คืนนี้ไม่มีดาวอีกแล้วหรือ...?
เฮ้อ
ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นอนูแสงจากดวงดาวที่ทอประกายระยิบระยับอยู่บนฟากฟ้ายามราตรี นี่ผมไม่ได้มาแอ๊บโรแมนติคบอย หรือ ว่าอะไรหรอกนะที่จะต้องมาแอบดูดวงดาวตอนตีหนึ่งตีสองอย่างนี้
อันที่จริงมันเป็นเพราะว่าผมนอนไม่หลับต่างหาก ถึงต้องมาคอยชะเง้อมองหาดาวสักดวงมาเป็นเพื่อนคู่ใจ ไม่รู้เหมือนกันสินะว่าเมื่อยามราตรีมาย่างเยือนทีไร ทำไมผมถึงได้นึกถึงดวงดาวบนท้องฟ้าขึ้นมาก่อนทุกที มันอาจมีหลายความหมายซ่อนอยู่หากคิดแบบน้ำเน่าล่ะก็นะ
หากแต่ลองมามองในมุมที่กลับกันอย่างง่ายๆแล้ว
คงเป็นเพราะว่าในขณะที่ทุกสิ่งกำลังถูกห้วงแห่งความมืดมิดกลืนกินอยู่นั้นเอง ดวงดาวกลับทอประกายแสง วับๆแวมๆ กระพริบแล้วนิ่งคงเป็นเพราะนี่กระมังที่เป็นเหตุผลว่าทำไมหลายคนชอบมามองดูดวงดาวในยามที่ตนสุขหรืออึดอัดไม่สบายใจ
แสงสว่างจากดวงดาวเพียงเล็กน้อย อาจช่วยจุดแสงไฟในตัวเราให้สว่างจ้าขึ้น และการที่เราได้ยืนอยู่ท่ามกลางความสงัดเงียบของยามราตรีนั้นเอง ก็อาจทำให้เราได้พูดคุยกับหัวใจตัวเองมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยมีแสงสว่างเล็กๆจากดวงดาวทั้งหลายเหล่านี้คอยช่วยส่องหนทางที่กำลังมืดมนและริบหรี่ให้กับเรา
แต่แล้ววันหนึ่ง ดวงดาวก็ได้อันตธานหายไปจากท้องฟ้าในคืนที่เราต้องการมันมากที่สุด ต้องการมันมาเป็นเพื่อนที่คอยรับฟังปัญหาและเป็นแสงเล็กๆที่ช่วยส่องหัวใจให้กับเราเฉกเช่นทุกวันอย่างที่มันเคยทำอยู่เสมอ
ทว่าจะมีใครบ้างเล่าที่จะรับรู้บ้างว่าบางครั้งดวงดาวก็เหนื่อยและเศร้าเป็นเหมือนกัน
พอต้องมาแบกรับและทนฟังความทุกข์ร้อยแปดพันอย่างทุกวี่ทุกวัน มันก็เริ่มเหี่ยวเฉากับหน้าที่แสนมหัศจรรย์ของมัน ความหดหู่นับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่มันจน ตัวของมันแทบจะหลอมละลายไปกับความรู้สึกเหล่านั้น จนแทบจะไม่เหลือเวลาให้กับการดูแลตัวเอง...
จนในที่สุดมันก็ล้มป่วยและขอลาป่วยด้วยการหลบอยู่หลังปุยเมฆให้พ้นจากผู้คนที่ชอบจ้องมองและระบายความทุกข์กับมันสักสองสามวัน
ดวงดาวตามชนบทนั้นเพียงไม่กี่วันมันก็หายป่วยและกลับมาทำหน้าที่มหัศจรรย์ของมันได้ตามปกติ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับดาวในเมืองที่นับวันก็ยิ่งลาป่วยนานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ผู้คนออกมานอกระเบียงหรือชานบ้านเพื่อที่จะมองมันทีไร ก็แทบจะพบกับความว่างเปล่าอยู่ทุกที
ที่พึ่งพาทางจิตใจที่เราอุปโลกน์กันขึ้นมานั้นบัดนี้เจ้าไปเที่ยวอยู่แห่งหนใด?
ความผิดนี้หากจะว่ากันตามจริง คงต้องโทษสังคมเมืองที่แปรเปลี่ยนไปจนดวงดาวบนท้องฟ้านั้นปรับตัวแทบไม่ทันแล้วมันก็คงไม่ค่อยจะเต็มใจที่จะปรากฏกายให้ใครเห็นเท่าใดนัก
อีกมุมหนึ่งหากมองกลับกันในแง่ของจินตนาการแล้ว ที่ดวงดาวอันตธานหายไปนั้นอาจจะพยายามต้องการทดสอบอะไรบางอย่างในตัวเรา ว่าเมื่อเราไม่มีมันให้เป็นที่พึ่งพิงทางใจในยามราตรีแล้ว เราจะสามารถอดทนอยู่กับความทุกข์ระทมนั้นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายได้หรือไม่
จริงอยู่ว่านี่อาจเป็นบททดสอบที่ดูจะโหดร้ายไปสักหน่อย... ปัญหาหรือความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรเก็บไว้นานๆจนหมักหมม ควรจะหาที่ระบายมันออกไปบ้างเพื่อสภาพจิตใจที่ดีกว่าเมื่อตอนอมทุกข์
แต่เมื่อไรก็ตามที่เราไร้ซึ่งที่พึ่งพิงในการผ่อนปรนความทุกข์ เราก็ควรจะรู้จักอดทนและอยู่กับมันไปให้ได้ก่อนที่แสงสว่างนั้นจะกลับมาหาเราอีกครั้งไม่ใช่หรือ?
ดวงดาวหากลองนำมันมาเปรียบเปรยกับชีวิตเราดู มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก พ่อแม่ของเรา หรือเพื่อนคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือ เพื่อนของเราก็ไม่มีใครอยู่กับตัวเราได้ตลอดเวลา นอกจากตัวเราเองนี่แหละ
ฉะนั้นเราก็จำต้องพึ่งพาตนเองในการเยียวยารักษาบาดแผลด้วยตัวเราเองไปก่อน และท้ายที่สุดเมื่อเราผ่านบททดสอบจากดวงดาว ดวงดาวก็จะยอมเข้ามาเยียวยาสมานแผลให้สนิท ชิดตัว พร้อมกับปลอบโยนจิตใจของเราให้กลับไปเป็นดังเดิม
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม ดวงดาวจึงอันตธานหายไปจากท้องฟ้าในยามที่เราต้องการมันมากที่สุด
จากคุณ :
พริ้ว พรรณนา
- [
1 ต.ค. 50 14:17:54
]