เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หากแต่บางครั้ง ความทรงจำเก่าๆก็ยากที่จะลืมเลือน
พฤษภาคม 2549 .....
ในขณะที่กรุงเทพอากาศร้อนอบอ้าวราวกับอยู้ใกล้เตาเผาอะไรซักอย่าง ฉันตัดสินใจเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดกาญจนบุรี จุดหมายไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเมืองหากแต่ใกล้ชายแดนไทยพม่าฝั่งตะวันตก...
ตำบล ปิล็อค อำเภอ ทองผาภูมิ คือบ้านเกิดของฉัน... ชื่ออาจฟังดูไม่คุ้นหู เพราะคำว่าปิล็อคนั้นเรียกกันตามชาวพม่า มอญ ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานเมื่อหลายสิบปีก่อนฉันเกิดเสียอีก....
ถ้าย้อนเวลากลับไปสักสิบห้าปี...กว่าที่ฉันจะเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อกลับบ้าน คงต้องใช้เวลาตลอดวัน ทั้งๆที่ระยะทางก็ไม่ได้ใกลนักหนา แต่คงเป็นเพราะสภาพถนน โดยเฉพาะตั้งแต่อำเภอทองผาภูมิเรื่อยไปจนถึงบ้านฉันนั้น เป็นเส้นทางคดเคี้ยว ถนนลัดเลาะไปตามไหล่เขาสูงชัน บางช่วงของถนนนั้นแคบจนรถไม่สามารถวิ่งสวนทางกันได้ ตลอดสองข้างทางที่รถวิ่ง เมื่อมองออกไป ด้านหนึ่งจะเป็นภูเขา อีกด้านหนึ่งเป็นเหวลึก ต้นไม้ใหญ่เบียดกันอย่างหนาแน่น พื้นถนนเป็นดินเลน ก้อนหินทั้งเล็กและใหญ่กระจัดกระจายไปตลอดเส้นทาง หากวันไหนอากาศชื้น หรือฝนตก ถนนก็จะลื่น ถ้าไม่คุ้นเคยกับเส้นทางอาจขับรถลงเหว ชนิดที่ว่าตกลงไปแล้วไม่ต้องลงไปค้นหาศพกันเลยทีเดียว
ครั้งหนึ่งเกิดดินถล่มถนนขาดช่วง พี่สาวคนหนึ่งของฉันพร้อมคนอื่น ต้องติดอยู่กลางป่า ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น กว่าที่รถของทางการจะเข้ามาช่วยเหลือได้ก็เป็นรุ่งเช้าของอีกวัน ...ฉันโชคดีไม่เคยต้องไปนอนในป่าแบบนั้น จะมีก็แค่ครั้งหนึ่งตอนอายุสิบสาม มีแข่งกีฬาสีประจำจังหวัด ระหว่างทางกลับบ้านฝนตกหนักรถติดหล่ม เด็กทุกคนต้องลงมานั่งรอดูผู้ใหญ่เข็นรถอย่างเหน็ดเหนื่อย พวกเราต่างรอลุ้นด้วยใจจดจ่อ กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ หิวข้าวจนตาลาย.......
อำเภอทองผาภูมิ ถูกจัดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะด้านที่ติดกับประเทศพม่ายังนับว่าอุดมสมบูรณ์มาก ภูเขาสูงชันที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมสลับไปมานับร้อยลูก ท่ามกลางภูเขาสูงเหล่านี้ มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ และนั่นคือ บ้านฉันเอง ถ้าจะเรียกฉันว่าเด็กหลังเขาก็คงไม่ผิดหรอก
อากาศที่บ้านนั้นเย็นสบายตลอดปี จะมีก็แต่ฤดูฝนที่ยาวนาน ฝนตกทุกวันชนิดที่ว่าไม่ได้เห็นเดือน เห็นตะวันกันเลย
ผู้คนที่ตั้งรกรากมาก่อนก็เป็นชาวมอญ และชาวพม่า คนไทยนั้นตามมาอยู่ทีหลัง และถึงแม้จะต่างเชื้อชาติต่างภาษา ฉันก็เห็นว่าคนเหล่านี้ล้วนถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน หลายคนแต่งงานมีลูกมีหลาน และฉันเองก็เป็นส่วนผสมของสองเชื้อชาตินี้........
เพราะสภาพภูมิศาสตร์เป็นภูเขา การทำเหมืองแร่จึงถือกำเนิดขึ้นมา หากใครเคยอ่านเหนังสือเรื่อง เหมืองแร่ ของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ฉันขอบอกว่าบรรยากาศไม่ต่างกันเลย แม้กระทั่งนายจ้างก็ยังเป็นฝรั่งออสเตรเลีย และเมื่อตอนที่เขาเอาหนังสือมาทำเป็นหนัง พอฉันได้ดูก็พลอยให้รู้สึกคิดถึงบรรยากาศที่บ้านเมื่อครั้งยังเด็กเสมอ........
ฉันยังพอจะจำขั้นตอนการระเบิดภูเขา ฉีดหาสายแร่ ร่อนแร่ แม้กระทั่งขั้นตอนการซื้อขาย แร่ดีบุกนั้นได้ราคาดี รองลงมาก็เป็นแร่วุลเฟรม ที่เล่ามาไม่ใช่ว่าฉันไปขุดหาแร่แต่เด็ก แต่เพราะฉันเกิดและเติบโตท่ามกลางสถานการณ์เหล่านั้น........
ในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้า ยามค่ำคืน อากาศเย็นสะท้าน หมู่บ้านในหุบเขา ไม่มีแสงไฟจากหลอดนีออน ตะเกียงกับแสงเทียนในโคมกระดาษจึงเป็นเพียงแหล่งกำเนิดแสงเพียงอย่างเดียวที่หมู่บ้านเรามี...ฉันจำไม่ได้ว่าอากาศเคยร้อนที่บ้านหรือไม่ รู้แต่เพียงว่า เราไม่เคยใช้พัดลม หากคิดอยากดื่มน้ำเย็น ๆ ก็ไม่เห็นต้องเคยพึ่งพาตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า ก็ไม่ต้องใช้ สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นของไม่จำเป็นในหมู่บ้าน อาหารการกินหลายอย่างแทบไม่ต้องซื้อหา ชาวบ้านจะแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันตามแต่ละครอบครัวมี บ้านฉันเลี้ยงเป็ดและไก่ เช้าก่อนออกไปเรียนฉันมีหน้าที่เก็บไข่ เอาไปแบ่งให้เพื่อนบ้านได้หลายครอบครัว ตกเย็นหลังเลิกเรียน ผักผลไม้หรือขนมหวานที่ทำกันเอง ก็เป็นของที่ฉันมักได้รับกลับบ้านเกือบทุกวัน.........
เงินทองไม่ค่อยจำเป็นนักสำหรับชาวบ้าน เพราะแม้แต่ยามป่วยไข้ ก็ไม่เห็นจะต้องพึ่งหมอหรือไปโรงพยาบาลที่อยู่ไกลหมู่บ้านและหนทางทุลักทุเล วิธีการธรรมชาติบำบัดดูเหมือนจะเป็นทางเลือกเดียวที่ทุกคนยอมรับ ถ้ารักษาไม่หายก็ตายกันไปเลย...
วิถีชีวิตของผู้คนที่หมู่บ้านจึงเรียบง่าย ทุกคนต่างปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยที่ไม่เห็นจะมีใครคิดหาผลประโยชน์หรือทำลายธรรมชาติที่ตัวเองได้พึ่งพาอาศัยอยู่...........
เวลาเพียงสิบห้าปีมันนานนักหรือ........ฉันตั้งคำถามกับตัวเอง ถนนหนทางสะดวกสบายขึ้น ไฟฟ้าเข้ามาแทนที่ตะเกียง ทีวีจอยักษ์ ตู้เย็น หรือแม้แต่พัดลมซึ่งฉันดูแล้วยังไงก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ที่นี่ ผู้คนแปลกหน้าไป ความห่างเหินเข้ามาแทนที่ความเป็นมิตร คนแก่ ๆ ถูกทิ้งให้อยู่บ้านเพียงลำพัง เพราะคนหนุ่มสาวเข้าไปหางานทำในเมือง หลายครอบครัวกดดันให้ลูกหลานต้องหาเงินมาให้เพื่อจะซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่เกินความจำเป็นตามที่เห็นในโฆษณาชวนเชื่อ
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ความผูกพันธ์ดูเหมือนจะหายไปจากบ้านฉันแล้ว.............
พฤษภาคม 2549
ฉันนั่งห้อยขาที่ศาลาริมน้ำหน้าบ้าน อากาศเย็นจนหายใจออกมาเป็นไอ คืนนี้ฟ้าโปร่ง มองเห็นดาวระยิบระยับ ภูเขาที่โอบล้อมหมู่บ้านดูช่างสวยงามลงตัว ทำให้ฉันคิดว่า ใครหนอช่างมาเลือกหุบเขาตรงนี้สร้างหมู่บ้าน สภาพแวดล้อมยังดี ธรรมชาติยังคงทำหน้าที่ของมันไปอย่างคงเส้นคงวา....แต่เดี๋ยวนี่ หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะผู้คนกลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม................
จากคุณ :
กระต่ายดาว
- [
5 ก.ย. 50 17:17:00
A:203.118.124.178 X: TicketID:113298
]