เรื่องในชุดแดนสนธยา
--------------------------------------------------
- สายลม ชายหาด และสองเรา
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W5885415/W5885415.html
- จุดดับของตัวตน
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W5936722/W5936722.html
แม้ตอนกลางวันที่ฉันยังตื่น หรือตอนกลางคืนที่ฉันหลับอยู่ ก็ยังรู้ตัวดีว่าฉันนั้นฝันถึงใคร...
"ความดันโลหิตสูงผิดปกติค่ะ"
"รีบเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปห้องฉุกเฉินเร็ว"
"ญาติผู้ป่วยกรุณารออยู่ที่นี่นะครับ"
เสียงเอะอะเอ็ดตะโรรอบกายปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากความมืดมิด
แม้คนมากมายให้พบให้เจอ ฉันมีแต่เธอในหัวใจ...
"ขอทางหน่อย ผู้ป่วยฉุกเฉินครับ"
"ช่วยเช็คความดันคนไข้เป็นระยะด้วยนะ"
เสียงเพลงแว่วมาจากที่ไหนไม่รู้ ทำไมทำนองมันถึงเศร้าได้ขนาดนี้กันนะ? นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนกัน
จากวันนี้ไปจนเมื่อไหร่ ก็ยังรักเธอ
คุณช่วยโทรตามหมอสัญที เดี๋ยวผมจะจัดการเบื้องต้นเอง
คิดถึงใครคนหนึ่งทั้งวันทั้งคืนอย่างนั้นหรือ? มัวเอาเวลาไปทำอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำงานทำการกันพอดี เพ้อเจ้อจริงๆ
จากวันนี้จนวันสุดท้าย.. ก็ยังรักเธอ
นี่ผมจากบ้านเกิดมานานแค่ไหนแล้วนะ? น่าจะสัก 5 ปีกว่าล่ะมั้ง...
ภาพคืนนั้นที่ผมทะเลาะกับพ่อจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ (พ่อหมัดหนักชะมัด เล่นเอาตาปูดเป็นลูกมะนาวไปหลายวัน) เสียงร้องไห้ของแม่และพี่สาวที่พยายามห้ามเราทั้งสองคน ยังคงเวียนแวะมาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว
คืนนั้นที่ผมตัดสินใจออกจากบ้าน...
อ้อ ครอบครัวผมรักกันดี ผมเองก็ไม่ใช่เด็กเลว:-)ตำบอนที่ไหน (อย่างน้อยก็ในตอนนั้น) ออกจะตรงกันข้ามด้วยซ้ำ คนทั่วไปชมว่าผมเป็นเด็กหัวไว มีพรสวรรค์ - ผมเองก็ไม่ได้หลงไหลได้ปลื้มไปกับคำชมอะไรแบบนั้นหรอก แต่รับเอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไรจริงไหม?
สาเหตุที่ผมมีปากเสียงกับพ่อก็เพราะไอ้พรสวรรค์บ้าๆนี่แหละ...
พอเรียนจบชั้นมัธยมปลายในอำเภอ พ่อก็อยากให้ผมได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยในเมืองกรุงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของครอบครัวและคนในหมู่บ้าน (ผมว่าที่จริงแล้วพ่อคงหมายถึงอย่างหลังมากกว่า) ติดอยู่นิดเดียวตรงที่ครอบครัวของผมไม่ต่างอะไรไปจากเพื่อนบ้านละแวกนี้ คือเรายากจน - อันที่จริงความยากจนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านก่อนผมจะลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ
พี่สาวจะเข้าไปขายตัวในเมืองกรุง...
ไม่รู้ว่าได้ความคิดบ้าๆนี้มาจากไหน พี่สาวไม่ได้เรียนชั้นสูงๆเหมือนผม พอจบการศึกษาภาคบังคับก็มาช่วยที่บ้านปลูกดอกไม้ส่งขายในอำเภอ ทีนี้พอผมจบมอปลาย พี่ก็คิดเรื่องบ้าๆนี่ขึ้นมา - เธอเป็นคนหัวแข็ง (น่าจะได้มาจากพ่อ) คิดจะทำอะไรขึ้นมาต่อให้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนก็ห้ามไม่อยู่ พ่อกับแม่คิดจะปิดเรื่องนี้ไม่ให้ผมรู้
ผมบอกไปหรือยังว่าผมเป็นเด็กหัวไว?
พี่เสียสละให้ผมมามากพอแล้ว ถึงเธอจะมีอายุมากกว่าเพียง 3 ปี แต่ก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าผมไม่รู้กี่เท่า แค่ไอ้ที่ผมเรียนต่อชั้นมัธยมปลายในขณะที่พี่ทำงานงกๆส่งเสียให้ผมเรียนก็มากพออยู่แล้ว นี่ถึงขนาดจะละทิ้งศักดิ์ศรีขายแม้กระทั่งวิญญาณกลายเป็นนางบำเรอ เพียงแค่ให้น้องชายมีอนาคต - ผมรับมันไม่ไหว
พ่อเองก็เสียใจไม่แพ้ผมเหมือนกัน บอกได้จากดวงตาที่แดงกร่ำและแววตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาคู่นั้น พ่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผมเข้าใจถึงการเสียสละของพี่ - พ่อจะไปเข้าใจอะไร พ่อไม่ได้เป็นคนที่ไปขายตัวนี่นา
เรื่องมันเลยจบลงตรงการออกจากบ้านของผมคืนนั้น...
ไอ้ห่วงที่บ้านมันก็ห่วงอยู่ แต่ถ้าผมยังดันทุรังอยู่ที่บ้านต่อไป ไม่ช้าก็เร็วพี่สาวผมต้องทำอย่างที่ตั้งใจไว้แน่ๆ - นอกจากพี่กับแม่ ผู้หญิงที่ทำให้การออกจากบ้านของผมเป็นไปอย่างยากลำบากคือเธอ
เธอชื่อ "พิมพา"
พิมพารู้จักกับผมตั้งแต่ยังเด็ก เราโตมาด้วยกันท่ามกลางฝูงเด็กลิงทโมนในละแวกบ้าน อย่าได้คิดไปเองเชียวว่าชื่อหญิงๆแบบนี้แล้วจะทำให้เจ้าตัวเรียบร้อย ตรงกันข้ามเธอแก่นแก้วเอาเรื่อง เรียกได้ว่าเป็นหัวโจกเลยทีเดียว ผิดกับผมที่เรียบร้อยจนคนอื่นล้อว่าเป็นกระเทย ก็ได้พิมนี่แหละต่อยปากไอ้พวกนั้นจนไม่กล้าตอแยผมอีก
ถึงจะโตมาด้วยกันแต่เราต่างกันราวฟ้ากับดิน (คงไม่ต้องบอกนะว่าใครเป็นดิน) พ่อของพิมเป็นเจ้าของสวนลำพูที่ใหญ่ที่สุดในเชียงราย เขาไม่ค่อยชอบใจที่พิมมาเล่นกับลูกชาวบ้านอย่างพวกผม แต่ให้ทำยังไงได้แถวนี้มันมีเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนี่นา - ตอนที่ไปเรียนในเมือง ผมก็กลับมาคุยกับเธอทุกอาทิตย์ อาจจะเป็นเพราะผมเจอเธอเป็นประจำทำให้ไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ พิมเลิกพูดกู-มืงกับผม ทรวดทรงที่เคยดูคล้ายเด็กผู้ชายก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอ้อนแอ้น
มีที่ลับที่รู้กันแค่เราสองคน ผมกับพิมจะนัดเจอกันใต้ต้นลำพูต้นใหญ่ที่สุดที่อยู่ทางท้ายสวนเป็นประจำ ช่วงเย็นๆถึงหัวค่ำจะเป็นเวลาที่หิ่งห้อยเริ่มกระพริบแสงจนเต็มต้นลำพู
"นายว่าหิ่งห้อยมันกินอะไรเป็นอาหาร?" พิมถามลองภูมิผม
"ไอ้ที่กระพริบๆอยู่นี่น่ะเหรอ มันไม่กินอาหารหรอก กินแต่น้ำ"
"แล้วมันไม่ได้กระพริบเพราะหิวหรอกเหรอ?"
ผมหัวเราะยกใหญ่ จนกระทั่งเธอเอาศอกกระทุ้งผมถึงหยุดได้ "แม่สาวชาวกรุง ไหนบอกว่ารู้จักหิ่งห้อยดีกว่าชั้นไง ที่บางลำพูมีหิ่งห้อยเยอะแยะไม่ใช่เหรอ" ผมแขวะเธอเมื่อคิดถึงเรื่องสมัยเด็กที่เธอเคยโอ้อวด
"ตาบ้า หิ่งห้อยที่บางลำพูกับที่นี่มันคนละชนิดกัน จะไปชอบกินอาหารอย่างเดียวกันได้ไงล่ะ" พิมเถียงไปน้ำขุ่นๆ ด้วยน้ำเสียงเง้างอน
"หิ่งห้อยที่เราเห็นอยู่เนี่ย มันเป็นระยะตัวเต็มวัย มันกินแต่น้ำแล้วก็รอผสมพันธุ์และวางไข่เท่านั้นแหละ"
"แล้วมันกระพริบทำไมล่ะ?"
"หิ่งห้อยกะพริบแสงเพื่อเป็นสัญญานของการหาคู่ ซึ่งสัญญาณของหิ่งห้อยแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันไป เช่น บางชนิดเมื่อตัวผู้กะพริบแสง ตัวเมียตอบรับ ตัวผู้ก็รู้ว่าเป็นชนิดเดียวกัน บางชนิดตัวเมียเป็นฝ่ายกะพริบก่อนแล้วตัวผู้เป็นฝ่ายตอบรับ - ทั้งนี้ทั้งนั้นมันต้องรีบๆหน่อยเพราะมีเวลาไม่มาก หิ่งห้อยระยะตัวเต็มวัยจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน" ผมพูดให้เธอฟังราวกับลอกมาจากตำราเรียนอย่างไรอย่างนั้น
พิมทำหน้าเศร้า ในตอนนี้ผมกลับคิดว่าเรื่องราวบางอย่างเราก็ไม่ควรรู้...
"ชาย... เธอเคยคิดบ้างไหมว่าชั้นก็เหมือนหิ่งห้อย?"
"ทำไมล่ะ เธอปล่อยแสงจากทางก้นได้เหรอ"
พิมไม่ขำกับมุกเสี่ยวๆของผม...
ผมเดินไปแตะไหล่ที่สั่นระริกของพิม บรรยากาศสลัวๆแบบนี้ทำให้ผมเห็นใบหน้าเธอไม่ชัด มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นน้ำตานองกลางสองแก้มของเธอเสียแล้ว
"พิม... ร้องไห้ทำไม"
"ชีวิตชั้นก็เหมือนกับหิ่งห้อยนั่นแหละ ส่องแสงได้เพียงชั่วครั้งคราว แล้วก็ต้องตาย" เธอพูดอย่างสะอึกสะอื้น
"เธอแค่ไม่แข็งแรงกับอากาศในเมืองแค่นั้นเอง มาอยู่ที่นี่ก็แรงดีออกจะตาย จำไม่ได้เหรอตอนที่เจ้าโก๊ะมันแกล้งฉัน เธอยังต่อยมันหน้าแหก วิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งไปเลย"
พิมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ - ผมดึงเธอเข้ามากอด
"ชายจะดูแลพิมเอง... ต่อให้เรียกเจ้าโก๊ะมาสิบคนชายก็จะไม่หนีไปไหน จะอยู่ดูแลพิมไปจนวันตาย"
ผมไม่รู้ว่าคำพูดน้ำเน่าแบบนี้หลุดปากออกไปได้ยังไงในตอนนั้น แต่วินาทีที่เห็นหยาดน้ำตาของพิม ผมก็รู้ว่าเด็กชาย "สมชาย" กับเด็กหญิง "พิมพา" เพื่อนเล่นวัยเด็กเป็นเรื่องในอดีตไปเสียแล้ว ในเวลานี้มีเพียงหญิง-ชายคู่หนึ่งที่มีหัวใจสื่อถึงกัน
ณ วินาทีนั้น ผมรู้เพียงว่าผมรักพิม...
"ช่วยเอามือเก้งก้างของนายออกไปจากตัวชั้นได้ไหมหา" ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่ผมรู้ว่าเธอไม่ได้หมายความตามที่พูดหรอก แม่ผมเคยสอนว่าผู้หญิงมักจะปากไม่ตรงกับใจ (บอกแล้วว่าผมเป็นเด็กหัวไว) ผมค่อยๆประคองศรีษะเธอขึ้นมาจากด้านหลัง แล้วโน้มตัวลงไป
แล้วเราก็จุมพิตกัน...
"คุณหมอสัญชัยคะ ช่วยมาที่ห้อง 104 หน่อยค่ะ คนไข้รู้สึกตัวแล้ว" เสียงผู้หญิงวัยกลางคนตะคอกใส่โทรศัพท์ราวกับเห็นผี
ตาของผมพร่ามัวเพราะแสงแดดยามเช้าที่สาดเข้ามาในห้อง ผมหยีตาสู้แสงเห็นภาพนางพยาบาลคนที่ส่งเสียงเมื่อครู่เดินตรงมาทางผม
"คุณคะ คุณจำได้ไหมคะว่าคุณชื่ออะไร?"
ถามอะไรฉลาดน้อยอย่างนี้? ผมจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองชื่ออะไร - ผมอ้าปากพูดชื่อออกไป แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาราวกับไม่ใช่ร่างกายตัวเอง ผมพยายามลองอีกครั้ง
"สม... สมชาย" น้ำเสียงหลุดออกจากปากอย่างไม่เต็มใจ
สีหน้าของพยาบาลแสดงความพอใจอย่างเห็นได้ชัด ไอ้การที่ผมทำงานหนักจนเป็นลมไปแค่นี้ถึงกับทำให้คนรอบข้างคิดว่าผมเป็นบ้าเลยหรือ? ก็น่าจะคิดแบบนั้นได้อยู่ คนดีๆเขาไม่อดหลับอดนอนสองสามวันติดกันหรอก
"คุณช่วยตามภรรยาผมให้ที..." คราวนี้ดูดีกว่าครั้งที่แล้วมาก ร่างกายผมเริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
"ภรรยาคุณ... คุณพิมเหรอคะ? เธอไม่อยู่ที่โรงพยาบาลนี้หรอกค่ะ" พยาบาลทำหน้าเหนื่อยหน่ายราวกับเจอคำถามนี้เป็นครั้งที่ร้อย
"แล้วเธอไปไหน? เธอเป็นคนพาผมมาส่งที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ"
"คุณพิมเธออยู่ที่เชียงรายโน่นแน่ะค่ะ เธอคงมาเยี่ยมคุณไม่ได้หรอก - คุณเพิ่งฟื้นตัวต้องพักผ่อนให้มากๆ อีกสักพักคุณหมอจะเข้ามาดูนะคะ" เธอกลาวตัดบทไปซะอย่างนั้น
คืนก่อนหน้านี้ผมเป็นลมเพราะอดนอนติดกันหลายวันเกินไป พิมเป็นคนพาผมเข้ามาที่โรงพยาบาลนี้แน่ๆผมจำได้ แต่พยาบาลกลับบอกว่าพิมอยู่ที่เชียงราย มันจะเป็นไปได้ยังไงกันที่เธอจะทิ้งผมไว้คนเดียว?
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่
จากคุณ :
raQuiam
- [
30 ต.ค. 50 23:06:28
]