บันทึกของคนเดินเท้า
รำลึกถึงท่านปัญญานันทะภิกขุ
เทพารักษ์
ในบรรดาสิ่งเสพติดที่เป็นพิษให้โทษแก่มนุษย์ นอกจาก ฝิ่น กัญชา ใบกระท่อม มอร์ฟีน เฮโรอีน ยาม้าหรือยาบ้า ยาขยัน ยาเลิฟ กาว ทินเนอร์ ที่พระท่านรวมไว้ในข้อ มัชชะ แล้ว ยังหมายถึง หมากพลู ยานัดถุ์ ยาแก้ปวด ยาเพิ่มพลัง หรือแม้แต่กาแฟ ซึ่งมีสารคาเฟอีน และบุหรี่ ซึ่งมีสารนิโคติน ซี่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมวลมนุษย์ ก็รวมอยู่ในข้อนี้ด้วย เรื่องนี้ผมเพิ่งได้ทราบ เมื่อไปฟังเทศน์ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ หลายปีมาแล้ว
เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ก็มีการรณรงค์เพื่อให้คนเลิกสูบบุหรี่ ซึ่งก็มีผู้ที่เชื่อถือ และพยายามจะเลิกสูบเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ก็ยังเลิกไม่ได้จริงสักที ส่วนผู้ที่ทดลองสูบบุหรี่ แล้วลงท้ายก็สูบเป็นประจำ คือพวกที่เกิดมาทีหลังนั้นกลับมีมากขึ้นทุกที ทั้ง ๆ ที่บนซองบุหรี่ก็ได้มีข้อความประกาศโทษของมันอย่างชัดเจน เช่น
การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อผู้ใกล้ชิด (ไม่เป็นไรไม่ใช่ตัวเรา)
การสูบบุหรี่เป็นการตายผ่อนส่ง (ไม่เป็นไรยังอีกนาน)
การสูบบุหรี่เป็นการติดสิ่งเสพติด (ไม่เป็นไรเพราะยังไม่มีตัวบทกฎหมายมาลงโทษ)
คำเตือนข้างต้นนั้นจึงไม่มีผู้สนใจเท่าใดนัก ส่วนคำขู่ต่อไปนี้ค่อนข้างจะน่ากลัวแต่ก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เช่น
การสูบบุหรี่ทำให้ถุงลมโป่งพอง
การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดในสมองแตก หรืออุดตัน
การสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอด
การสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคหัวใจ
และลงท้ายก็เป็นการขอร้องชักชวน คือ
การเลิกสูบบุหรี่ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้าย (เหล่านั้น)
ผู้คนทั้งหลายจึงยังคงสูบกันต่อไปอย่างหน้าตาเฉย
คนที่ติดบุหรี่แล้ว ดูเหมือนจะมีน้อยรายที่สามารถจะเลิกสูบบุหรี่ ได้โดยเด็ดขาด ก่อนที่จะป่วยหนัก บางคนพยายามเลิกตั้งหลายครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จ บางคนเลิกบุหรี่แล้วก็เลยติดสิ่งเสพติดอย่างอื่นแทนก็มี
และพวกที่หัดสูบขึ้นมาใหม่ก็ไม่เคยสนใจ ในคำตักเตือนด้วยความหวังดีเหล่านี้เลย คงก้มหน้าก้มตาสูบกันควันโขมง
เมื่อรู้ว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างนี้ ถามว่าทำไมจึงยังมีโรงงานผลิตบุหรี่อยู่ในประเทศไทย คำตอบก็คงจะเป็นทำนองที่ว่า ถ้าเราไม่ผลิตเอง พวกบุหรี่ต่างประเทศก็เข้ามาโกยเงินไปหมด เท่านั้น
นั่นก็แสดงว่า ทั้งผู้ผลิตและผู้ขายบุหรี่ ก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่า จะมีใครเลิกสูบบุหรี่ได้ นอกจากจะตายไปเสียก่อน และยังเชื่ออีกว่าคนที่หัดสูบบุหรี่นั้น มีมากกว่าคนที่ตายไปแล้ว หลายเท่านัก
ดังนั้น ถ้าได้พบเห็นร้านใด กล้าหาญพอที่จะเขียนป้ายตัวโต ๆ ไว้หน้าประตูว่า ร้านนี้ไม่ขายควันพิษ ก็ควรจะได้รับการนับถือยกย่องเป็นอย่างยิ่ง และน่าจะได้รับรางวัลดีเด่น ในการให้ความร่วมมือกับ วันงดสูบบุหรี่โลก อีกต่างหาก
ท่าน ปัญญานันทภิกขุ หรือพระธรรมโกศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ได้เคยแสดงปาฐกถาธรรมไว้ว่า
.......คนสูบบุหรี่ไม่เคยพิจารณาว่า สูบทำไม ? สูบเพื่ออะไร ? เมื่อวานนี้เดินไปที่ศาลาศพ คน ๒ คนนั่งสูบบุหรี่อยู่ เลยก็เข้าไปใกล้แล้วถามว่า
" เคยคิดบ้างไหมว่าสูบบุหรี่ทำไม สูบแล้วมันได้อะไร ธรรมชาติร่างกายต้องการบุหรี่หรือไม่ ถ้าไม่สูบจะได้ไหม เคยคิดบ้างหรือเปล่า ? "
แกก็นิ่งอยู่ เอาบุหรี่ถือไว้แล้วบอกว่า
" ไม่เคยคิด "
อาตมาเลยบอกว่า
" นี้แหละเพราะไม่เคยคิด ไม่เอากระจกส่องดูหน้าตัวเองเสียบ้าง ดูเหงือกซิ เหงือกเขียวเหมือนพระอินทร์เข้าไปแล้ว " คือเหงือกแกเขียว สีมันไม่แดงเหมือนเหงือกคนอื่น เพราะควันบุหรี่มันรมเหงือก บ่อย ๆ เข้า เหงือกก็เขียวไปแล้ว บุหรี่อยู่ในกระเป๋าล้วงออกมาถือไว้ แล้วถามว่า
" นี่ซองละเท่าไร "
" ซองละ ๑๓ บาท "
" ๑๓ บาทสูบกี่วัน "
" สูบวันเดียวหมด "
ขยันเผาสูบจนหมดเลย จิตมันไหลไปตามอำนาจความอยาก ความคิดอยากมันเกิด ก็หยิบมาสูบ สูบวันละ ๑๓ บาท
" เดือนละเท่าไร "
ให้ใช้วิชาเลขเสียหน่อย
นั่งนานคิดไม่ออก
" คูณดูซิ สิบสาม สาม...เท่าไร ? เดือนหนึ่งเท่าไร ? มันเกือบ ๔๐๐ เข้าไปแล้ว เดือนหนึ่งเกือบ ๔๐๐ บาท แล้วเงินเดือนที่ได้รับเท่าไร "
แกบอกว่า " สามสี่พัน "
แล้วถามว่า " ในครอบครัวมีลูกกี่คน "
" มีลูก ๕ คน " มีลูก ๕ คนแล้วเงินเดือน
เท่านี้ เอามาเผาเล่นเสียวันละเท่านี้ ถ้าเราไม่เผาบุหรี่เล่น เอาเงินนี้ไปเก็บไว้ฝากออมสินไว้ แล้วให้ลูกเอาไปเรียนหนังสือ หรือเอาเงินไปซื้อปลา ซื้อไข่ เอามากินกันภายในครอบครัว เพิ่มเนื้อเพิ่มหนัง ร่างกายจะได้แข็งแรง ดีกว่าที่จะดูดควันพิษเข้าไปในตัวไม่ใช่หรือ นี่ที่เราดูด ๆ อยู่นี่ มันเพราะความโง่ คือยังไม่ได้คิดให้ทันฉลาด ยังโง่อยู่
..
ท่านอาจารย์ได้แสดงปาฐกถาธรรมนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๐ โน่นแน่ะครับ
ผมเองนั้นสูบบุหรี่มา เมื่ออายุประมาณ ๑๖ ปี และสูบติดต่อกันมาถึง ๒๐ ปี ข้อดีก็คือว่าผมไม่เคยแอบสูบบุหรี่ในสมัยที่เป็นนักเรียนเลย มาสูบเอาเมื่อทำงานมีเงินเดือนแล้ว และสูบมากยิ่งขึ้นเมื่อดื่มเหล้า ซึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาจะมีอาการคอแห้ง เหมือนกลืนทรายเข้าไปสักกำมือ นิ้วชี้ นิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือนั้น เหลืองคล้ำจนเป็นสีน้ำตาลไหม้
แล้วอยู่มาวันหนึ่งผมก็เลิกสูบบุหรี่ โดยไม่ได้ตั้งใจจะเลิก เรียกว่าอดบุหรี่โดยบังเอิญ หรือด้วยความประมาทเลินเล่อก็ว่าได้ คือผมไม่สบายเป็นไข้หวัด แต่ก็ไม่ได้เลิกกินเหล้า และสูบบุหรี่ พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็เกิดอาการไออย่างหนัก แต่ก็ยังไม่วายสูบบุหรี่ตามปกติ ซึ่งก็ยิ่งทำให้ไอมากขึ้น อาการป่วยก็ไม่หาย ต่อมาอีกสองสามวันก็เกิดเหม็นบุหรี่สูบไม่เข้า ต้องโยนทิ้งก่อนหมดมวน ลองสูบต่อไปอีก ๒ - ๓ มวน ก็คงเป็นเหมือนอย่างเดิม เลยงดสูบไปหลายวันจนหายไข้
พอสูบใหม่ ปรากฎว่าไม่เป็นสรรพรสอะไรเลย เหมือนสูบฟางข้าวเผาไฟ คิดว่าคงจะหมดเวรหมดกรรมกันคราวนี้แล้ว แต่ใจมันก็ยังไม่ยอมแพ้ ทดลองเก็บกล่องบุหรี่เสียก่อน เหลือไว้แต่ไฟแช็กชนิดเติมน้ำมันเพราะสมัยนั้นยังไม่มีไฟแช็กแก๊ส พอเห็นใครหยิบบุหรี่ก็จุดไฟแช็กให้ แล้วก็ขอค่าจุดมวนหนึ่ง
ทำอย่างนี้อยู่ได้ไม่กี่ครั้งก็เลิก เพราะสูบไม่หมดมวนสักที ต้องโยนทิ้ง จึงต้องเก็บไฟแช็กอีกอัน จะรับบุหรี่มาสูบก็ต่อเมื่อมีคนส่งให้ ในฐานะที่เคยเป็นขี้ยาด้วยกันมา ลงท้ายก็ต้องขอปฏิเสธไม่รับบุหรี่มาสูบ โดยที่ผมไม่เคยมีอาการซึมเซาเหงาง่วง จนต้องหาหมากฝรั่งมาเคี้ยวเอื้อง หรือพกลูกอมเต็มกระเป๋า แต่อย่างใด
ใครจะลองเลิกสูบบุหรี่แบบที่ผมทำบ้างก็ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ เพราะเหตุการณ์ที่ว่านี้ได้เกิดมานาน ร่วมสามสิบปีแล้ว และผมไม่เคยหวนกลับไปสูบอีกเลย.
##########
ผมเขียนเรื่องนี้ลงพิมพ์ใน วารสารสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นวารสารของกองพลทหารราบที่ ๙ กาญจนบุรี ตั้งแต่
เมษายน ๒๕๔๒
เพื่อเป็นที่ระลึกในวันงดสูบบุหรี่โลก และวันเกิดของท่านปัญญานันทะภิกขุ ๑๑ พฤษภาคม ขณะที่ท่านยังไม่ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นที่ พระพรหมมังคลาจารย์
จึงขอนำมาวางในถนนนักเขียน อีกครั้งหนึ่ง เพื่อรำลึกถึงท่าน ในฐานะที่เป็นเสาหลักของพุทธศาสนิกชนคนไทย ผู้ไม่เคยสอนสาวกให้เอนเอียงออกนอกลู่นอกทาง จากคำสอนของพระพุทธเจ้า
และต่อต้านความลุ่มหลงมัวเมา ในสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาและความเชื่ออย่างงมงายของชาวพุทธ มาตลอดชีวิตของท่าน จนได้จากไปเมื่อ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐
ขอกราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง...สาธุ.
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
22 ต.ค. 50 09:36:29
]