น้ำตาในภายหลัง
อาศัยอยู่ในท้องที่เดิมๆ สิบกว่าปี ลูกๆ จากเด็กประถมจนเป็นเด็กมัธยมปลาย บรรดาผู้ปกครอง เริ่มจากตอนรับส่งลูกหลานพยักหน้าทักทายกัน ตอนประชุมผู้ปกครองพูดคุยกัน เวลาเจอปัญหาโทรศัพท์คุยกัน จนกระทั่งภายหลังกลายเป็นเพื่อนสนิท แต่ทันทีที่ลูกๆ ของทุกบ้านเรียนจบพร้อมกัน ต่างคนต่างต้องแยกย้ายกันเข้ามหาวิทยาลัย สหายเก่าเหล่านี้ จึงทำตัวไม่ถูกไปตามๆ กัน
---
เพื่อนแรกเก็ต ในที่สุดก็กลับมาตีเทนนิสด้วยกันได้แล้ว
เขาเพิ่งขับรถสิบกว่าชั่วโมง ส่งลูกสาวไปเรียนที่ Buffalo City เห็นบอกว่า แม้แต่ตู้เย็น ไมโครเวฟและไม้กวาดไม้ถูบ้านก็เอาไปด้วย พอถึงวันกลับ ลูกสาวอยู่ๆ ก็ท้องเสีย จึงต้องอยู่ต่ออีกสองวัน ในที่สุดก็ออกเดินทาง สาวน้อยเริ่มจากกอดพ่อแล้วร้องไห้ แล้วก็กอดแม่แล้วร้องไห้ รถขับออกไปครึ่งถนนแล้ว พ่อหันกลับไปมอง ลูกสาวยังยืนเช็ดน้ำตาอยู่ข้างถนน ก็จอดรถ วิ่งกลับไปกอดลูกสาว ลูกสาวก็ยิ่งร้องหนักเข้าไปใหญ่
เรื่องทั้งหมดนี้ ภรรยาของผมฟังมาจากภรรยาของ เขา ทั้งนั้น ด้วยความสงสัย ระหว่างที่เล่นเทนนิส ผมก็ถามเขาว่า เป็นความจริงหรือ
ใช่!
เห็นบอกว่าลูกสาวคุณร้องห่มร้องไห้ขนาดนั้น คุณไม่ได้เสียน้ำตาเลยจริงหรือ
สหายเก่าอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็มองไปรอบๆ ตัว จึงกระซิบเบาๆ ว่า ผมก็เสียน้ำตานะ! แต่แอบๆ หันหน้าไปอีกข้างนึง กระพริบตาถี่ๆ กลืนน้ำตากลับลงไปไม่ให้พวกเขาเห็น ลูกผู้ชายเสียเลือดไม่เสียน้ำตานี่นา! เขาส่ายหน้า พูดว่า อีกอย่าง เมียผมยังไม่ร้องเลย เธอไม่ร้อง ผมก็ยิ่งร้องไม่ได้
---
เมื่อจบเกม เพื่อนเปลี่ยนชุดอยู่ในห้องอาบน้ำ ผมถามภรรยาของเขา ตอนสามีคุณไปส่งลูกสาว เขาร้องไห้ไหม
ไม่ร้อง! ใจแข็งยังกับหิน ภรรยาของเขายิ้มๆ
ผมถามต่อว่า แล้ว คุณร้องหรือหรือเปล่า
ฉันร้องสิ! เธอพูดเบาๆ แต่ไม่ได้ร้องต่อหน้าพวกเขา ฉันพยายามกลั้นเอาไว้ ฝืนใจไม่ร้อง กลัวจะกอดคอกันร้องกับลูกแล้วจะแยกกันไม่ได้ เธอหยุดพูดครู่หนึ่ง ลังเลเล็กน้อยจึงเล่าต่อว่า แต่เมื่อวานฉันร้องแล้ว ซ้ำยังร้องต่อหน้าคนนอกอีกด้วย เพราะเพื่อนคนหนึ่งของลูกสาวฉัน เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยใกล้ๆ นี้เอง ไม่ต้องย้ายออกจากบ้าน เธอมาเยี่ยมฉัน ยังเอาดอกไม้มาให้ฉันด้วยกระถางหนึ่ง บอกว่า ลินดาจะต้องปรับตัวได้แน่ๆ คุณน้าไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อรับดอกไม้มา ฉันก็ร้อง ร้องไม่ยอมหยุด ซ้ำยังร้องเสียงดังด้วย
---
เพื่อนอีกคนหนึ่ง ลูกสาวไปไกลยิ่งกว่า ผู้เป็นพ่อต้องทำงานไม่ไดไปส่ง ฝ่ายแม่พาลูกสาวขึ้นเครื่องบินข้ามอเมริกาไปฝั่งตะวันตก เริ่มจากพักอยู่กับลูกสาวในโรงแรมใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ทุกวันจะออกไปจับจ่ายซื้อของ ช่วยแต่งห้องให้ลูก แล้วก็ไปเป็นเพื่อนลูก ทำความคุ้นเคยกับมหาวิทยาลัย ร่วมงานปฐมนิเทศและปาร์ตี้รับน้อง
วันกลับ ฝ่ายแม่ร้องห่มร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพราก แม้แต่นักศึกษาปีสามที่ไปส่งที่สนามบินเป็นเพื่อนลูกสาวเธอ ยังซึ้งจนน้ำตาซึม
แต่ ลูกฉันไม่ร้องเลย! ฝ่ายแม่กลับมาถึงก็โทรมาบ่นให้ฟัง มันสนุกสนานใหญ่ อะไรก็แปลกใหม่ไปหมด รอแต่จะไปปาร์ตี้ตอนกลางคืนกับเพื่อนใหม่ เห็นอย่างนี้นะ รู้สึกหนาวใจจริงๆ สิบกว่าปีนี่เลี้ยงเสียของเปล่าๆ จนป่านนี้ฉันยังร้องไห้ทุกวัน แต่ลูกฉันไม่ได้รู้สึกรู้สาหรืออาลัยอาวรณ์อะไรเลย
เพิ่งจะผ่านไปสองวัน ฝ่ายแม่โทรมาอีกครั้ง เสียงฟังดูแปลกไป ที่แท้ทุกเช้าทุกเย็นเธอจะได้รับโทรศัพท์จากลูกสาว ร้องห่มร้องไห้บอกว่าคิดถึงบ้าน แล้วก็พูดแล้วพูดอีกว่า รักแม่! รักแม่! ฝ่ายแม่ถึงกับทำตัวไม่ถูก สับสนไปหมด กระเป๋าที่ยังไม่ได้จัดเก็บหลังจากกลับมาถึงบ้าน ดูเหมือนจะเตรียมออกเดินทางใหม่อีกแล้ว
---
ได้รับอีเมล์จากนักเรียนคนหนึ่ง เล่าว่าเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังของปักกิ่ง พ่อกับแม่หิ้วถุงพะรุงพะรัง ขึ้นรถไฟจากบ้านนอกหนึ่งวันหนึ่งคืน เข้าปักกิ่งมาเป็นเพื่อนเขา
เขาเข้าพักในหอพักนักศึกษาทันที พ่อกับแม่ยกเงินให้เขาทั้งหมด ยืนกรานจะไม่พักโรงแรม แกะถุงสัมภาระออกมานอนใต้ต้นไม้ในสวนของมหาวิทยาลัยเสียอย่างนั้น ยังบอกว่าใต้ต้นไม้เย็นกว่าในโรงแรมเสียอีก เพิ่งจะนอนได้หนึ่งวัน ฝนตก จึงย้ายไปที่ระเบียง ทางมหาวิทยาลัยถึงแม้จะทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่ว่ากล่าวอะไร แต่ก็ยังไปเกลี้ยกล่อมพวกเขา ซ้ำยังโดนดุกลับมาอีกว่า เห็นแก่คนแก่ๆ สองคนเถิดพ่อคุณ!
เขาจึงไปเกลี้ยกล่อมพ่อกับแม่เอง แต่ก็กล่อมไม่เข้า ซ้ำยังโดนแม่ย้อนกลับมาว่า เอ็งรังเกียจที่พ่อกับแม่ทำเอ็งขายหน้าใช่ไหม
สุดท้ายก็ส่งสองผู้เฒ่าขึ้นรถไฟสำเร็จ รู้สึกโล่งใจ แต่ตอนนี้ทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน ตรงนั้น ของระเบียง เห็น ต้นไม้ต้นนั้น ในสวน ก็จะอดเสียน้ำตาไม่ได้
---
ผมโชคดีมาก เพราะลูกสาวเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ห่างจากบ้านแค่หนึ่งชั่วโมงกว่า แม้แต่เสื้อสกปรกยังเอากลับมาซักที่บ้านได้ ตอนเข้าหอพัก เสื้อหนาวสักตัวก็ไม่ต้องเอาไป เมื่อไหร่ที่ต้องใช้ค่อยกลับมาเอาที่บ้านก็พอ
เพราะฉะนั้นตอนเธอออกเดินทาง ผมแค่ช่วยหิ้วกระเป๋าสองใบขึ้นรถ กอดกันและโบกมือให้กันเหมือนปกติ มองภรรยาขับรถพาเธอเลี้ยวออกไปพ้นปากซอย
วันรุ่งขึ้นผมก็เป็นเหมือนปกติ ทานอาหารเที่ยงเสร็จ อ่านหนังสือพิมพ์ ดื่มกาแฟ อาจเป็นเพราะเพิ่งกลับมาจากไต้หวัน รู้สึกไม่มีกะจิตกะใจจะแต่งหนังสือ จึงคว้ากรรไกรตัวใหญ่ ออกไปตัดแต่งต้นไม้ในสวน
สวนไม่ได้แต่งสามเดือนเต็ม เถาวัลย์เยอะแยะเลื้อยพันต้นไม้ ถ้ายังไม่แต่งอีก ดอกไม้พวกนี้ก็อาจจะโตไม่งามเพราะไม่เจอแดด ผมสวมถุงมือ ดึงทึ้งเถาวัลย์ทีละเส้น แล้วใช้กรรไกรตัวใหญ่ตัดแต่งรูปทรงของต้นไม้ กิ่งที่ยาวเกินไปตัดทิ้ง เจ้าตัวเล็กที่ชอบวิ่งเล่นในสวนจะได้ไม่โดนเกี่ยว หยิบจอบมาขูดตะไคร่น้ำบนแผ่นหินให้เกลี้ยง เจ้าลูกสาวที่ชอบเล่นในสวนจะได้ไม่ลื่นล้ม
แต่ว่า แต่งไปแต่งไป รู้สึกเรี่ยวแรงไม่เหมือนแต่ก่อน มือก็เมื่อย ใจก็เหนื่อย จึงลากเท้าเดินกลับเข้าบ้าน นั่งเงียบๆ คนเดียว
นอกหน้าต่าง ดอกทานตะวันที่ปลูกเอาไว้ก่อนออกเดินทางครั้งก่อน สูงถึงเก้าฟุตแล้ว กำลังเบ่งบาน นั่นเป็นดอกไม้ที่ลูกสาวชอบที่สุด เมื่อก่อนผมยังให้เธอขี่คอ เพื่อวัดความสูงกับดอกทานตะวันเลย!
นึกถึงลูกสาวตั้งแต่เล็กจนโต เลี้ยงตั๊กแตนกับผม กรีดร้องหลบหนีตัวต่อ ตีแบตมินตัน ร่อนจานบิน เมื่อไม่นานมานี้ยังไปโพสต์ท่าถ่ายรูปใต้ต้นไม้ริมทะเลสาบเลย แต่ก็ถ่ายรูปไปพลาง แง่งอนไปพลาง
ผีเสื้อปีกขาวตัวหนึ่งบินผ่านมา ภาพตอนเพิ่งย้ายมาใหม่ๆ ผุดขึ้นมาในหัว ลูกสาวเอาเชือกร้อยผีเสื้อสีขาวตัวปลอม วิ่งเล่นอยู่ในสวน ก็มีผีเสื้อปีกขาวตัวหนึ่ง บินมาโฉบเล่นอยู่รอบๆ เธอด้วย
ไม่รู้ทำไม น้ำตาที่สมควรตายของผม มันเหมือนกับเปิดก๊อกน้ำ ไหลลงมาไม่ยอมหยุด...
ปล.
ศาสตราจารย์หลิว ยง
ผู้แต่งหนังสือเรื่อง "มังกรสอนลูกสาว" "กลแก้โกง" "สอนลูกให้เป็นยอดคน"
จากคุณ :
beer87
- [
2 พ.ย. 50 09:44:28
]