ลมหายใจที่เวียนเข้าออกที่จมูก ช่างเบาบางเหลือเกิน แทบไม่รู้สึกถึงชีวิตเลย...
ผมจ้องมองเพดานเก่าๆที่มีโคมไฟรูปทรงพื้นราวกับมันเป็นภาพนิจนิรันดร์ด้วยดวงตาที่แห้งผาก สิ่งที่เรียกว่าเรียบนิ่งสิงอยู่ภายในของผมเสียจนไม่รู้ว่าแสงสว่างที่มีเบื่อหน่ายความหยุดนิ่งในห้องจนสลัวแล้วจากไปเหลือแต่ความมืดมิดเมื่อไหร่ ไม่รู้เลยจริงๆ
ที่สร้างความแปลกใจให้ผมที่สุดคือ 24ชั่วโมงที่แล้วผมอยู่ที่ไหน ทำอะไร กับใคร หัวสมองยังจำได้อยู่หรือเปล่าไม่แน่ใจ หรือผมตายไปทั้งตัวแล้วจริงๆนับจากกลับมาที่บ้าน
ผมลองกระพริบตาสองสามครั้งหลังจากไม่ได้กระพริบมานานเท่าไหร่ไม่รู้ ร่างกายก็เหมือนกันไม่ได้ขยับมาทั้งวัน มันกลายเป็นแค่ก้อนเนื้อรอวันเน่าไปแล้วกระมัง ถ้ายังไม่ตายทำไมผมถึงรู้สึกเป็นสิ่งแปลกแยกในโลกนี้
วิญญาณของผมเว้าแหว่งหายไปครึ่งหนึ่ง เมื่อลองทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นชั่ววันคืน อะไรก็ตามมันได้ทุบชีวิตที่ผมเพิ่งตระหนักว่ามันเปราะบางหากเราไม่เฉลียวจนแตกสลาย
ผมขดตัวลง คืนวันสิ้นปีผมพบกับนิคกี้ เขามีใบหน้าสวยเชิญชวนสายตาทั้งหญิงและชายจับจ้อง ชายหนุ่มอายุรุ่นเดี่ยวกับผมคนนั้นอารมณ์ดี เบิกบานเหมือนดอกไม้ไฟที่จุดในคืนเฉลิมฉลองคืนนั้น บทสนทนาของเรามันเป็นอะไรที่ทำให้ความรู้สึกอยากตายอันกล้าของผมผ่อนเบาลงอย่างไม่รู้ตัว และเพราะเมา เราจึงเลยเถิด แม้รู้ร่างกายสวยงามหากแต่ผิดกาลเทศะแต่ก็มิอาจหยุดความต้องการ ผมเสพสมจนล้นความกระหาย ทั้งที่รู้ครรลองธรรมชาติรสสวาทของสองร่างกายไม่มีความเหมาะสมไหนจะเคยพูดถึง....ระหว่างชายกับชาย
แต่อย่างไรเล่าครับ เหมือนผลไม้ในสวนอีเดนนั่นแหละ ไม่เคยเห็นไม่เคยแตะต้อง เขาเอาแต่พูดว่าไม่เหมาะ ไม่ดี สุดท้ายก็มีคนได้ลิ้มรสจนได้ นิคกี้ไม่ใช่ผลไม้วิเศษเขาเป็นผลไม้อาบพิษ และพิษนั้นได้กำซาบซ่านเข้าเจาะและเริ่มไชชอนชีวิตผมแล้ว อีกไม่นานผมจะเหมือนผลไม้เน่าจนกว่าจะตาย
ผมอุดปากแน่น ภายในท้องเกิดอาการเกร็งแน่น ลิ้นปรี่ราวมีแมลงเล็กๆวินว่อนจนหวิว ความเครียดจัดหลอนหลอกจนร่างกายผมทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ห้องน้ำ โก่งคออาเจียนจนหน้าแทบทิ่มอ่างล้างหน้า กลิ่นน่ารังเกียจปะปนมั่วไปหมดจนผมอาเจียนอีกรีบ อาเจียนพุ่งแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนหัวจะหลุดลงไปกลิ้งในอ่าง...
เปิดก๊อกวักน้ำบ้วนปากล้างหน้า แล้วเงยหน้ามองกระจก ผมมองตัวเองแล้วหายใจแรง ราวเจออริที่เกลียดกันมาสามสิบชาติ สองมือของผมกำหมัดแน่นก่อนจะสาดหมัดข้างหนึ่งกระแทกจนกระจกแตกปลิวว่น
หยดข้นสีเข้มกระจายพร่างพร้อมกับเศษเสี้ยวของกระจก ผมมองมือตัวเองที่ถูกเศษคมกระจกบาดและฝังอยู่อย่างชาเย็น นิ้วโป้งของมือที่ปกติยกขึ้นกดเศษแหลมให้จมลึมลงไปอีก เลือดระรัวหลั่งไม่หยุด นิ้วโป้งที่ใช้กดก็เริ่มปริเป็นแผลฉกรรจ์ไปด้วย ผมมองหยดเลือดที่ชุ่มโชกกระอักไหลจากปากแผลอย่างใจเย็น
ออกมาให้หมดตัวเสียก็ดี เลือดที่ที่เต็มไปด้วยเชื้อชั่วไม่น่าต้องการอีกแล้ว แก้มของผมร้อนวาบเป็นทางยาว ผมกระพริบตาจึงรู้ว่าน้ำตากำลังกลบดวงตา ตัวผมก็สั่นสะท้านจนระงับไม่ได้
แปลกนะ... ตลอดมาผมเพรียกหาแต่ความตายเพราะเบื่อโลก แต่พอมันได้ยินและกำลังมาหาในอีกไม่ช้าผมกลับตาขาวจนตัวหดเหลือนิดเดียว
"ไม่เคยรู้จักความตายจริงๆหรอกนายน่ะ ไม่แน่จริงนี่หว่า" เสียงนิคกี้มาจากไหนไม่รู้ เขาเยาะเย้ยและสุขสมที่ทำอย่างนี้กับผม
ผมยกมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นทุบตัวเอง เสื้อเชิ้ทขาวเป็นด่างสีแดงเลอะเทอะไปหมด ผมคว้าเศษกระจกชิ้นใหญ่ที่สุดขึ้นมา หงายข้อมืออีกข้างขึ้นแล้วกดคมของมันแนบหนักกับเส้นโลหิตใหญ่ แค่ออกแรงสวนเท่านั้นผมคิด ทุกอย่างจะดับมืด ล้างไพ่เริ่มกันใหม่อีกครั้ง...
ผมหลับตาแน่น มือสั่น ไม่ได้กรีดคมเข้าเนื้อเยื่อบนข้อมือ หากแต่กรีดร้องสุดเสียง
"นิคกี้ แกเป็นอะไรกันแน่วะ"
บนตึกในห้องของผู้อำนวยการ จีนมองนิคกี้ที่กำลังคุยสนิทสนมกับสาวสวยอ่อนใสบ้างล่าง นายแพทย์ใหญ่วัยกลางคนถอนใจซ้ำไปซ้ำมา ก่อนหน้านั้นจีนแอบเข้ามาในห้องเขาพร้อมซองเอกสารซึ่งตอนนี้อยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขา
"เป็นผลการตรวจร่างกายประจำปีของท่านประธาน" ผู้อำนวยการสานมือวางศอกบนโต๊ะ เขาคิดว่าทนายอย่างจีนอย่างไรเสียก็อ่านเอกสารของแพทย์ไม่เข้าใจหากไม่มีคำอธิบายประกอบ ศัพท์ทางการแพทย์คนที่มีอาชีพไม่ใกล้เคียงอย่างไรก็ต้องใช้กุญแจแพทย์ไข จีนหันกลับมามองหน้าก่อนอธิบายเอกสารในสารซองอย่างละเอียดพร้อมต้องสมติฐานเพื่อขอความถุกต้องอีกครั้ง ผู้อำนวยการตาค้างเขาอ้าปากแล้วหุบ
"คุณอยู่วงการนี้มานานไม่ทราบว่าพอจะได้ยินเรื่องอัศจรรย์วงการแพทย์ ที่บอสตัสเมื่อปี 19xx หรือไม่ อืมมันเป็นข่าวดังที่ลงกันแค่สองวันเท่านั้น"
"แต่นิตยสารการแพทย์หลายฉบับลงก้นครึกโครมมากนะครับ ผมอ่านแล้วยังทึ่งเลย เด็กอายุสิบหกเท่านั้น เดี๋ยวหรือว่า..." ผู้อำนวยการเบ่งตามองจีน
"มันไม่สำคัญหรอกครับ ไม่เลย"
"ท่านประธานไม่ได้พูดถึง"
"นิคกี้ไม่รู้เรื่องนี้หรอกครับ เราอยู่กันคนละวงการ ตอนที่ผมเรียนหมอเขายังเรียนอยู่ไฮสคูลที่นิวยอร์คอยู่เลย อีกอย่างนิคกี้เขาไม่เคยสนใจอะไรมากกว่าเรียนสายธุรกิจเพื่อนกลับมาสานต่อธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของพ่อ"
"ใช่ไหมครับ นิคกี้เป็นโรคนี้" จีนโยนซองใหญ่สีฟ้าบนโต๊ะ ผู้อำนวยการหน้าเสีย
"คุณได้เอกสารพวกนี้มาจากไหน"
"ตอบที่ผมถามเถอะ" จีนเกือบตะคอกออกไป ดีแต่ยั้งได้ อย่างไรผู้อำนวยการก็อาวุโสกว่า จีนเงยหน้าหลับตา เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อศีรษะที่เต็มด้วยเส้นผมสีดอกเลาของผู้อำนวยการโยกพยักหงึกหงัก เขาไม่อาจหลบหนีความจริงที่ตัวเองรู้ได้อีกแล้ว
ความรู้สึกแห้งป่นถูกพัดหายไปในห้วงสุญญากาศ ดวงใจเจียนจะขาดห้วงด้วยแกนกลางแสนสำคัญได้ถูกเชือดจากมีดคมที่ไม่เห็นแม้คมวาวยามตวัดเข้าตัดอย่างโหดเหี้ยม จีนยกมือขึ้นปิดดวงตาข้างหนึ่งด้วยว่ารู้สึกถึงน้ำอุ่นใสที่หยาดอาบลงผิวหน้า
"โธ่เอ๋ย นิคกี้"
แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 50 22:39:13