ผมเห็นต้นไม้แห้งๆโงนเงนท่ามกลางซากปรักหักพังแห่งความพินาศตอนใกล้รุ่งของวันที่ 2 มกราคม 2007 ผมค้นมือถือในกระเป๋า หยิบออกมาเปิดฝาแล้วกดเบอร์ที่ไม่ค่อยได้ใช้นัก เบอร์ที่บางทีก็ลืมไปว่ามันอยู่ในซอกหลืบใดของระบบบันทึก เบอร์ที่แม้เห็นตอนที่มันเรียกเข้ายังไม่รู้สึกรู้สมใดๆ
ผมเลื่อนนิ้วไปที่ปุ่มโทรออก สายตามองหน้าปัดแล้วจู่ๆข้อนิ้วก็ค้างเติ่งอยู่ในอากาศราวเป็นอัมภาตกระทันหัน ผมหลับตาลง ดูเหมือนความร้อนที่ขอบตาจะคลายลงพร้อมหยาดน้ำที่ไหลลงอาบผิวหน้า ฝาโทรศัพท์ถูกปิด มือกำโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีซีด
ผมทรุดตัวนั่งกับพื้นดึงมือที่กำโทรศัพท์มาทาบกับอก ใบหน้าหน้าก้มต่ำจนคางชิดอก เนื้อตัวสั่นเทิ้มขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่สามรถเก็บความเสียงสะอื้นของตัวเองได้อีก ครอบครัวของผม พ่อ แม่ พี่น้องของผม ทำไมคิดถึงจับใจแบบนี้ อยากคุยด้วย อยากเห็นหน้า อยากทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำด้วยทุกคนในครอบครัวล้วนกระดากอายในการแสดงออกซึ่งความรักความผูกพันธ์ซึ่งกันและกัน ผมเอนตัวลงนอน เข่างอแนบลำตัวราวหนาวเหน็บเจียนขาดใจ เมื่อใบหน้ายิ้มแย้มในวันวานของแต่ละคนสลับกันเข้ามาวนเวียนในสมอง
ตอนมีกันและกันรอยยิ้มของพวกเราที่มีให้กันก็คือแค่นั้น ไม่เคยรู้สึกว่ามันน่าประทับใจ น่าโหยหาจนหัวอกหายห้วงเท่านี้ ผมกระอักร้องไห้เสียงดังอย่างไม่คิดเก็บกัก วันธรรมดาเหล่านั้นมีช่างมีค่ามีความหมายอยากไขว่ขว้าได้มาอีกสักครั้งเหลือเกิน
ในความรันทดใจที่ท่วมท้น ผมคิดถึงพ่อกับแม่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ช่างประไรหากท่านจะผลักไสโดยอ้างว่าน่ารำคาญหรือออกปากด่าว่าว่าโอเวอร์ ผมจะกอดพวกท่านให้แน่นที่สุดทำที่ทำได้ด้วยไม่รู้พรุ่งนี้จะมาหาผมอีกนานสักเท่าไหร่ นับจากนี้ผมคงมีแต่วันนี้เท่านั้นที่จะดื่มด่ำกับโอกาสพระเจ้าโปรดเหลือไว้ให้
ว่าแต่ร่างกายนี้กำลังจะเปื่อยเน่าผมจะกล้าเข้าใกล้พ่อกับแม่หรือ? ควรให้ท่านรู้เห็นสังขารที่ต่อไปจะน่ากลัวใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตใต้โลกากระนั้นหรือ นี่ผมทำอะไรลงกับชีวิต แม้มันน่าเบื่ออย่างไรผมก็ไม่ควรคิดเลวแส่หาเรื่อง จะทำอย่างไรจะโทษใครได้
ผมกอดตัวเองแน่น อยากกลับบ้านจัง อยากเห็นสิ่งก่อสร้างที่มีไอของอดีต มีเส้นเลือดที่มองไม่เห็นหล่อเลี้ยงมาตั้งแต่ชีวิตเริ่มจนเติบโตจนคิดดิ้นรนออกมาจากที่นั่นด้วยความรู้สึกที่แปลกแยก ขัดแย้งและงี่เง่าตามวัยเจริญพันธ์
หลังเปลือกตากลายเป็นสีส้มสว่างจนผมต้องหรี่ตามอง ห้องทั้งห้องสว่างด้วยแสงสีส้มที่ไม่ร้อนแรงฉาบส่อง ผมเลื่อนสายตาไปที่นาฬิกาที่ผนัง เกือบจะแปดโมงช้าแล้ว ผมไม่อยากขยับร่างกายที่หนักอึ้งเหมือนถูกทับไว้ด้วยหิน ในหัวมีแต่คำพูดซ้ำๆว่า...ช่างประไรวันทำงาน
กระนั้นผมก็พบว่าตัวเองกำลังปล่อยให้น้ำอุ่นจากฝักบัวไหลอาบร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า แผลที่มือออกอาการประท้วงเมื่อโดนน้ำ นิ้วสั่นเล็กน้อยจากความเจ็บ ผมมองบาดแผลที่เปิดอ้าด้วยอารมณ์เฉยเมยเย็นชา ความเจ็บระบมใดๆต่อไปจบสิ้นทุกอย่างจะกลายเป็นเถ้าถ่าน ใช่ตายแล้วก็เผา เผาในเมรุ เผาในเตาที่เต็มไปด้วยไฟที่ร้อนดั่งไฟนรก ร่างกายเน่าๆจะหดไหม้ กระดูกที่ลั่นกรอบแกรบ
"พอกันที หยุดคิดเดี๋ยวนี้" ผมตะโกนอย่างเสียจริต ทุบโครมๆที่ผนังกระเบื้องบาดแผลอักเสบเปิดอ้าอีกครั้ง เลือดติดเป็นคราบบนเนื้อกระเบื้องสีอ่อน ผมลูบหน้าไล่น้ำจากหน้า ความรู้สึกหดหู่ไหลบ่ามารวมกับความกลัว ณ ก้นบึ้งของหัวใจ ผมตบหน้าตัวเองหลายที
ไหนว่าอยากตาย ไหนว่าชีวิตที่ว่างเปล่ากลวงโบ๋จะตายวันไหนไม่แคร์ เอาเข้าจริงๆก็น่าอายเพราะแท้จริงยังอาวรณ์โลกที่ปรามาสว่าน้ำเน่าใบนี้เสียเหลือเกิน ความกลัวทำให้ความกล้าท้าตายหดหัวไปซุกอยู่ซอกมุมกลีบสมองชั้นที่ลึกที่สุด
ผมกลัดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ทแล้วหยิบไทด์ขึ้นมาผูก ขณะจิตเหม่อลอยคิดถึงใบหน้าของนิคกี้ตอนที่เขาผูกไทด์ให้ผม ผมยกมือขึ้นอุดปากอยากอาเจียน
"นายเป็นเอดส์ใช่ไหม? นิคกี้นายทำกับฉันที่เพิ่งรู้จักกันได้อย่างไร ฉันมีความแค้นใดกับนายหรือ" ผมกุมท้องด้วยรู้สึกปวดจุกเหมือนถูกตุ๊ยจากนักเลงหมัดช้าง
"ความตายเย็นเยียบเหมือนจูบนี่ล่ะ" คำพูดของนิคกี้หลังจูบผมด้วยน้ำแข็งดังในโสต
"ทำไมไม่ลงนรกไปคนเดียววะ ไอ้คนสารเลว" ผมครางร่างกายค้อมงอ อาการปวดท้องเป็นริ้วใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นก็ยังแข็งใจหยิบเสื้อนอกขึ้นมาใส่ แล้วหยิบกระเป๋าสะพายใบโตขึ้นมาพาดบ่า หยิบบางสิ่งบนโต๊ะหนังสือขึ้นมาใส่กระเป๋าด้านในเสื้อนอก อย่างไรเสียวันนี้ผมก็จะต้องไปทำงาน มันสำคัญเวลาที่มีเหลือไม่มากแล้ว
แน่ใจหรือว่าผมกำลังจะตายในอีกไม่นาน ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย รถยังติดเป็นลานจอดรถตามห้างเหมือนทุกวัน เสียงแตร ไอเสีย จราจรที่เป็นหัวหลักหัวตอ ยังคงเป็นภาพเจนตาให้อารมณ์เบื่อของผมได้อย่างแข็งขันเหมือนทุกวัน
ผมสานมือรองคางแล้วหันกลับมากวาดสายตามองคนรอบกายที่กำลังยืนเบียดเสียด แต่ละคนต่างมีสีหน้าบูดบึ้ง เบี้ยวเหยเกไม่น่ามอง ผมได้นั่งตากแอร์สบายผิวเพราะที่อยู่ใกล้กับอู่รถ บรรยากาศนี่ก็ซ้ำซากจำเจ จะเป็นอย่างนี้จนผมตายซินะ
ผมมองผู้หญิงที่ยืนใกล้กับที่ผมนั่ง กี่เดือน กี่ปี ที่ผมเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วปล่อยใจคิดถึงแต่ความตาย เท่าที่จำได้ผมไม่เคยมองชีวิตผู้คนร่วมชะตากรรมกับในรถโดยสารเลย ผมเอาแต่เหม่อมองออกไปแสนไกลและปล่อยใจคิดแต่สะระตะอันไม่เป็นสาระ ทั้งที่ใกล้ตัวนั้นมีอะไรให้ทำอย่างสร้างสรร
ผมขยับลุกขึ้นแล้วเอ่ยปากให้ผู้หญิงร่างบางที่คอยส่งสายน่าสงสารมาทางนี้ตลอด หล่อนขอบคุณแล้วก้าวเข้าไปนั่งแทนคนที่ขยับเข้าไปแทนผม ผมก้าวมายืนข้างเก้าอี้แทนหล่อน จะตายอยู่แล้วต้องทำให้วารวันเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง จะได้ไม่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นต้นหญ้า ผมถอนใจ สบสายตาที่ผู้หญิงคนนั้นคอยส่งมาให้อย่างรู้สำนึกบุญคุณแล้ว... ไม่รู้สิมันบอกไม่ถูก อากาศรอบตัวเหมือนมันแปลกไป มันสดชื่นและไม่หดหู่ทั้งที่ควรหดหู่แต่ก็ไม่สักนิด ไม่เคยรู้สึกแปลกใหม่อย่างนี้เลย
มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ หากคุณเป็นคนสนใจคนรอบกาย แต่สำหรับผมคนที่เอาแต่คิด เอาแต่แยกตัวเองจากโลก ไม่คิดจะสัมพันธ์กับใครเพราะกลัวคำว่าเสียใจถ้าไม่ได้รับการยอมรับ นี่จึงเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ทำโลกความจำเจผมเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยผมก็ลืมความเป็นความตายของตัวเองได้สักครู่เล็กๆ
รถไฟฟ้าที่ผมลงรถเมล์มาต่อเมื่อหลายนาทีก่อนจอดสถานีเดิม เวลาเดิม ประชาสัมพันธ์ในเทปยังคงพูดด้วยภาษาไทยสลับกับภาษาอังกฤษได้อย่างน่าเหนื่อยใจสำหรับชาวต่างชาติเหมือนเดิม มีอย่างเดียวที่เปลี่ยนไปคือผม ผมไม่ใช่คนที่แข็งแรงคนเดิมอีกแล้ว เสียบบัตรเปิดทางออกแล้วต้องตรงไปที่บันไดทางลง ผมทำอย่างนี้ทุกวัน หากแต่วันนี้ที่ช่องบันไดตรงนั้นกลับกลายทำให้ผมเท้าหนักขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
ผมเงยหน้ามองอาคารตรงหน้าแล้วรู้สึกเจ็บหน้าอก คนที่เดินด้านหลังชนผม เขากล่าวขอโทษเบาๆแล้วเดินจากไป ผมค่อยๆออกเดินอย่างเชื่องช้า ก้าวแต่ละก้าวเหมือนถูกถ่วงด้วยหินขนาดใหญ่แทบยกไม่ขึ้นเลย ยิ่งใกล้ถึงพื้นผมยิ่งไม่อยากขยับ แต่ด้วยความเคยชินศีรษะของผมหันไปโดยไม่ต้องบังคับ ภาพที่ผมเฝ้ามองทุกวันด้วยหัวใจที่อับเฉาหากก็ยังมองอยู่อย่างนั้น
ในวันนี้วันที่ผมไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ภาพฝังใจของผมยิ่งกลายเป็นหมอกควันที่ใกล้สลายหายกลายเป็นธาตุอากาศ ผมสะอึกอึกอักในทรวง เมื่อสายตาสบกับร่างระหงในชุดยูนิฟอร์มสีขาว หล่อนยังคงเริงร่าท่ามกลางเพื่อนๆเหมือนทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ผมเห็นหล่อนอยู่เพียงเดียวดาย ช่างตรงกันข้ามกับผมเลย
BY Dongkan
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 50 00:09:38
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 50 00:08:40