ผมกำลังเดินทางกลับบ้านที่จังหวัด xxx...
บ้านที่จากมาร่วม 10 ปี แม้จะส่งเงินให้พ่อกับแม่ตลอดแต่ไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมท่านเลยสักครั้ง...
............................................
หลังจากที่เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพเมื่อ 9 ปีก่อน ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องมีบ้านสักหลังให้พ่อกับแม่มาอยู่ด้วยกัน
ผมเรียนจบคณะนิติศาสตร์ในเวลาเพียง 3 ปีครึ่งที่มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองราวกับว่าได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เรียนจบออกมาก็ออกหางานทำเหมือนชีวิตคนกรุงเทพฯทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแข่งขันกัน
ผมได้งานเป็นเซลล์ ทั้งๆที่เรียนจบมาทางด้านกฏหมาย แต่บอกตามตรง ผมไม่เคยคิดว่าจะเป็นนักกฏหมายอยู่แล้ว ที่เลือกเรียนนิติศาสตร์
ก็เพราะอยากรู้กฏหมาย ไม่อยากถูกใครหลอกให้เสียเหลี่ยม และอีกอย่างผมเคยได้ยินมาว่าเป็นทนายน่ะ...ไส้แห้ง
ผมทำงานเป็นเซลล์อยู่ประมาณ 3 ปี ไม่เคยขาด ไม่เคยลาสักวัน
แม้จะพอมีเงินใช้ไม่ขาดแคลนแถมยังส่งไปให้ที่บ้านได้อีก แต่มันก็ไม่มีอะไรก้าวหน้าไปมากกว่านี้
ผมยังต้องมีบ้านให้พ่อกับแม่ ถ้าเพียงแต่เป็นเซลล์ต๊อกต๋อยอยู่แบบนี้ชีวิตนี้คงจะไม่ได้สมหวังสักที
ผมตัดสินใจลาออกไปทำงานกับบริษัทเบียร์ยักษ์ใหญ่รายหนึ่งของประเทศ การเปลี่ยนงานทำให้วิถีชีวิตของผมเปลี่ยน
ผมต้องนอนกลางวันและไปทำงานในตอนเย็น กว่าจะเลิกก็โน่น... ผับ เธค ปิดหมดแล้ว
ผมเคยคิดเสมอว่าคนที่ไปเที่ยวผับ เที่ยวเธคนั้นเป็นคนที่ไร้สาระสิ้นดี การเข้าไปอยู่ในที่แออัดมีเพลงเปิดเสียงดัง
แล้วก็เต้นกันเป็นหมูโดนน้ำร้อนลวกนั้น มันน่าขยะแขยงชะมัด แค่คิดก็แทบจะอาเจียนแล้ว
เจ้าของร้านอาหาร หรือผับทั้งหลายมักจะคิดว่าผมชอบดื่มเบียร์จึงมาขายเบียร์ แต่เปล่าเลยผมดื่มเบียร์ไม่เป็นและไม่เคยดื่ม
มีบ้างบางครั้งที่ลูกค้าพยายามยัดเยียดให้ผมดื่ม ผมก็เพียงจิบได้คำสองคำเท่านั้นก็ต้องขอตัว... ก็รสมันขมซะขนาดนั้น
ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมถึงชอบดื่มกันนัก เบียร์ เหล้าเนี่ย
ในช่วงที่ผมทำงานที่บริษัทเบียร์พ่อกับแม่โทรศัพท์มาเรียกให้กลับบ้านหลายครั้ง ผมต้องโกหกท่านไปว่างานยุ่งมาก คงยังกลับช่วงนี้ไม่ได้
พ่อกับแม่ผลัดกันคุยด้วยน้ำเสียงร่าเริงเสมอ จนผมรู้สึกเหมือนท่านจะแกล้งทำมากกว่า แต่ก็ต้องลืมๆไปซะ ก็ผมยังต้องหาเงินซื้อบ้านให้พวกท่านนี่นา
วันหยุดหนึ่งขณะที่ผมนอนอยู่ที่ห้องเช่าของผม ไอ้เมฆเพื่อนของผมที่มาจากบ้านเดียวกันแวะมาเยี่ยม
ไอ้เมฆเมื่อสมัยอยู่ที่บ้านนอกนั้น มันเป็นเด็กเกเร มีเรื่องชกต่อยเป็นประจำ หนังสือหนังหาก็ไม่ค่อยไปเรียน
จนพ่อกับแม่มันต้องส่งไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ เราเจอกันบ้างนานๆครั้งในฐานะที่เป็นคนบ้านเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้ง ผมก็ไม่เคยชอบหน้ามันเลยจริงๆ ให้ตายเหอะ!
แต่ยังไงมันก็เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก
ไอ้เมฆเป็นคนตัวใหญ่บึกบึน ผิวเข้ม คิ้วหนา ปากหนา ดูโหดๆอย่างบอกไม่ถูก ถ้าวันไหนมีใครมาบอกผมว่าไอ้เมฆฆ่าคนตายผมคงจะเชื่อสนิทใจเลยทีเดียว
"หวัดดีเว้ย เพื่อน" เสียงไอ้เมฆทุ้มใหญ๋ดังมา เมื่อผมลุกไปเปิดห้องให้มัน
ไอ้เมฆในชุดเสื้อยืดเข้ารูปสีดำโชว์กล้ามเนื้อ กางเกงยีนส์สีฟ้า รองเท้าผ้าใบสีขาวเดินตามผมเข้ามาในห้อง ก่อนจะชูถุงอาหารที่ผมแทบจะลืมไปแล้ว ข้าวเหนียว ส้มตำ ลาบหมู น้ำตก
ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯผมไม่เคยแตะต้องอาหารพวกนี้เลยแม้จะเคยคิดว่ามันอร่อยมากเมื่อสมัยอยู่ที่บ้านนอก
"เดี๋ยวนี้ข้ากินแต่อาหารทะเล พวกปู ปลา กุ้ง หอย ว่ะ โดยเฉพาะหอยเชลล์ ข้าชอบมาก" ผมบอกไอ้เมฆในขณะที่มือแกะถุงส้มตำเทใส่จาน "คราวหลังถ้าจะซื้อมาหละก็อย่าลืมนะเว้ย."
"มาอยู่กรุงเทพฯไม่กี่ปีรสนิยมหรูหราเชียวนะเอ็ง" ไอ้เมฆเหน็บ "ว่าแต่เอ็งได้กลับบ้านมั่งรึเปล่าวะ ตะวัน?"
ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ "ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ข้าก็ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าหากข้าไม่สามารถมีเงินซื้อบ้านให้พ่อกับแม่อยู่ข้าจะไม่กลับบ้าน" ผมหันไปมองหน้าไอ้เมฆ "แล้วเอ็งหละ?"
"ข้ามันเด็กเกเร พ่อกับแม่เค้าไม่สนใจหรอกว่ะ ไม่งั้นคงไม่ส่งข้ามาอยู่กับน้าส่ง" ไอ้เมฆทำหน้าน้อยใจที่ดูกี่ครั้งก็รู้สึกสยองชะมัด
หลังจากนั้นเรากินส้มตำข้าวเหนียวกันอย่างเอร็ดอร่อย คุยเรื่องสมัยก่อนตอนยังเด็ก
ครั้งนึงไอ้เมฆเคยขี่จักรยานเบรกแตกจนแหกโค้งล้มปากแตก หัวเข่าถลอกปอกเปิกไปหมด แต่จนถึงวันนี้มันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าผมเป็นคนแอบตัดสายเบรคมันเอง คิดแล้วก็ขำ
เราคุยกันจนกระทั่งเผลอหลับไปด้วยกันทั้งคู่ ตื่นมาก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ไอ้เมฆขอตัวกลับบ้าน
ห้องกลับสู่ความสงบที่เคยเป็น นึกๆแล้วนี่ผมอยู่คนเดียวมาก็ เกือบ 9 ปีแล้ว
เกือบ 9 ปี ที่ต้องเรียนและทำงาน พอกลับถึงห้องก็อาบน้ำ นอน ตื่นขึ้นมาก็อาบน้ำ กินข้าว ไปทำงาน วนเวียนอยู่อย่างนี้ทุกๆวัน
เกือบ 9 ปีที่ต้องดิ้นรนเพื่อเป้าหมายที่จะมีบ้านให้พ่อกับแม่อยู่ มีเงินให้พ่อกับแม่ใช้ พ่อกับแม่จะรู้ไหมนะว่าผมเหนื่อยแค่ไหน เหงาแค่ไหน ใจจริงแล้วใช่ว่าผมไม่อยากกลับบ้าน แต่กลัวว่าเมื่อกลับไปแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยที่ทนมาได้ตลอดมันจะสิ้นสุดลง และผมคงไม่อาจเรียกกำลังใจและความตั้งใจแบบนี้กลับมาได้อีกครั้ง
ถึงตรงนี้ผมเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ที่มีคนเคยบอกว่าเงินคือพระเจ้านั้นจริงไหมนะ? เพราะมันทำให้ผมทนเหน็ดทนเหนื่อยมาได้ขนาดนี้ ก็เพราะเงินตัวเดียว
ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งหลับลงอีกครั้ง...
ผมฝัน...
ในฝัน ตัวผมกับพ่อและแม่อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง หน้าบ้านมีสนามหญ้าเล็กๆ พ่อกำลังนำกระถางต้นไม้วางประดับหน้าสนามหญ้า สีหน้าพ่อดูมีความสุข
ขณะที่ผมกับแม่กำลังนั่งดูทีวีจอใหญ่อยู่บนโซฟานุ่ม แม่กอดผมในขณะที่พร่ำพูดแต่คำว่า "แม่รักลูก" "แม่รักลูก" "แม่รักลูก" ...
ภาพในฝันเหมือนแผ่นเสียงที่ตกร่อง ผมได้ยินแต่เสียง "แม่รักลูก" ของแม่ ดังซ้ำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งสะดุ้งตื่น
ทั่วทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ หัวใจผมเต้นถี่เร็วจนน่ากลัวว่าถ้าผมไม่ตื่นซะก่อนผมอาจจะไม่ได้ตื่นอีกก็ได้ ทั้งที่มันควรจะเป็นฝันดีแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกวิตกชอบกล
นาฬิการบอกเวลา 6 โมงเช้า ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาอาบน้ำอาบท่าเตรียมไปวิ่งออกกำลังกาย ก็พอดีโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน
"ฮัลโหล ตะวัน นี่ข้าไอ้เมฆเอง" เสียงไอ้เมฆลอยมาตามสาย
"ว่าไงวะ มีอะไรโทรมาแต่เช้า เพิ่งจะมาเมื่อวานนี้เองนี่หว่า คิดถึงข้าอีกแล้วเหรอ" ผมกระเซ้า
"...................."
"เห้ย ! มีอะไรวะ ทำไมเงียบจัง เอ็งงเป็นอะไรรึเปล่า?"ผมวิตก
"ข้าน่ะ ไม่เป็นไร แต่ว่า..."
"แต่ว่าอะไร ใครเป็นอะไร บอกมาให้หมดสิวะ" ผมรู้สึกหัวใจเต้นแรง เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ผมคิดไปถึงถึงพ่อกับแม่
" คือเมื่อเช้าพ่อข้าโทรมา ฝากให้ข้ามาบอกเอ็งว่า พ่อกับแม่เอ็ง...ตายแล้วว่ะเพื่อน"
สิ้นเสียงไอ้เมฆ โทรศัพท์ก็หลุดจากมือผมร่วงกระทบพื้น ก่อนที่ร่างของผมจะตามลงไป
ผมได้ยินเสียงไอ้เมฆตะโกนเรียกหลายครั้ง แต่เสียงเบาแผ่วเหมือนอยู่ห่างไกล นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่ผมจะหมดสติไป
.....................................
จากคุณ :
แมวลายคราม
- [
23 ก.ย. 50 18:11:51
A:58.9.15.212 X:
]