ที่มา : เป็นการบ้านวิชาตรรกวิทยา ให้อ่านบทความ 'ความรักและความเถื่อน' ของคุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล แล้วเขียนบทความตามใจท่านไม่ต่ำกว่า 3/4 หน้า อาจจะอ่านงงเล็กน้อย หากท่านไม่เคยผ่านตาบทความต้นเรื่องมาก่อน
เถื่อนอารยะ
มีถ้อยคำอยู่ประโยคหนึ่งซึ่งผมชอบยกมาอ้างอยู่บ่อย ๆ หากท่านนอบน้อม ท่านก็จะได้รับความเคารพ ซึ่งผมมักใช้เพื่อยืนยันมุมมองเชิงจริยธรรมว่า มนุษย์ไม่ควรทำสิ่งใดที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นทำกับตน ผมมองว่ากฎข้อนี้เป็นกฎพื้นฐานอันเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับสังคมมนุษย์
ตั้งแต่ยุคตาต่อตาฟันต่อฟัน หรือที่น่าจะเรียกว่า Wild Era มนุษย์ได้มีการขัดเกลาความดิบเถื่อนของพวกเขาด้วยสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมและจารีต แต่ความดิบของมนุษย์หายไปจริงหรือ ซึ่งผู้เขียนความรักและความเถื่อน ก็ได้ตอบคำถามไว้อย่างน่าฟังว่ามันยังคงอยู่กับเรา และรอจังหวะเผยตนยามที่ถูกต้อนให้จนมุม
เขาอ้างพฤติกรรมของบั๊ก สุนัขบ้านซึ่งแทนสัญลักษณ์ของผู้เจริญอารยะแล้ว หลังจากความเจ็บปวด การถูกทำร้าย การทรยศหักหลัง และการสูญเสีย ..พงไพรก็เพรียกมันกลับไป
สัญลักษณ์อีกด้านถูกแสดงไว้อย่างเด่นชัดด้วยพฤติกรรมในอดีตของตัวผู้เขียนเอง เจ้าบั๊กเวอร์ชั่นนักศึกษามธ. ผู้ถูกกดดันให้ดุร้าย เจ้าเล่ห์ ซึ่งผู้เขียนได้อ้างว่านี่คือการดิ้นรนเอาตัวรอดเยี่ยงหมาจนตรอก
สัญลักษณ์ทั้งสองพลิกกลับไปกลับมาภายใต้เรื่องเล่า ด้วยการบีบคั้น และการเปิดทางถอย (ผู้เขียนฯเรียกว่ามิตรภาพ) เงินยี่สิบบาทที่ให้ด้วยความเต็มใจ เปิดทางถอยให้แก่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ได้มื้อหนึ่ง ทำให้เธอไม่ต้องเสแสร้งแกล้งกระทำไปหนึ่งครา
เมื่อผมอ่านถึงเรื่อง คนใบ้ที่พูดได้ คำถามหนึ่งก็แวบเข้ามา มนุษย์เราที่แท้แล้วดีหรือเลว? หากวิเคราะห์จากมุมมองของผู้เขียน มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่ได้ดีหรือเลว แต่เพราะความบีบคั้นกดดันจึงทำให้ต้องใช้ความดิบเถื่อนที่อยู่ก้นบึ้งอันพวกเขามีร่วมกับสัตว์ทุกชนิดออกมาตอบโต้กับสถานการณ์นั้น ๆ ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นชุดความคิดของเขาจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือผู้เขียนเชื่อว่าการเปิดทางถอยเป็นเรื่องที่ดี จากประโยคสุดท้ายที่เขากล่าวว่า เวลาที่ผมช่วยคุณหรือคนอื่น ๆ ผมไม่ได้ให้แค่เงินหรือวัตถุเท่านั้น มันมีถ้อยคำบางอย่างที่ถูกส่งต่อไปด้วย คุณเข้าใจมั้ย ..เชื่อไหมว่า ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าใจดีกว่าใคร ๆ
ตอนนั้นผมยังอยู่ชั้นมัธยมต้น ผมมีเรื่องขัดแย้งกับหัวโจกของห้อง เขามีอิทธิพลต่อคนส่วนใหญ่ในห้อง และเป็นสาเหตุของการถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่หยุดหย่อนของผม พวกเขากีดกัน ไม่ให้ความช่วยเหลือ และด่าทอเสียดสี บางครั้งก็รุมกระทืบผม
ผมเป็นคนทระนง อาจจะถึงขั้นหยิ่ง ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร ผมไม่บอกครูหรือพ่อแม่ และทนรับเรื่องราวเหล่านั้นมาเกือบห้าปีเต็ม wild ของผมอาจจะเป็นความเย็น เย็นเยือกยิ่งกว่าธารน้ำแข็ง ผมเย็นชา ไร้น้ำใจ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ผมมีแต่โลกของผมและหนังสือที่ผมรัก ผมต่อต้านสังคมและเชื่อว่ามนุษย์ไม่ต้องการเพื่อน มันอาจจะเป็นวิญญาณอิสระอันเปลี่ยวเหงา แต่สำหรับช่วงเวลานั้นเบื้องหลังกำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาคือพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผมแล้ว
เหมือนในบทความตัวอย่าง ผมดุร้ายและเจ้าเล่ห์ขึ้น ผมเรียนรู้วิธีการหลีกเลี่ยงเพื่อแว้งกัดอย่างเจ็บแสบ มีครั้งหนึ่งที่ผมรวบรวมหลักฐานบางอย่างส่งไปห้องปกครองจนกระทั่งอาจารย์ฝ่ายปกครองต้องเรียกผู้ปกครองของผมและหัวโจกคนนั้นไปคุยกัน เขาถูกลงโทษ ผมยิ้มเยาะเพราะเขาคงคาดไม่ถึงว่าผมจะทำเช่นนั้นได้ แต่นั่นก็ยิ่งทวีความเกลียดชังระหว่างกันเข้าไปอีก
ครั้งต่อมาใครสักคนแกล้งผมด้วยการนำข้าวของส่วนตัวไปซ่อน แต่คราวนี้ผมไม่ทนอีกแล้ว ผมเดินไปหาพวกมันที่กำลังหัวเราะด้วยเรื่องของผมอยู่ ผมเรียกมันออกมา แล้วผมก็ต่อยหน้ามัน มันชกสวน ผมรู้สึกปวดหนึบ ๆ ที่ข้างแก้ม ทั้งมึน ๆ หูอื้อไปหมด แต่ผมก็กระชากคอเสื้อมัน แล้วต่อยซ้ำ ผมรัดคอมัน กระแทกจนล้มลงพื้นทั้งคู่ โชคดีที่ผมอยู่ข้างบน ผมจับหัวมันโขกพื้นปูน แล้วต่อยมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไม่รู้ว่ามันแน่นิ่งไปแล้ว เลือดที่เปื้อนอกเสื้อของผมก็มีทั้งเลือดกำเดาจากผมเองและของมัน
ใครสักคนตะโกนบอกว่าครูมา และนั่นดึงผมให้กลับมาสู่โลกแห่งอารยธรรมอีกครั้ง แล้วเราทั้งคู่ก็ถูกนำไปส่งห้องพยาบาล
ฉากจบของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อมีใครบางคนพยายามอย่างหนักเพื่อละลายกำแพงของผม มันกินเวลาถึงสองปีกว่าผมจะเปิดใจยอมรับเขาเป็นเพื่อน หลังจากนั้นก็มีการตกลงจบเรื่องบาดหมางทุกอย่างกับหัวโจกของห้องที่บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้งตอนมัธยมปลาย ตอนแรก ๆ ก็ยังมองหน้ากันไม่สนิทดีนัก แต่เวลาก็ช่วยเยียวยา จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมบอกได้เลยว่าผมดีใจจริง ๆ ที่เราทั้งคู่ส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กันได้
แต่วิญญาณอิสระอันเปลี่ยวเหงายังไม่จากผมไปไหนไกล มันยังวนเวียนกระทั่งกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตของผม มันคือตัวตน ความคิดที่ซ่อนอยู่ในการกระทำอันแสดงออกมา
ความดิบเถื่อนของมนุษย์ไม่ได้หายไป มันพัฒนาขึ้นพร้อมกับอารยธรรม กลายเป็นความโดดเดี่ยวของมนุษย์ทุกคนภายใต้ท่าทีอันเป็นมิตร ประโยคนี้ยืนยันได้ดี
หากท่านนอบน้อม ท่านจะได้รับความเคารพ
มนุษย์ไม่กระทำสิ่งใดเพราะกลัวว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตน เป็นกลไกเดียวกันกับความเถื่อนที่สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเอง เพราะเขากลัว เขาจึงก้าวร้าว แล้วเราจะอธิบายอย่างไรกับผลิตผลที่เกิดจากความกลัวเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าผมยังคงมีรอยแผล ผมกลัวความสัมพันธ์ และไม่เคยไว้วางใจใครอีกเลย แม้ภายนอกผมจะเสแสร้งแกล้งทำได้เหมือนจริงสักแค่ไหน หัวใจของผมปวดหนึบอยู่ลึก ๆ เมื่อสัมผัสความอบอุ่น
แทบทุกคนอาจจะกำลังนั่งเลียบาดแผลของตนอยู่ บางคนแผลตื้น บางคนแผลลึก บางคนหายเร็ว บางคนหายช้า แต่ใครจะรู้ได้ว่าสิ่งที่เยียวยาบาดแผลเหล่านั้นได้ดีที่สุด คือความรัก หรือความเถื่อน!?
----------------------
ช่วงนี้ผมโรคจิต ชอบเอาการบ้านมาโพสต์ในเน็ต =[]="
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 50 21:34:46
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 50 21:34:17
จากคุณ :
ปฤษณะ
- [
2 ก.ย. 50 21:33:24
]