Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “เส้นขนาน” โดย…….ลมหนาว

              “ เออ…. ว่าไงไอ้มิ้ม”  ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์  “ก็แค่จะโทรมาเตือนความจำแก ห้ามลืมนะเว้ย ร้านพี่ตา  5 โมงเย็น” เสียงสดใสของเธอตอบกลับมาตามสาย “เออน่า  ไม่ใช่ปลาทอง จะได้ความจำสั้นขนาดนั้น” เธอหัวเราะ  ทำเอาผมอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ “ อือ …งั้นแค่นี้แล้วกัน เจอกันเว้ย” เธอวางสายไปแล้ว แต่ผมยังไม่หุบยิ้ม

                เธอจะเปลี่ยนไปมากหรือเปล่านะ  หายบ๊องหรือยังก็ไม่รู้  ผมยังจำวันแรกที่เรารู้จักกันได้เป็นอย่างดี  เพราะเธอเป็นคนแรก ที่มาทักและถามชื่อผมในห้องเรียนชั้น ม.1 ในวันเปิดเทอมวันแรก  อาจจะเป็นเพราะว่าผมนั่งอยู่คนเดียว โดยไม่มีเพื่อนก็ได้ ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ ที่บังเอิญสอบติดโรงเรียนประจำจังหวัด ไม่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนเก่าเลย ซึ่งคนอื่น ๆ ในห้องเค้าก็มีกลุ่มกันหมดแล้ว เพราะส่วนมากเค้าก็เด็กในเมืองกันทั้งนั้น  แต่ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเรามาสนิทกันได้ยังไง  เธอก็มีกลุ่มของเธอ  ผมก็มีกลุ่มของผม  ม.ปลาย ก็อยู่กันคนละห้อง มารู้ตัวอีกที ผมก็ต้องมานั่งรับฟังปัญหาสารพัดของยายคนนี้ซะแล้ว  

                 “ มิ้ม ” เป็นเด็กผู้หญิงใส่แว่นที่หน้าตาดูดี  ไม่ได้สวยมาก แต่ชวนให้มองพอสมควร  แถมยังทั้งบ๊อง ทั้งโก๊ะ  แต่ก็ด้วยโก๊ะความนี่แหละครับ ที่ทำให้มีคนชอบเธอเยอะ  “ป่าน… พี่น้อตชวนไปดูหนังว่ะ  ไปดีป่าววะ”  “ป่าน… ไอ้อ้นห้อง 5 ชวนไปกินข้าวว่ะ” ผมจะได้ยินประโยคทำนองนี้ออกจากปากมิ้ม เสมอ แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นมิ้มคบใครเป็นแฟนในตอนนั้น

                   เราห่างกันไปพักหนึ่ง ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย เพราะผมลงใต้ ส่วนเธอขึ้นเหนือ ซึ่งสมัยนั้น เรายังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้กันเลย ทำให้การติดต่อกันเป็นเรื่องยาก เหมือนโชคเข้าข้าง ผมได้เจอเธออีกครั้งในช่วงใกล้จะเรียนจบ ในงานแนะแนวงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ที่กรุงเทพ ฯ    ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าใช่เธอไหม เธอสวยขึ้น ผอมลง ไม่ใส่แว่นแล้ว ขณะที่ผมกำลังยืนลังเลว่าจะทักดีหรือเปล่านั้น  เธอกลับวิ่งเข้ามาหาผม   “ไอ้ป่าน…คิดถึงว่ะ ไม่ได้เจอแกตั้งนาน
     มานี่เลย” เธอลากผมออกไปจากงาน ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดขืนเลยสักนิด แล้วจะลากทำไมเนี่ย

                 “แก …พ่อเราจะให้ไปต่อโท ออสเตรเลียว่ะ ” เธอบอกกับผม หลังจากที่เราได้ร้านกาแฟเพื่อนั่งคุยกัน “แกจะไปต่อโทร แล้วมางานนี้ไมเนี่ย  แถมยังมาลากเราออกจากงานอีก แล้วเราจะได้สมัครงานไหมวะ” ผมว่าไปในตอนนั้น “แกนี่ งานเค้ามี 2 วัน พรุ่งนี้แกค่อยมาสมัคร  เรามาเล่น ๆ ว่ะ เพื่อนมาเยอะเลยถือโอกาสมาเที่ยวกรุงเทพ ฯ ด้วย”  แล้วผมก็นั่งคุยเล่นเรื่อยเปื่อย กับเธอ จนได้เวลาที่เธอ นัดกับเพื่อนเธอ เหมือนโชคเข้าข้างอีกครั้ง เราต่างมีมือถือกันแล้วในตอนนั้น ผมได้แลกเบอร์โทรศัพท์ แล้วก็อีเมล์ กับเธอ แล้วผมก็เดินไปส่งเธอตรงที่เธอนัดกับเพื่อน

                 แต่ทว่า มีสุขแล้วก็ต้องมีทุกข์ “ป่าน นี่นนท์ แฟนเราเอง” เธอบอกกับผม พร้อมกับหันไปบอกอีกฝ่าย “นนท์ นี่ป่าน เพื่อนสนิทมิ้ม ตั้งแต่อยู่ ม.1 เลยนะ”  แล้วผมก็ขอตัวกลับก่อน

                ‘มิ้มมีแฟนแล้ว’ ผมบอกกับตัวเอง แต่ก็นะ ทำไมมิ้มจะมีแฟนไม่ได้ ในตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมต้องแคร์ ด้วย ว่ามิ้มมีแฟน หรือไม่มีแฟน ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร แล้วทำไมผมต้องดีใจขนาดนั้นตอนเจอมิ้ม  ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมรักมิ้มเข้าให้แล้ว

               นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเธอก่อนที่เธอจะบินไปเรียนต่อ แต่เธอก็ส่งเมล์ มาเล่าเรื่องเธอ ข่าวคราวของเธอ ส่งรูปเธอมาให้ดูอยู่เสมอ รวมทั้งระบายอารมณ์เวลาที่เธอทะเลาะกับแฟนเธอ  ผมก็ได้แต่ปลอบไปตามเรื่องตามราว แต่ก็เจ็บกับเธอทุกครั้งที่เธอเจ็บ เศร้ากับเธอทุกครั้งที่เธอเศร้า เห็นเธอสุข ก็สุขไปกับเธอ แต่จะทำอะไรได้มากกว่านี้ล่ะครับ  ผมมันเพื่อนรัก ไม่ใช่คนรักนี่ครับ
    …………………………..
      “อ้าว…ป่านมาแล้วเหรอ ยายมิ้มโทรบอกพี่แล้ว โน่นพี่จองมุมนั้นไว้ให้แล้ว คุยกันเป็นส่วนตัวดี” พี่ตา ลูกพี่ลูกน้องของมิ้ม เจ้าของร้านกาแฟมาตาแห่งนี้ ทักผมทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้าน  “ขอเหมือนเดิมนะครับพี่ตา”  ผมสั่งลาเต้เมนูเดิม  จริง ๆ แล้วผมก็มาร้านนี้บ่อย ๆ เพราะใกล้ที่ทำงาน จริง ๆ ที่ผมรู้จักร้านพี่ตาก็เพราะยายมิ้มแหละครับ ส่งเสียงข้ามประเทศมาจากออสเตรเลียว่าลูกพี่ลูกน้องเปิดร้านกาแฟ ช่วยอุดหนุนหน่อย ไป ๆ มา ๆ ผมเลยกลายเป็นลูกค้าขาประจำ

                 “หวัดดีค่ะ เจ๊ตา” เสียงเธอดังมาก่อนตัว ทำไมผมต้องใจเต้นด้วยนะ  เธอเดินมาหาผมแล้วครับ  มิ้มไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ยังคงสดใส ร่าเริง แล้วก็ยังโก๊ะอยู่เหมือนเดิม เพราะเธอสะดุดเท้าตัวเอง เกือบล้ม ทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้ “ยิ้มไรยะ” เธอพูดพร้อมกับมองผมตาขวาง  นั่นไง ชัดเลย มิ้มตัวจริง เสียงจริงแน่นอน “แล้วแฟนไม่มาด้วยเหรอ”  ผมถามเธอ “เลิกกันแล้วว่ะ ” เธอตอบ
    ทำไมผมต้องดีใจด้วยนะ เมื่อเธอไม่พูดอะไรต่อ ผมก็เลยไม่ถามต่อเหมือนกัน

             แล้วเราก็นั่งคุยกันถึงเรื่องอื่นๆ ไป บางครั้งก็หัวเราะ กันเสียงดัง จนพี่ตาต้องเดินมาบอกให้เกรงใจโต๊ะอื่นบ้าง  แต่บางครั้งก็เงียบกริบเพราะไม่รู้จะพูดอะไร

                จนในที่สุด ผมก็ตัดสินใจพูด “ไอ้มิ้ม แกรู้ไหมว่าเราชอบแก แต่เราก็ไม่คิดจะจีบแกเป็นแฟนหรอกนะ เพราะที่เราเป็นอยู่อย่างนี้มันก็ดีแล้ว  เพราะเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าเราเป็นแฟนกันเราจะดูแลแกได้ดีแค่ไหน ไม่รู้จะทำให้แกร้องไห้หรือเปล่า แต่เราอยากให้แกรู้ไว้อย่างนะ ในฐานะที่แกเป็นเพื่อนรัก ไม่ว่าแกจะทุกข์ สุข เศร้า อะไรก็แล้วแต่ ถ้าแกมีปัญหา แกบอกเราได้ทุกอย่างเลยนะ ” มิ้มนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะมองหน้าผม แล้วพูดว่า “เราขอบใจสำหรับความรู้สึก ที่แกมีให้เรา เราก็รู้ เพราะเราก็คิดไม่ต่างจากแก เป็นเพื่อนกันนี่แหละดีที่สุดแล้วสำหรับเรา”

              “ ระหว่างเรามันคือเส้นขนานนี่นา ” ผมกับมิ้มพูดขึ้นพร้อมกัน พร้อม ๆ กับที่เสียงหัวเราะของเราดังก้องไปทั่วร้าน

           ใช่ครับ ระหว่างเรามันคือเส้นขนาน เราสามารถมองเห็นกันและกันได้ตลอดขณะที่เดินคู่กันไป แต่เส้นทางของเราไม่มีวันมาบรรจบกัน.

    แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 01:58:47

    จากคุณ : **I'm a blue girl** - [ 18 ต.ค. 50 01:53:41 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom