อีกเรื่อง
ที่พิสูจน์ไม่ได้ 2 : เรื่องเล่าจากเพื่อนบ้าน
ก่อนที่ผมจะเริ่มลงมือเขียนประสบการณ์สยองขวัญเรื่องที่สองของผม บังเอิญว่าผมนึกถึงเรื่องๆ หนึ่งเมื่อนานมาแล้วของเพื่อนบ้านผมขึ้นมาได้
...บ้านที่อยู่ห่างจากบ้านของผมไปทางต้นซอยเพียงห้าหลังเท่านั้น...
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ทุกคนในซอยและซอยข้างเคียงรู้จักกันดี และทุกคนเรียกกันติดปากว่า บ้านเจ้า
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว...หากจะนับเวลา ก็ต้องย้อนกลับไปจากเรื่องแรกอีกสองปี ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่สาม และยังไม่เคยพบกับประสบการณ์แปลกประหลาดสยองขวัญใดๆ ทั้งสิ้น แต่บังเอิญว่าวันนั้นผมเป็นคนแรกๆ ในซอยที่ได้รับรู้เรื่องราวอันน่าขนลุกนี้
บ้านที่ถูกเรียกว่า บ้านเจ้า หลังนี้ ไม่ใช่บ้านของคนทรงเจ้าเข้าผีที่ไหนหรอกครับ หากแต่มันเป็นบ้านที่ใช้เก็บของของศาลเจ้าประจำซอยที่ผมอาศัยอยู่
หากคุณอยู่ในชุมชนซึ่งเป็นซอยเล็กๆ หรือเป็นกลุ่มคนเชื้อสายจีน ผมเชื่อว่าในซอยหรือในชุมชนนั้นๆ จะต้องมีศาลเจ้าประจำซอย และคนในชุมชนนั้นๆ จะมีพิธีไหว้ศาลเจ้าตอนต้นปีเพื่อเป็นการบอกกล่าวท่านว่าปีนี้ขอให้ท่านดูแลชาวชุมชนให้อยู่ดีมีสุข และอีกครั้งตอนท้ายปีเพื่อเป็นการขอบคุณท่านที่ดูแลเรามาตลอดทั้งปี
สำหรับพิธีนั้น ก็จะมีการจัดประดับประดาบริเวณหน้าศาลเจ้าซึ่งจะมีอุปกรณ์จำนวนมากพอควรเช่นโต๊ะ เก้าอี้ หลอดไฟ ชุดต่างๆ ที่ทำจากกระดาษ และเครื่องประดับศาลเจ้าอีกชุดใหญ่ และในวันที่มีพิธีงานเลี้ยงขอบคุณนั้นจะมีหนังกลางแปลงฉายในซอย รวมถึงจะมีการร่วมทำการประมูลพวกของใช้และผลไม้สำหรับเป็นทุนในการทำนุบำรุงศาลเจ้าและจัดงานในครั้งต่อไป ส่วนจะจัดกันครั้งละกี่วันนั้น ก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ของแต่ละชุมชน
ตอนเด็กๆ ผมจะชอบและตื่นตากับงานแบบนี้มาก เพราะจะมีของกินให้กินทั้งคืน ในซอยทั้งซอยจะสว่างไสว แม้แต่ในซอยบางซอยซึ่งมืดมากในเวลาปกติก็ยังสว่าง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในซอยอื่นๆ จะทยอยมากันจนเต็มซอยเพื่อจับจองที่นั่งกันดูหนังกลางแปลง
ในสมัยนั้นผมเองยังนึกแปลกใจที่บ้านหลังนี้ไม่มีผู้อาศัยอยู่...เพราะถึงแม้จะมีผู้คนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเช่า แต่ทุกครอบครัวก็ย้ายออกด้วยระยะเวลาที่เรียกได้ว่ารวดเร็วมาก และนั่นทำให้บ้านที่ปราศจากการดูแลใดๆ หลังนี้ยิ่งทรุดโทรมกว่าบ้านหลังอื่นๆ และอึมครึมมากขึ้น
บางครั้งในเวลากลางคืนที่ผมต้องเดินผ่านบ้านหลังนี้เพื่อออกไปปากซอย เมื่อผมชำเลืองมองผ่านช่องประตูซี่เหล็กที่ผุพังเข้าไปยังตัวบ้าน ผมจะรู้สึกขนลุกกับความมืดมิดในตัวบ้านหลังนี้เป็นอย่างยิ่ง
...เรื่องนี้เกิดขึ้นก็ตอนที่ญาติผมมาเช่าบ้านหลังนี้...
ผมคิดว่าอาจจะเป็นโชคดีของญาติผมก็ได้ที่เขาไม่ได้มาอยู่เอง เขาเช่าเพื่อใช้เป็นที่ผลิตและเก็บกระเป๋าหนังซึ่งเป็นกิจการในครอบครัวของพวกเขาเอง
ดังนั้น อุปกรณ์ของศาลเจ้าซึ่งแต่เดิมถูกเก็บไว้อยู่ในสิ่งที่ตัวผมในวัยเด็กคิดว่าเหมือนกับโลงศพที่ทำจากเหล็กที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของตัวบ้านนั้น จึงถูกย้ายขึ้นไปเก็บไว้ที่ชั้นบนแทนพร้อมๆ กับข้าวของเครื่องใช้ของคนงานและอุปกรณ์การผลิตถูกนำมาวางแทนที่
คนงานที่เป็นลูกจ้างของญาติผมประมาณห้าคนซึ่งมีภูมิลำเนาจากต่างจังหวัดถูกจัดให้ทำงานอยู่ในบ้านเจ้าหลังนี้ และหากวันไหนทำงานจนดึกดื่นก็สามารถนอนพักอยู่ในบ้านหลังนี้เลยก็ได้เช่นกัน
...เช้าหลังวันเกิดเหตุ...ผมเดินออกจากบ้านเพื่อไปเรียนตามปกติในช่วงเวลาประมาณตีห้าครึ่ง ซึ่งในช่วงฤดูหนาวนั้นท้องฟ้ายังค่อนข้างจะมืดสลัวอยู่พอสมควร และบ้านท้ายซอยอย่างผมแน่นอนว่าต้องเดินผ่านบ้านเจ้าหลังนี้หากต้องการจะออกไปปากซอย
...เพียงแต่ว่า...วันนี้ ผมเห็นคนงานคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในลูกจ้างของญาติผมนั่งอยู่หน้าประตูบ้านเจ้าในสภาพที่บอกไม่ถูก
...ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียว...ที่ตัวมีผ้าขนหนูห่มอยู่...นั่งกอดอก...หน้าซีด...ตัวสั่น...และ...ผมที่หัว...ชี้ตั้งอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน...
เมื่อมองไปยังตัวบ้านเจ้า...ประตูบ้านถูกปิดล๊อคอยู่ แสงไฟจากภายในส่องลอดจากรอยผุพังของประตูออกมา ทำให้รู้ว่าภายในบ้านยังคงเปิดไฟฟ้าอยู่
ผมนึกแปลกใจอย่างมากที่เห็นเขามีสภาพแบบนั้น และในขณะที่ผมกำลังนึกว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่นั้นก็บังเอิญเพื่อนของผมซึ่งจะเดินทางไปโรงเรียนด้วยกันทุกเช้าเดินออกมาจากบ้านของเพื่อนผมเองซึ่งอยู่ติดกับบ้านเจ้าหลังนี้
ในระหว่างที่เดินออกจากซอย เพื่อนผมก็เลยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาที่เพื่อนผมได้รับรู้จากคนงานคนนั้น
เมื่อคืนที่ผ่านมาคนงานที่ทำงานอยู่ในบ้านหลังนี้ทั้งหมดห้าคนต้องเร่งงานให้ทันส่งของในวันรุ่งขึ้น ดังนั้น ทุกคนจึงตัดสินใจที่จะอยู่ทำงานกันจนรุ่งสาง
ในขณะที่ทุกคนกำลังทำงานกันอยู่อย่างขะมักเขม้นจนไม่ได้ดูเวลากันนั้น จู่ๆ ไฟฟ้าในบ้านทั้งหลังก็ดับพรึ่บลงพร้อมๆ กัน
แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากหน้าบ้านทำให้พอมองเห็นอะไรๆ ภายในตัวบ้านได้บ้าง...ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก...
คนงานแต่ละคนเริ่มขยับหาเทียนไขจุดเพื่อให้เกิดแสงสว่างแทนแสงจากหลอดไฟ และเมื่อแสงสีเหลืองนวลจากเทียนไขถูกจุดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น
สายตาของคนงานคนหนึ่งหรือก็คือคนที่ผมเห็นตอนที่เดินออกมาจากซอยนั่นละครับ ซึ่งบังเอิญว่าเขานั่งอยู่ใกล้กับบันไดบ้านที่อยู่ตอนหลังของตัวบ้านมากที่สุดเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
เป็นเหมือนชุดนอนสีขาวอยู่บนที่พักบันได...แต่พอมองดูดีๆ แล้วเขาก็พบว่าเป็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งต่างหากที่สวมชุดนอนสีขาวนั้นอยู่ และที่สำคัญผู้หญิงคนนั้นก็กำลังหันหน้ามายังพวกเขาเช่นกัน
เธอคนนั้นค่อยๆ ลอยลงมาจากที่พักบันไดอย่างช้าๆ เนื่องเพราะพวกเขาไม่ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของการเหยียบย่ำบันไดไม้เก่าคร่ำคร่าเลยแม้แต่น้อย
ใจของคนงานคนนั้นอยากจะวิ่งหนีมาก แต่มันเหมือนกับเรี่ยวแรงหายไปหมด และที่สำคัญเขาบอกว่าขนาดจะละสายตาจากผู้หญิงคนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เธอคนนั้นค่อยๆ ลอยลงมาจนสุดขั้นบันได และยังคงเคลื่อนที่มาหาเขาซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด เขารู้สึกตัวว่ากำลังจะช๊อค...เธอเคลื่อนตัวผ่านห้องน้ำ...ใกล้เข้ามา...
แต่ก็เหมือนกับอะไรมาโปรด...จู่ๆ ไฟฟ้าภายในบ้านก็ติดสว่างเอาดื้อๆ...และ...
...ผู้หญิงคนนั้นหายไปต่อหน้าต่อตา...
หลังจากนั้นก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ต่างคนต่างวิ่งหนีไปกันคนละทาง ก็มีแต่คนงานที่ผมเห็นนี่ล่ะที่วิ่งไม่ไหว เลยออกมานั่งอยู่หน้าบ้าน
เพื่อนผมซึ่งอยู่บ้านข้างๆ ที่ถูกปิดกั้นอาณาเขตของบ้านโดยฝาไม้เท่านั้น ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นตอนประมาณตีสี่จึงออกมาดูเหตุการณ์และเห็นคนงานคนนี้นั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้านด้วยอาการตัวสั่นงันงกและผมที่ชี้ฟูประดุจใส่เจล เพื่อนผมจึงไปเอาผ้าขนหนูมาให้ห่มและนั่งอยู่เป็นเพื่อนจนถึงก่อนที่ผมจะออกมาจากบ้านเพียงครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นเมื่อมีคนถามถึงหน้าตาของหญิงสาวที่เห็น คนงานคนนั้นตอบเพียงว่าเขาจำไม่ได้
และ...ในที่สุด...บ้านหลังนี้ก็ถูกปิดลงอีกครั้ง...
เรื่องนี้ถูกเล่าอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวซอยในช่วงเวลานั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร และมาทำอะไรที่นี่ เพราะตั้งแต่ที่มีการอยู่อาศัยในซอยนี้กันมาก็ยังไม่มีใครเคยเจอ
ในขณะนั้น...ตัวผมเองก็เชื่อไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ เพราะตอนนั้นผมเองก็ไม่เคยเจออะไรกับเขาสักที แต่...เรื่องนี้ก็ทำให้ผมซึ่งเป็นคนค่อนข้างจะกลัวเรื่องพวกนี้อยู่แล้วหวาดระแวงมากขึ้นเวลาที่เดินผ่านบ้านหลังนี้ในเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มมืด
อย่างไรก็ตาม...ผมก็คิดว่า คืนนั้น คนงานคนนั้นต้องเจออะไรที่น่ากลัวสุดๆ มากจริงๆ อย่างแน่นอน เพราะหน้าตาและอาการตัวสั่นของเขามันน่าจะโกหกกันไม่ได้
และที่สำคัญ...เส้นผมของเขาจะตั้งได้ขนาดนั้นได้ยังไง
...อีกอย่างที่ทำให้ผมได้รู้ก็คือ คำที่เขามักจะพูดกันว่า กลัวจนขนหัวลุก มันมีจริงๆ แฮะ...
จากคุณ :
KTHc
- [
9 ต.ค. 50 22:36:28
]