห็นเด่นชัดสะดุดตาคือรูปวาดบนผนังภายนอก ที่วาดเลียนศิลปะอียิปต์เป็นรูปผู้ที่มีศีรษะเป็นดวงตาดวงใหญ่เปล่งแสงสว่างเรืองรอง กำลังแจกดวงตาให้แก่คนไร้หัว และมีคนไร้หัวตัวดำตัวแดงวิ่งพล่านอยู่เป็นหมู่ในฉากหลัง หลวงตาท่านก็อธิบายอีกว่า ภาพดวงตาหมายถึงธรรม ดวงตาเห็นธรรม ผู้ที่ไม่มีดวงตานี้ย่อมยิ่งพล่านไปมาเพราะความรัก โลภ โกรธ หลง แต่เมื่อใดที่กลับมารับดวงตา ก็ย่อมมองเห็นทางกระจ่างในการเดินหลีกพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 18:57:34
จากคุณ :
ปฤษณะ
- [
23 ส.ค. 50 18:56:26
]