เสียงเพลงบนบาทวิถี
เสียงซออู้แว่วลอยมากับสายลมอ่อนๆที่พานพัดมาจากบาทวิถีตรงหน้าผม ตะวันยามบ่ายไม่เคยปราณีใครแม้แต่น้อย มันสาดส่องลงมากัดกร่อนความอดทนของมวลมนุษย์นับล้านชีวิต หลายคนที่ทนไม่ไหวต่างก็แอบหลบมุม หรือ กางร่ม บ้างก็เดินต่อไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อให้ถึงปลายทางของตนโดยเร็วที่สุด
ซึ่งที่กล่าวมานั้นล้วนผิดแผกไปจากชายชราตรงหน้าผมเสียสิ้น
เสื้อหม้อห้อมเก่าๆมอซอกับซออู้ที่ผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วน มันกำลังขับกล่อมเสียงเพลงอ่อนหวานออกมา ท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุที่ใครๆก็ยากที่จะหยุดฟัง
ขันตรงหน้าของเขาว่างเปล่า...
กระนั้นเจ้าของขันก็หาได้ปริปากบ่นแม้แต่น้อย เขายังคงหลับตาและขับกล่อมเสียงซอต่อไป อย่างไม่ทุกข์ร้อน...
ห่างออกไปไม่ไกลจากเขานัก มีชายชราอีกคนหนึ่ง แต่งตัวมอมแมมซอมซ่อไม่แพ้กันนั่งคุดคู้อยู่ ขันตรงหน้าของเขาว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
หากแต่ตัวเขานั้นไร้ซึ่งเสียงดนตรี มีเพียงเสียงฝีปากแว่วลอยมากับสายลม
ทำบุญทำทาน ทำบุญทำทาน สงสารลุงด้วยเถอะ หลานเอ๊ย ไม่ได้กินข้าวกินปลามาหลายวันแล้ว ใครทำขอให้ร่ำรวยๆ อายุมั่นขวัญยืน
ตาแก่คนนั้นพยายาม เคาะขันที่ว่างเปล่ากระทบกับบาทวิถี เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ก็อย่างที่บอกในอากาศเช่นนี้ยากแท้ที่มองหาความเห็นอกเห็นใจ
น่าแปลกทั้งๆที่สองมือสองขายังอยู่พร้อมกลับละทิ้งศักดิ์ศรีมาขอเพียงเศษเงินข้างถนน
ความสง่างามของผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้ซึ่งคนอ่อนวัยกว่าต้องเคารพนบน้อม กลับกลายเป็นคนที่อยู่ต่ำกว่าแม้แต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เผยออวดร่ำอวดรวย โปรยเงินใส่ขันไปหลายเหรียญ หลายใบ ทั้งๆที่เงินก็ยังหาเองไม่เป็น
สำหรับตาแก่คนนั้นเงินคงอิ่มเอมกว่าศักดิ์ศรี...
แต่กับชายชราตรงหน้าผมคนนี้กลับอิ่มเอมในศักดิ์ศรีมากกว่าเงินตรา...
ความสง่างามขณะสีซอนั้นช่างดูน่าเคารพนับถือ เสียงซอที่แว่วมากับสายลมนั้นลองใครได้ฟัง จะจับได้ในทันทีว่ามันหวานละมุนสักเพียงไหน ไม่แพ้ดนตรีคลาสสิคอย่างเปียโนหรือไวโอลิน ที่เราๆเห่อร่ำเรียนกันเลยแม้แต่น้อย
เสื้อหม้อห้อมแม้จะเก่า...
ตัวซอนั้นแม้จะถูก...
แต่คุณค่าในตัวของชายชราผู้นี้ ผมไม่อาจดูแคลนเขาได้เลยแม้แต่น้อย แม้นเหงื่อจะไหลอาบกายก็ไม่เคยหยุดที่จะสีซอ...
ตะวันเคลื่อนคล้อยลับหายสู่กลีบเมฆ ไอแดดที่แผดเผาจางหายไปพร้อมกับอากาศอันหนักอึ้งไปด้วยเม็ดฝุ่น ตอนนี้ความเห็นอกเห็นใจเริ่มมองเห็นกันง่ายยิ่งขึ้น มีคนไม่น้อยมายืนดู ชายชราสีซองามสง่า ดื่มด่ำกับธรรมชาติแห่งเสียงเพลงชั่วขณะหนึ่ง ในสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งของวันนั้นเลยทีเดียว
เสียงปรบมือก้องกังวาลอย่างพร้อมเพรียง เมื่อเสียงซอหยุดลง
เหรียญบาทเหรียญแล้วเหรียญเล่า ตกลงสู่ขันที่ว่างเปล่าของชายชราคนนั้น เสียงกระทบกันดันกรุ๋งกริ๋ง ทำให้ชายชรายิ้มออก
ฉันดีใจที่ลูกหลานอย่างพวกเธอยังเห็นคุณค่าเสียงซอเก่าๆที่ฉันเล่นอยู่ และไม่นึกรังเกียจมายืนหลังขดหลังแข็งฟังคนซอมซ่ออย่างฉันเล่นเพลง ขอบคุณจริงๆ
เสียงปรบมือก้องกังวาลอีกครั้ง ผมรู้ว่าทุกคนปรบมือให้เขาจากใจจริงผมเองก็เช่นกัน ทรัพย์สินเล็กน้อยนั้นอาจทำให้ชายชรายิ้ม
แต่คงยิ้มได้ไม่กว้างเท่ากับความรู้สึกอิ่มเอมที่ยังมีลูกหลานมายืนฟังเสียงซอ
นี่คงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มีศักดิ์ศรีก็อิ่มได้เช่นกัน
ตาแก่อีกคนค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ ปัดฝุ่นเกรอะกรังที่ขากางเกงออก ก่อนจะเดินหนีจากไปพร้อมกับขันที่ยังว่างเปล่า อยู่แถวนี้หากินไม่ได้แน่ตู
ผมเดาว่านี่คือสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่ในใจอย่างแน่นอน...
เลิศสุนทร
จากคุณ :
พริ้ว พรรณนา
- [
22 ต.ค. 50 22:09:03
]