ในนามของสิทธิเสรีภาพ อดัม แบรด ผู้อำนวยการองค์กรสิทธิมนุษยชน จึงแถลงการณ์เพื่อประเทศไทยว่า หลังครบรอบ หนึ่งปีรัฐประหาร สถานการณ์ด้านเสรีภาพของคนไทยแย่ลง
ในนามของประชาธิปไตย จอช บุช กล่าวในการประชุม APEC ว่าอยากเห็น พม่า เกาหลี และ ไทย เป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้
ฟังเแล้วซาบซึ้งในความเห็นอกเห็นใจ แต่อย่างไร ประเทศไทยยังคงเป็นผู้ร้ายอยู่ดี
ในกระบวนการทางศาล การตกเป็นผู้ร้ายยังดีกว่า เพราะต้องสอบสวนจนมีหลักฐานพร้อมมูลเสียก่อน ค่อยดำเนินคดี หรือ ถึงแพ้ก็ยังมีให้ยื่นอุทธรณ์ แต่ในกระบวนการทางเสรีภาพ ไม่จำเป็นต้องมีส่ิ่งใดกำักับให้มากความนอกจาก โปรดปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่เอากำลังทหาร นอกจากนี้ดูท่า จะผิดไปเสียหมด
กรณีของผู้นำอเมริกา เป็นความเห็นส่วนตัว มีสิทธิฟ้องหมิ่นประมาท
กรณีขององค์กรสิทธิมนุษยชน น่าจะทำความเข้าใจพื้นฐานทางปัญหาของแต่ละประเทศมากกว่านีั้ ก่อนให้ความเห็นในเชิงอยุติธรรม
ประัเทศที่ถูกทำไว้เสียมั่วไร้ทิศทางมาหลายปี
จะแก้ปัญหาแค่กระพริบตาชั่วปีคงยาก
และต้องมีประชาธิปไตยอย่างไร
จึงจะเป็นที่พอใจต่อสายตาชาวโลก
ไม่มีตำราเล่มใดระบุแบบแผนหรือลำดับขั้นการเป็นประชาธิปไตยเอาไว้ เช่นว่า
ประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์
ประชาธิปไตยแบบพัฒนาแล้ว
ประชาธิปไตยแบบกำลังพัฒนา
ประชาธิปไตยแบบพื้นฐาน
ถ้ามีให้เลือกใช้ไตร่ตรอง โลกน่าจะดีกว่านี้
หากเห็นว่า ระบอบการปกครองเป็นพื้นฐานของความสงบสุข น่าจะมีข้อชี้ชัด อย่างน้อยก็เพื่อ ระงับข้อพิพาททางความคิดแบบขาดความเห็นอกเห็นใจและไร้ที่มาที่ไป
จู่ๆก็อดคิดไม่ได้ว่า ในสถานการณ์ที่สายตาอเมริกามองว่าประเทศไทยไร้ประชาธิปไตย ไร้ความสงบเรียบร้อย มีการก่อการร้าย แล้วสมมติว่า ประเทศไทยเป็นราชาน้ำมัน จะมีการส่งกำลังทหารเข้ามาโดยอ้างความชอบธรรมหรือไม่
คนที่อยู่นอกประเทศจะเอ่ยอ้างอย่างไรก็ได้ แต่คนไทยยังต้องอยู่บนแผ่นดิน เกินเก้าสิบเปอร์เซนต์เกิดและตายบนแผ่นดินไทย ไปไหนไม่ได้ เพราะ ไม่มีทุนทรัพย์ขนาดนั่งเครื่องไปกินบะหมี่ที่ฮ่องกงตอนเที่ยงและบินกลับมาตอนเย็น
อย่างไรเรายังต้องใช้ชีวิตที่นี่ ..ผืนดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
คนส่วนใหญ่ดิ้นรน ปากกัดตีนถีบ เพื่อหาเลี้ยงปากท้อง ซื้อบ้านสักหลัง ส่งลูกเรียนหนังสือ ไม่มีเวลาคิด ไม่มีเวลารวมตัวเพื่อผลักดันทางการเมือง สละเวลาไปทำอะไรไม่ได้สักนิด เพราะตกอยู่ในฐานะลูกจ้างกันหมด พักงานโดนตัดเบี้ยเลี้ยงนับเป็นชั่วโมง ขาดงานเกินก็ไล่ออก
บนพื้นฐานของปากท้องและความเป็นอยู่ของชีวิต
จะมีเวลาคิดสิ่งใดมากกว่าเรื่องนี้อีก
ตอนนี้
ผมว่า ทุกอย่างควรนิ่งได้แล้ว
ที่ว่านิ่ง มิได้หมายความถึงการหยุดกิจกรรมทุกอย่างเพื่อต่อรอง
แต่นิ่ง เพื่อให้ประเทศมีทิศทาง
พักเหนื่อยกันหน่อย หยุดฟังข่าวกันสักวัน
วิ่งไปแก้ตัวกับผู้ที่ไม่เคยเข้าใจ เห็นแก่ได้นั้นและมีคำตอบเบ็ดเสร็จ เหนื่อยไม่เบาหรอก
ลองเอางบลงทุนที่สูญเปล่าต่างๆ งบที่สร้างโครงการใหญ่ๆ งบเดินทางชี้แจงต่างประเทศ ซื้ออาหารตามสั่งใส่ห่อ 20-30 บาท พร้อมน้ำดื่มหนึ่งขวด แจกพี่น้องชาวไทยให้กินอิ่มครบสามมื้อสักวัน
น่าจะทำให้คิดได้บ้างว่า
กินพออิ่มท้องก็อยู่กันได้
และเราช่วยเหลือกันได้ด้วยตนเอง
ที่สำคัญ
การเลือกคนเข้าไปเพื่อทำความฝันของตนให้เป็นจริง
โดยมีอนาคตของคนในประเทศเป็นเดิมพัน
ควรเลิกกันได้แล้ว
สัญญาก่อนเข้าสภาก็เหมือนเบ้าหลอมที่มีขอบเขตตายตัว
ประเทศชาติใหญ่กว่าสมองของนักการเมือง
เอาพื้นที่หลายล้านไร่ยัดใส่เบ้าหลอมขนาดจำกัด
ไม่ล้น..ก็ำพัง ...ใส่เข้าไปได้ ..ก็อึดอัด
แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 50 18:34:00
จากคุณ :
กาแฟสอง
- [
21 ก.ย. 50 16:57:51
]