ความเป็นแม่
เอ้า....พวกลื้อแต่งตัวเสร็จแล้วก็รีบมากินข้าวซี่...เร็วๆๆๆ...เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก...เฮ้อ...ไม่ไหวเลย...ต้องให้อั๊วบอกทุกเรื่องเลยรึงาย...เอ้า...เร็วๆ ซี่....
เอ้าๆๆๆ...อิ่มแล้วก็รีบออกไปปากซอยรอรถโรงเรียนเร็วเข้า...ไปๆๆๆ...ค่อยๆ เดิน...อย่าวิ่งซี่...พวกลื้อนี่...เอ้า...อาบุญ...อย่าไปแกล้งอาคิดซี่...เดี๋ยวอั๊วตีเลยนี่...
เป็นเหตุการณ์ปกติที่เห็นจนชินตาเสียแล้วสำหรับชาวบ้านแถวนี้ ภาพของนางเตียงคอยต้อนลูกๆ ทั้งเจ็ดคนเพื่อไปรอรถโรงเรียนที่ปากซอยทุกเช้าอย่างทุลักทุเล พร้อมด้วยเสียงบ่นลูกๆ ตลอดทาง
นางเตียง...ชาวไทยเชื้อสายจีน เกิดจากพ่อที่อพยพมาจากเมืองจีนเพื่อหลีกหนีความยากจน และมาพบรักกับแม่ของนางที่อพยพมาอยู่ในเมืองไทยก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งนางเป็นสักขีพยานในความรักเพียงหนึ่งเดียวของคนทั้งสอง ครอบครัวของนางยากจนตอนนางยังเป็นเด็ก แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยต้องอดมื้อกินมื้อแม้เพียงครั้งเดียว ถึงแม้บางครั้งจะมีเพียงข้าวไหม้ๆ ติดก้นหม้อและกับข้าวที่เหลือจากหลายๆ มื้อก่อนเพียงน้อยนิด พ่อกับแม่ของนางก็จะทนอดเพื่อให้นางได้อิ่มท้อง บางคืนที่นางสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก นางก็จะเห็นแม่นั่งร้องไห้โดยมีพ่อคอยปลอบอยู่ข้างๆ และนี่ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้นางเกิดความพากเพียรและไม่ย่อท้อ
วันเวลาผ่านไป...นางเติบใหญ่ขึ้นและพบรักกับชายหนุ่มเชื้อสายจีนเช่นเดียวกับนาง ทั้งสองช่วยกันทำมาหากินวันแล้ววันเล่าจนเริ่มมีกิจการในครอบครัวเล็กๆ เป็นของตนเอง จากกิจการเล็กๆ ก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นจากความมะนะบากบั่นของคนทั้งสอง พ่อและแม่ของนางเสียชีวิตลงก่อนที่จะได้รับรู้ถึงความสำเร็จนั้น เนื่องด้วยการกรำงานหนักมาตลอดชีวิตจนสุขภาพทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว หากแต่ผู้ที่รับรู้ถึงความสำเร็จของทั้งคู่นั้น คือ ลูกๆ ของนางที่เกิดไล่เรียงกันมาถึงเจ็ดคน
บัดนี้นางเข้าใจดีแล้วว่าเหตุใดพ่อและแม่ของนางจึงยอมอดเพื่อให้นางได้อิ่ม นางบอกกับตัวเองวันแล้ววันเล่าว่านางจะไม่ยอมให้ลูกๆ ของตัวเองต้องลำบากเหมือนอย่างนางในสมัยก่อน นางส่งเสียลูกๆ ให้ได้เล่าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังทรัพย์จะหาได้
ในบรรดาลูกทั้งเจ็ดคนของนาง สมคิดเป็นเด็กที่หน้าตาน่ารัก เฉลียวฉลาด และพูดจาได้น่ารักน่าเอ็นดูที่สุด ดังนั้น นางเตียงจึงค่อนข้างรักและเอ็นดูเด็กชายสมคิดมากกว่าลูกๆ คนอื่นโดยที่นางไม่รู้ตัว
อาคิด...เมียกับอาม๊าลื้อจารักใครมากกว่ากัน...
ก็ต้องอาม๊าอยู่แล้ว...อั๊วรักอาม๊าที่สุด...
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายสมคิด ลูกชายคนที่สี่ของนาง ตอบคำถามของนางเตียงเสียงดังฟังชัดพร้อมเข้าไปโอบกอดนาง
...ถ้าใครทำอาม๊าอั๊วจะชกมัน...อั๊วจะดูแลลื้อเอง เด็กชายสมคิดพูดพร้อมทำท่ากำหมัดให้ผู้เป็นแม่ดู
นางโอบกอดและลูบหัวเด็กชายสมคิดอย่างรักใคร่ ใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความดีใจในคำตอบที่ได้ยินจากเด็กชายสมคิด
สามีของนางเตียงจากนางไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอาการหัวใจวายหลังจากขยายกิจการเป็นครั้งที่สาม ถึงแม้นางจะเสียใจมากเพียงใดก็ตาม นางก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกเศร้าโศกต่อหน้าลูกๆ ของนางเลยแม้แต่น้อย หากแต่นางกลับเข้มแข็งขึ้นเหมือนๆ กับที่นางเลี้ยงลูกๆ ด้วยความรักและเอาใจใส่มากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า ในบางคืนหากลูกของนางตื่นขึ้นมากลางดึก พวกเขาจะพบนางแอบนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ลูกๆ ของนางจากเด็กๆ ที่คอยแต่จะร้องกระจองอแงและแย่งกันอ้อนให้นางอุ้มทั้งวัน กลายเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอะไรนางมากมายอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว สายตาที่เริ่มฝ้าฟาง หลังที่งองุ้มลงกว่าแต่ก่อน และมือทั้งคู่ของนางไม่แข็งแรงพอที่จะอุ้มหรือโอบกอดลูกๆ ของนางได้อีกต่อไป ในเวลานี้นางได้เพียงเฝ้ามองและช่วยเหลือลูกๆ ของนางอยู่ห่างๆ เท่านั้น
ตามประเพณีของชาวจีนลูกสะใภ้ให้แต่งเข้าบ้าน ลูกสาวให้แต่งออก เมื่อถึงเวลาอันสมควร ลูกๆ ของนางเริ่มทยอยมีครอบครัวกันไปทีละคน...ทีละคน...
บัดนี้...ภายในบ้านของนางเงียบเชียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาตลอดชีวิตของนาง ลูกสาวแต่งออกจนหมดทั้งสี่คน และลูกชายทั้งสามคนสร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง ลูกๆ ของนางใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวของพวกเขาและมักจะไปเที่ยวกันในทุกวันหยุด บ่อยครั้งที่นางนั่งนิ่ง สายตาเหม่อลอย อยู่ในบ้านทั้งวันโดยที่ไม่ได้ปริปากพูดเลยแม้เพียงคำเดียว
ความระหองระแหงเริ่มมีมากขึ้นภายในบ้าน เนื่องด้วยความที่นางทำอะไรได้ช้าลงกว่าเก่ามาก และมีความจู้จี้แบบคนเฒ่าคนแก่ ทำให้ลูกสะใภ้ไม่ค่อยพอใจหรือไม่ค่อยจะชอบนางสักเท่าไหร่ บ่อยครั้งที่นางมีปากเสียงกับภรรยาของลูกชายคนโปรด และทุกครั้งจะจบลงด้วยน้ำตาของนางโดยที่ลูกชายของนางได้แต่เงียบเฉย
และวันที่ทุกอย่างแตกหักก็มาถึง นางเตียงทะเลาะกับภรรยาของลูกชายคนโปรดจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ซึ่งแน่นอนว่านางย่อมสู้เรี่ยวแรงของหนุ่มสาวไม่ได้ นางถูกผลักล้มลง
อาคิด...เมียกับอาม๊าลื้อจารักใครมากกว่ากัน...
คำพูดในอดีตถูกเปล่งออกมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความหวัง หากทว่าในครั้งนี้คำตอบกลับกลายเป็นความเงียบ สมคิดเบือนหน้าไม่ยอมสบตากับผู้เป็นแม่
ไปเลย...พวกลื้อทั้งคู่ออกไปจากบ้านอั๊วเดี๋ยวนี้... นางตะโกนพูด สะอื้นไห้พร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ถึงแม้จะมีลูกๆ คนอื่นคอยแวะเวียนพูดคุยและทำให้นางยิ้มได้ หากแต่เมื่อใดที่นางต้องอยู่เพียงลำพัง นางจะร้องไห้และโทษตัวเองเสมอ สุขภาพของนางทรุดโทรมลง ร่างกายที่ไม่สู้แข็งแรงอยู่แล้วก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนในที่สุดโรคร้ายต่างๆ ก็รุมเร้าเข้ามาหานาง
บนเตียงนอนในโรงพยาบาลนางยังคงฝันว่าลูกชายที่ทิ้งนางไปกลับมาเยี่ยมนาง ในช่วงสุดท้ายของชีวิตนางยังคงยื่นมือเหี่ยวแห้งไร้เรี่ยวแรงโอบกอดและลูบหัวลูกๆ ของนางด้วยความรักความเป็นห่วง คำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากของนางก่อนที่นางจะสิ้นลม
อาม๊าขอโทษพวกลื้อทุกคนด้วยที่อาม๊าอยู่ดูแลพวกลื้อไม่ได้อีกแล้ว....แล้วอาม๊าฝากพวกลื้อไปขอโทษอาคิดด้วย...อาม๊าขอโทษ...
ตั้งแต่ลมหายใจแรกของลูกๆ จนวินาทีสุดท้ายที่นางสิ้นลม นางยังคงรักและเป็นห่วงลูกๆ ของนางเสมอ ไม่ว่าลูกๆ ของนางจะทำให้นางเจ็บ เศร้า หรือทุกข์ทรมาน ไม่ว่าลูกๆ ของนางจะทำผิดสักเพียงใดนางก็ยังคงให้อภัยและโอบกอดลูกๆ ด้วยรอยยิ้มและความรักเสมอ
นี่กระมัง ความเป็นแม่
จากคุณ :
KTHc
- [
10 ก.ย. 50 22:39:47
]