เรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นได้ทุกวัน เพียงแต่ว่าเราจะมองวันในแต่ละวันอย่างไร ใส่ใจรอบข้างมากน้อยแค่ไหน
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันดีๆ ที่ฉันรู้สึกได้
การเดินทางไปทำงานจากพระราม 7 สู่เจริญกรุงเขตบางรัก ในชั่วโมงเร่งด่วนทำให้ฉันตื่นเต้นไม่น้อย
กลัวว่าจะไปไม่ทันนัด ที่สำคัญ การเดินทางครั้งนี้ ฉันไปคนเดียว
ครั้งแรก ของการเดินทางไปเจริญกรุง คือนัดคุยกันเรื่องงานที่ไปรษณีย์ฯ ตอนนั้นไปกันสองคน นั่งรถแทกซี่และหลับแทบตลอดทาง
ครั้งที่สอง ไปร่วมงานคริสต์มาสที่โบสถ์อัสสัมชัญ ไปกันเกือบทั้งออฟฟิศ
ครั้งที่สาม เดินทางไปคนเดียว แต่มีคนรอเพื่อพาไปยังจุดหมาย
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ ออกจากออฟฟิศตอนเที่ยงครึ่ง เริ่มต้นจากการนั่งรถเมล์สาย 90 เพื่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย ต่อไปยังสถานีสะพานตากสิน ประตูทางออกที่ 3
ตอนแรกตั้งใจว่าพอลงจากสถานีรถไฟฟ้าแล้วจะหามอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อไปยังจุดหมายคือ เจริญกรุง 36
แต่พอเห็นหน้าพี่วินที่ดูติดโหดก็เลยตัดสินใจเดินไปเองดีกว่า ถนนสายเล็กๆ มีรถวิ่งไปมาไม่ขาดแต่การเคลื่อนตัวเป็นไปอย่างช้าทำให้รถติดยาวยืด
ฉันเลยตัดสินใจเดินผ่านห้างโรบินสัน เห็นป้ายซอยเจริญกรุง 46 อยู่ข้างหน้า เป้าหมายคือซอย 36 ฉันกระชับกระเป๋าเป้ที่สะพายหลังให้มั่น
แล้วเดินมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจรถติดบนท้องถนน
ระหว่างทางในการเดิน ถึงแม้ว่ารีบแค่ไหนก็ยังมีอารมณ์สังเกตร้านค้าข้างทาง ส่วนมากจะเป็นร้านที่ขายพวกเครื่องประดับจากหินหรือคริสตัล
ราคาน่าจะแพงไม่น้อย มีนักท่องเที่ยวเดินกันให้ขวักไขว่ สายตามองไปยังตึกสูงข้างหน้า ตึกสีขาวรูปทรงแปลกตาสูงตระหง่าน ครั้งก่อนที่มาเคยตื่นตะลึงกับความอลังการของมันพร้อมกับความรู้สึกว่าช่างเป็นตึกที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวสำหรับคนที่กลัวความสูงอย่างฉัน นั่นคือ สเตจทาวเวอร์
ฉันคุยธุระเรื่องงานเสร็จประมาณบ่าย 3 โมงกว่า จึงเดินออกมาจากชุมชน ผ่านสถานฑูตฝรั่งเศส พลางคิดเส้นทางการกลับที่พัก
สงสัยคงต้องกลับทางเดิม
เมื่อตอนขามา ฉันว่าฉันเห็นร้านขนมเค้กร้านหนึ่ง เมื่อมองนาฬิกาและคำนวณการเดินทางก็คิดว่าอย่างไรคงกลับไปเข้าออฟฟิศไม่ทัน
ก็เลยเดินเอื่อยเฉื่อยไปยังทางเดินที่มีผู้คนพลุกพล่าน
ผ่านร้านค้าที่เดินอย่างเร่งรีบเมื่อตอนขามา ตอนนี้ไม่ได้รีบแล้วก็เลยมองสร้อยคอที่โชว์อยู่ในตู้กระจกใสไปเรื่อย จนกระทั่งถึงร้านเล็กๆ ร้านหนึ่ง
หน้าร้านแขวนป้าย Delicious bakery and coffee ฉันจึงผลักประตูกระจกนั้นเข้าไป
ภายในร้านขนาดหนึ่งห้อง ข้างหน้าทางซ้ายมือมีชั้นวางขนมหลายชนิด ถัดเข้าไปเป็นเคาน์เตอร์บริการลูกค้า ใกล้ๆ กันมีตู้ใส่ขนมเค้กสีหวานน่ากิน
ทั้งเค้กวนิลา เค้กชอคโกแลต เค้กผลไม้อย่างเค้กมะตูมก็ดูน่ากินไม่แพ้กัน ฉันมองไปยังริมห้องทางขวามือ โต๊ะเก้าอี้ประมาณ 5 ชุด วางเรียงยาวเข้าไปเพื่อให้ลูกค้าได้นั่งทานเค้กอย่างเอร็ดอร่อย
ฉันมองเมนูที่อยู่บนแผ่นป้ายเหนือเคาน์เตอร์ เครื่องดื่มมากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นกาแฟ นม หรือน้ำผลไม้ สามารถสั่งมาดื่มได้ในราคาที่ไม่แพงนัก
เมื่อพิจารณารอบๆ รวมทั้งขนมที่วางอยู่ในร้าน ฉันจึงเลือกหยิบพายครีมผลไม้ และครีมบลูเบอร์รี่ถ้วยเล็กไปวางที่เคาน์เตอร์ พร้อมสั่งน้ำชาเขียวนม
พนักงานจัดการนำขนมในถาดลงจานพร้อมจัดช้อนส้อม และน้ำมาให้
ฉันเดินไปจ่ายเงิน ขนมและน้ำที่ฉันสั่งไปนั้นราคาทั้งหมด 60 บาท ถือว่าไม่แพงมาก ฉันถือจานขนมไปวางที่โต๊ะที่สองของร้าน หันหน้ามองไปยังถนนข้างนอก
น้ำชาเขียวนมอร่อยไม่หวานเกินไป ฉันดูดน้ำจากหลอดกาแฟเพื่อดับกระหาย ก่อนจะหยิบสมุดไดอะรี่ที่มักจะพกไปไหนมาไหนด้วย ขึ้นมาเขียนถึงบรรยากาศที่ฉันรู้สึกชอบใจนั้น
สลับกับการหยิบขนมเข้าปาก เริ่มต้นจากครีมบลูเบอรี่
อร่อย! เพราะครีมไม่หวานมากผสานกับรสอมเปรี้ยวนิดๆ ของแยมบลูเบอรี่ แป้งส่วนที่เป็นถาดก็กรอบอร่อย ฉันจึงจัดการขนมชิ้นจิ๋วหมดภายในพริบตา
ก่อนจะหันไปลุยต่อกับพายครีมผลไม้ ขนมพายที่มีสีสันของผลไม้อย่างแอปเปิ้ลสีเขียว สีแดง ลูกพีชสีเหลืองนวล แก้วมังกรสีขาวจุดดำ ลูกเชอรี่สีแดงสดโปะอยู่บนครีมสีขาวในแป้งพายสีเหลืองครีมโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง
ฉันตักพายคำแรกเข้าปาก แป้งพายไม่กรอบแต่นุ่มละมุนลิ้น ครีมขาวมีรสชาติอร่อย ไม่หวานเลี่ยนหรือจืดชืด เมื่อตามด้วยชิ้นแอปเปิ้ลแดง ความเปรี้ยวที่ผสานกับความหวานพอดีในปากทำเอาฉันเกือบเคลิ้ม เสียงเพลง แค่มี ของพลพลเปิดดังทั่วร้าน บรรยากาศที่นานครั้งจะหาได้ อบอุ่น แม้ไม่มีใครอยู่ข้างๆ
ความสุขเล็กๆ ที่คนขี้เหงาอย่างฉันรีบคว้าเก็บไว้
ฉันมองผู้คนที่เดินขวักไขว่นอกร้าน รถเมล์ผ่านไปคันแล้วคันเล่า แต่ความสุขของฉันที่วางอยู่ตรงหน้า ยังรอการละเลียดอย่างเรื่อยๆ ของฉัน
ขนมพายถูกตักเข้าปากสลับกับการเขียนไดอะรี่ไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์
เมื่อจัดการกับขนมอร่อยตรงหน้าไม่เหลือแล้ว ก็ได้เวลากลับที่พัก ระหว่างที่นั่งทานขนมในร้าน ฉันสังเกตเห็นรถเมล์สาย 1 วิ่งผ่านตลอดเวลา ข้างรถเขียนว่าไปสนามหลวง ฉันจึงถามพนักงานในร้านเพื่อความแน่ใจอีกที และเช็คว่าขึ้นรถฝั่งไหนถึงจะไปสนามหลวงเพื่อความชัวร์ ไม่ขึ้นรถผิดฝั่งไปโผล่อีกที่เหมือนที่แล้วมา
ฉันออกจากร้านเบเกอรี่ ไม่ไกลจากร้านมีป้ายรถเมล์อยู่ ฉันจึงเดินไปรอรถ แต่... ตรงป้ายรถเมล์ไม่เห็นมีคนรอรถ ที่สำคัญ ไม่เห็นมีรถเมล์คันไหนจอด
มองเลยไปด้านหน้าประมาณ 10 เมตร เห็นผู้คนยืนออกันอยู่ และมีรถเมล์จอดรับคนขึ้น แปลกนะ ป้ายรถเมล์มีไม่ใช้ ต้องเดินไปขึ้นไกลกว่าป้ายเสียอีก
ฉันเลือกรอขึ้นรถเมล์สีแดง ปล่อยให้รถเขียวเล็กผ่านไปโดยไม่สนใจ ก็อยากขึ้นราคาเองทำไมล่ะ ถ้าเลือกได้ ฉันเลือกขึ้นรถคันใหญ่ที่นั่งหรือยืนสบายกว่า
เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ฉันก็ตื่นตัวมองออกไปนอกรถตลอดเวลา เพราะนี่เป็นครั้งแรกของการนั่งรถเมล์ สาย 1 รถเลี้ยวไปถามถนนสายเจริญกรุง ฉันมองดูข้างทางอย่างสนใจ ผ่านย่านร้านค้าที่ขายเกี่ยวกับพวกอะไหล่ยนต์หรือพวกเครื่องจักร
ฉันปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย จนเมื่อรู้ตัวอีกทีสองข้างทางก็ปรากฎร้านอาหารเจตลอดแนว ฉันมองหาป้ายเพราะอยากรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เมื่อเห็นป้ายเยาวราชอยู่ข้างหน้า ทำให้ฉันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะทางเส้นนี้ฉันเคยนั่งรถผ่าน(เคยหลงมาแล้ว) พอได้นั่งรถสายที่ตัวเองไม่รู้จัก ผ่านสถานที่คุ้นเคย ทำให้ความรงจำในส่วนที่เคยมาผจญภัยผุดขึ้นมาตามลำดับ
หลังจากรถผ่านเยาวราชไปไม่นาน ป้ายข้างทางบอกว่าเป็นซอยเจริญกรุง 5 ฉันทำหน้านิ่วด้วยความสงสัยและเพิ่งจะรู้ว่าเจริญกรุงซอยต้นๆ อยู่ไม่ไกลอย่างที่คิด เหมือนกับที่เพิ่งรู้ว่าจรัญสนิทวงศ์ต้นๆ ซอยนี่มันไกลออกไปมาก
รถเมล์ขับผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจะถึงสนามหลวง แต่รถไม่ได้ตรงไป กลับเลี้ยวเข้าทางหลังวัง ฉันจ้องข้างทางตลอดด้วยความตื่นเต้นว่ารถจะไปทางไหน
จนกระทั่งรถเลี้ยวขวา ทิวทัศน์ข้างหน้าคุ้นตา เพราะว่ามันคือท่าเตียน
ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะไปลงสนามหลวงเพื่อต่อรถเมล์สาย 203 กลับห้อง แต่เมื่อเห็นวิวคุ้นตาและนึกขึ้นได้ว่าป้ายตรงนี้มีรถเมล์อีกสายที่ผ่านหน้าที่พักฉันอยู่ ทันเท่าความคิด รีบลุกขึ้นลงจากรถก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกแบบเฉียดฉิว
ป้ายรถเมล์ท่าเตียน ที่จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยรอรถสาย 32 กับแม่จิตร เมื่อวันที่ท่องราตรีในกรุงเทพโดยมีแม่จิตรและมณีนาคาเป็นเพื่อนร่วมทาง
ระหว่างรอรถก็หันไปมองบรรยากาศรอบๆ มีแม้ค้าพ่อค้ามาปูผ้าขายของแบกะดินกันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น รองเท้า เสื้อผ้า สร้อย หรือแม้กระทั่งพระเครื่อง
ฉันรอรถอยู่ประมาณ 15 นาที ก่อนที่รถสาย 32 (เสริมท่าน้ำนนท์)จะเทียบเข้ามาจอดให้ฉันและผู้โดยสารคนอื่นได้ขึ้นไป
รถเคลื่อนตัวออกจากท่าเตียน ไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง ทำให้ฉันต้องยิ้มกับตัวเอง เพราะความทรงจำกับคนในถนนนักเขียนซึ่งได้มาสร้างเรื่องราวที่นี่ มีไม่น้อย
รถผ่านท่าช้าง คิดถึงวันนัดมีทติ้งของแกงค์ป่วนและก๊วนเก๋าแห่งห้องกวี นำทีมโดยท่านพจนารถ ๓๒๒ พี่ทิวลิปสีน้ำเงิน พี่สัมผัสรักในใจเรา พี่เกรียงไกร พี่ xers และพี่สีน้ำน้อยชูการ์ฮัท เรื่องราวความป่วน ความฮา บรรยากาศแห่งการอำเย้า ยังคงอยู่ในความทรงจำฉายชัดเหมือนเพิ่งจะเกิด ทั้งๆ ที่ผ่านมาเกือบจะครบปีแล้ว
รถผ่านร้านเอสแอนด์พี และท่าพระจันทร์ คิดถึงวันที่มารอเจ๊เชอร์เบตจี๊ดด ที่นัดกันมากินข้าวกับนายน๋อนหนังสือและสาวเจียงใหม่ที่ลงมากับคณะทำงาน นั่นคือ เจ้าเอ่อ่อ่ะนะคะ เพื่อนสาวคนงามนั่นเอง เพราะนัดเจอกันค่ำ ก็เลยไม่มีร้านอาหารให้เลือกมาก สุดท้ายก็ต้องไปกินกันที่ร้านเอสแอนด์พี
รถผ่านร้านหนึ่งแถวถนนพระอาทิตย์ (จำชื่อร้านไม่ได้คุ้นๆ ว่าชื่อ คอมเม่) นึกถึงวันที่เฮียพีทกลับมาเมืองไทย นัดกินโคคาที่สยามและต่อมาถึงที่นี่กลับเกือบตีสอง
รถผ่านสวนสันติชัยปราการ คิดถึงวันงานอินดี้บุ๊ค เพราะงานนี้ได้เจอใครหลายคน ได้เจอ แม่จิตร สายลมอิสระ มหาสุราริน ม่วนน้อย ศุ บุญเลี้ยง ที่สำคัญ ที่นี่ทำให้ฉันได้เจอ พี่เอกพจนารถ นักร้องในดวงใจ รวมถึงพี่ชายอีกคนที่หายหน้าไปนาน เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนจัดงานนี้
เลยจากสวนสันติชัยปราการเป็นป้อมพระสุเมรุ คิดแล้วแอบเศร้า เพราะเคยมากับคนนั้นตอนที่เลิกกันแล้ว
ถัดไปอีกหน่อย ไม่ไกลนักก็เป็นร้าน รวยริน กลิ่นชีวา คิดถึงวันที่นั่งคุยกันมีเอ่อ่อ่ะนะคะ น๋อนหนังสือและเจ๊เชอร์เบตจี๊ดด คิดถึงพี่สาวรวยระรินกลิ่นชา ที่สละเวลาเก็บของออกมานั่งเมาท์กับพวกเราด้วย
เห็นไหมว่า จากแค่ท่าเตียน ถึงท่าพระอาทิตย์ มันมีอะไรให้คิดถึงมากมายจริงๆ
หนึ่งวันกับการไปติดต่องานของฉัน กับการค้นพบร้านเค้กอร่อย (ที่ไกลบ้าน) และค้นพบการเดินทางเส้นใหม่จากเจริญกรุงถึงนนทบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ยากจะลืม ความสุขเล็กๆ ที่จะหาได้ไม่ยากเพียงเราเปิดใจ ฉันชอบการเดินทางและการค้นพบเหลือเกิน
จากคุณ :
ละมุนใจ
- [
22 ต.ค. 50 11:48:13
]