Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    "คนไกล...คนเข้าใจ...คนแปลหน้า" ตอนที่ 3 มาแล้วค่ะ แต่งจากเรื่องจริง 99.99%

    ขอโทษที่หายไปซะหลายวันค่ะ รออ่านกันอยู่รึป่าวคะ ยังไงก็ส่งตอนที่สามมาแล้วค่ะ แล้วจะรีบส่งตอนที่สี่ให้เร็วที่สุดค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ


    ตอนที่สาม


    ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เจอเป็นประจำอยู่ทุกๆวัน สิบโมงเช้ากว่าๆ มือขวาถือคุ้กกี้มือซ้ายถือถ้วยกาแฟ ตัวฉันนั่งยองๆอยู่บนทางเท้าที่ชั้นล่างของออฟฟิต ถือว่าเป็นที่นั่งพักประจำช่วงกินกาแฟของฉันเลยทีเดียว ฉันชอบมานั่งคุยกับผู้ใหญ่หลายๆคนที่นี่โดยเฉพาะอาโน น้องชายเจ้าของร้านผู้หญิง ท่ามกลางการเตรียมของหั่นผักและของสดที่ดูเหมือนจะหนักเพราะว่ามันเยอะซะเหลือเกินสำหรับร้านอาหารสี่ร้าน อาโนมักจะมีมุขตลกมาให้พวกเราขำกันอยู่เสมอ ทำให้บรรยากาศการทำงานไม่ได้หนักแต่กลับสนุกซะมากกว่า


    “ไอน้ำ วันนี้เป็นไร นั่งหน้าบ้าอมยิ้มอยู่คนเดียะ แหม ...มีผู้บ่าวมาจีบเอ็งเหรอ”

    “เหย...ถ้ามีก็ดีดิ มีแต่หนูจะไปจีบเค้าดิ”

    “แหนะๆ ...เฮ้อ ไอน้ำเอ็งอะ กว่าจะหลุดจากบ่วง คงโน่น ตอนกลับไทยโน่นแหละ”

    “ไม่หรอก เดี๋ยวหนูก็หลุดแล้ว ...อย่ามาแช่ง ขอร้องเลย”


    อาโนเป็นคนที่รับรู้เรื่องของฉันกับเจมาตลอด เหมือนคนอื่นๆ การเลิกกันของเราเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะว่าก็ไม่ได้วี่แววเท่าไหร่นัก ท่ามกลางสายตาของคนอื่น เราดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี คนมากมายหลายคนอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา แต่ว่าก็ไม่มีใครซักถามมากเท่าไหร่ จะมีก็แต่อาโนนี่แหละที่กล้าจะแซวฉันมากที่สุด ฉันรู้ว่าอาโนหวังดีและไม่ได้คิดจะซ้ำเติมอะไร แต่มีสิ่งที่น่าแปลกใจคือ ไม่มีใครรอบๆตัวฉันพยายามผลักดันให้ฉันกลับไปคบกับเจอีก แต่กลับกลายเป็นให้ฉันเดินไปในทางตรงกันข้าม


    “ไอน้ำ เอ็งอะ อย่าไปเสียใจกับไอเจมันเลย เอ็งเรียนก็สูง ทำงานก็เก่ง มาอะไรกับไอเจมัน อายุเท่ากัน แต่ดูมันนี่ยังไม่เริ่มคิดอะไรกับอนาคตเลย เทียบกับเอ็งแล้วคนละเรื่องเลย หลงอะไรมันนักหนา ”

    “ไม่รู้ สงสัยหนูจะโดนเล่นของ...ฮะๆๆ ...ไปดีกว่า ทำงานและ ”


    ฉันยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไรอาโนไปมาก แต่ฉันตอบตัวเองได้ดี เคยถามตัวเองกันไหมคะ ว่าทำไมเราถึงรักคนที่อยู่ตรงหน้า เหตุผลมากมายที่จะอธิบายคำถามนี้ได้


    สำหรับฉัน.... ตอบได้ค่ะ...


    ฉันรักเจอย่างที่เค้าเป็น เจเป็นคนที่เพื่อนๆรัก ดูมีเสน่ห์เอามากๆเวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อน เป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่ม เป็นหัวโจกในการไปกินหรือไปเที่ยวที่ไหนกัน ถ้าสิบคนลงมติว่าวันนี้จะไปเที่ยวผับกัน ในขณะที่เจบอกว่าอยากกินเหล้าอยู่ที่บ้าน สิบเสียงก็จะเปลี่ยนใจมาเข้าข้างเสียงเดียวที่เหลืออยู่ทันที ฉันรู้จักกับเจมาครึ่งปีสำหรับคำว่า “เพื่อน” รู้สึกว่าที่ไหนมีเจก็จะมีเสียงของหัวเราะอยู่เสมอ ภาพของเจที่อยู่ในความทรงจำของฉันคือ ผู้ชายคนนึงผมยาวประบ่าไม่เคยหวี ใส่เสื้อคอกลมห่านคู่ไม่ว่าหน้าหนาวหรือหน้าร้อน กางเกงขาสามส่วน รองเท้านันยางสีขาวเกือบดำ กำลังนั่งร้องเพลงคาราบาว อยู่ข้างๆฉันที่กำลังเล่นกีตาร์ให้เจร้อง เพราะฉันเป็นคนที่ชอบอยู่กับเพื่อนๆ ชอบฟังเพลงเล่นดนตรี เลยดูเหมือนว่าสิ่งที่เจเป็นดูจะเข้าตาฉันเอามากๆ


    การที่คนเรารักกันจากตัวตนที่เป็นอยู่ ก็จะทำให้การจากลามันเศร้ามากกว่าปกติและการตัดใจมันยากกว่าหลายเท่านัก เวลาฉันแวะไปหาเพื่อนๆที่ร้านทีไร ก็จะเห็นภาพของเจที่ฉันเคยชอบมองเสมอ ถ้าฉันรักเจเพราะว่าเจดีกับฉัน วันนี้ฉันคงยิ้มได้ ไม่ต้องมานั่งมาเสียใจอย่างทุกวันนี้อีก ...


    ฉันกลับมาที่ห้องเหมือนเดิมหลังเลิกงาน ส่งเมล์รายงานให้หิ่นรับรู้ถึงเรื่องตื่นเต้นที่เกิดขึ้นเมื่อคืน


    “ไอหิ่น..เพื่อนโทรไปหาตั๋งแล้ว แต่ไม่ได้คุยไรกันมาก ดู
    ตั๋งตกใจน่าดู ไว้จะโทรไปเล่าให้แกฟังวันหยุดนี้”


    ชีวิตประจำวันเสาร์อาทิตย์ของฉันคือ คุยโทรศัพท์กับหิ่น ครั้งละประมาณสามชั่วโมง ฉันไม่มีโอกาสแชทกับหิ่นทางเน็ท ก็เลยเมล์ไปสั้นๆพอให้ตื่นเต้นได้ใจความ แล้วเก็บความตื่นเต้นชุดใหญไปปล่อยวันเสาร์หรืออาทิตย์แทน
    หลังจากแชทกับยุ้ยเสร็จ จนยุ้ยเลิกงาน ก็ประมาณสี่ทุ่มเวลาที่นิวซีแลนด์ ฉันก็หาอะไรทำไปเรื่อยๆ เปิดเพลงฟัง อ่านหนังสือ แต่ก็มีจังหวะให้คิดเรื่องขำขันเมื่อคืน...


    ฉันโทรหาตั๋งไปได้ยังไง???....


    ชีวิตฉันไม่เคยคิดจะไปจีบใครก่อนเลย เพราะเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง เรื่องจะโทรหาใครก่อนเพื่อคุยเล่นอย่างเดียวก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก เป็นเหมือนกันหมดไม่ว่าเพื่อนผู้ชายหรือผู้หญิง นอกจากครอบครัว แฟนที่คบอยู่เวลานั้น ก็มีคนสองคนคือยุ้ยกับหิ่นที่ฉันกดเบอร์ไปหาก่อนได้ตลอด เหตุผลคือฉันไม่รู้ว่าอีกฝั่งจะอยากคุยกับเรารึป่าว ฉันเป็นคนที่คุยค่อนข้างเก่ง ช่วงที่เรียนตรีโยธา มีเพื่อนๆผู้ชายที่สนิทที่ไม่ได้คิดจะมาจีบ แต่แค่โทรมาคุยด้วยเป็นประจำอยู่หลายคน ถ้าเพื่อนโทรมาก่อนฉันก็จะคุยได้นาน เพราะถือว่าเค้าโทรมาก็แสดงว่าอยากคุยกับเรา แต่ถ้าฉันโทรไปก่อนก็จะเป็นคุยธุระเสร็จแล้ววางเลย ...แต่วันนี้อะไรๆคงเปลี่ยนไป ความเหงา ว้าเหว่ ความเศร้าที่อยู่รอบตัว ก็มักจะทำให้เราทำอะไรที่ขัดกับสิ่งที่เราเคยเป็น ...


    ฉันปิดไฟสองดวงตรงกลางห้อง แล้วเปิดโคมไฟบนโต๊ะคอมพิวเตอร์แทน ฉันหยิบดูโปสการ์ดใบเล็กๆหนึ่งอัน เริ่มต้นยังไงดีนะ...


    “ดีค่ะ...นี่น้ำเองนะ...ไม่ต้องงล่ะ เมื่อคืนเพิ่งโทรไปหาตั๋งเอง ไม่มีอะไร น้ำชอบเขียนจดหมาย ก็เลยเขียนมา ไม่ว่ากันเนอะ ก็ถือว่าตั๋งอ่านเล่นๆไปละกัน.......”


    ฉันถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของตั๋งไปตามเรื่องตามราว พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่นี่ เช่น อากาศหนาว ฝนตก พอเป็นสังเขบ เนื้อที่ของโปสการ์ดกำลังเหมาะพอดีที่จะฉันพูดคุยเล็กๆน้อยๆ ซึ่งฉันก็ต้องการแค่นั้น ปลายเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางลมหนาวของนิวซีแลนด์ จดหมายฉบับแรกของฉันกำลังเดินทางไปหาตั๋งค่ะ


    ช่วงเวลาสองสามอาทิตย์หลังจากการโทรหาตั๋งครั้งแรก ฉันโทรไปหาตั๋งอยู่อีก ประมาณสามสี่ครั้ง เห็นจะได้ ไม่รู้ว่าขากรรไกรฉันค้าง ภาษาบ้านๆ ก็คือ “ใบ้แดก” ฉันคุยกับตั๋งไม่ได้นานเลย ฉันโทรหาตั๋งสามสี่ครั้ง นับเวลารวมกันทั้งหมดไม่เกิน 15 นาที ในขณะที่ยุ้ยโทรไปเหมือนกันอีกครั้งสองครั้ง แต่คุยอยู่ครึ่งชั่วโมง ยุ้ยจะมีเรื่องตั๋งมาเล่าฉันเยอะ ในขณะที่ฉันไม่มีเอาซะเลย


    “เจ๊น้ำ เพื่อนมาแว้ว...”

    “yui just sent you the nudge”

    “เมื่อวานเพื่อนคุยกะตั๋งมาอะ ตอนขับรถไปนิด้า”

    “คุยนานป่ะ “

    “ก็พอได้ เกือบครึ่งชั่วโมง”

    “เออ นานอยู่ เมื่อเทียบกับเพื่อนแล้ว เพื่อนคุยไม่ได้เลย ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่มีประเด็นคุย...ถ้าตั๋งยุ่ง เพื่อนก็คุยหนึ่งนาทีแล้ววางเลย ถ้าตั๋งไม่ยุ่ง ก็ไม่ต่างกันห้านาที นี่เพื่อนคุยมาสี่ครั้งยังไม่เท่าน้องหมูคุยครั้งเดียวเลย”

    “เจ๊น้ำเขินป่าว”

    “ป่าว ไม่นะ แต่แบบว่าไม่มีเรื่องคุย จะให้คุยเรื่องเพื่อน ก็ไม่รู้เค้าอยากฟังรึป่าว จะไปถามเรื่องตั๋ง ก็เออยุ่งเรื่องเค้ารึป่าวเนี่ย จะไปคุยเรื่องพี่ต้น แล้วเพื่อนไม่ได้สนิทกะพี่ต้นซักกะนิด หน้าพี่ต้นเพื่อนยังจำไม่ได้เล้ย...เพื่อนก็ตามสเตปอะ ทำไรอยู่ กินข้าวยัง งานยุ่งป่าว ไปหาลูกค้ามาป่าว...จบ ห้านาที...สงสัยคุยกันไม่รอด”

    “บ้าเหรอ ก็ลองเป็นเจ๊น้ำจิงๆดิ”

    “ก็เพื่อนจิงๆก็แบบนี้แหละ เพื่อนแค่คุยมากกะคนสนิท ไม่สนิทเพื่อนก็พอคุยได้นิดๆหน่อยๆ”


    นอกจากโทรไปสี่ครั้ง ทำเวลารวมไป 15 นาที ฉันก็ทำการส่งเมสเสจไปอีกสามอันในช่วงเวลาที่ผ่านมา...


    “ตั๋งสบายดีมั๊ย งานยุ่งป่าว ได้รับโปสการ์ดน้ำรึยังอะ...”

    “เสียดายลูกที่เจอร์ราดยิงไม่เข้าเนอะ ไปทำงานก่อนนะ ต้องหลับคาโต๊ะแน่เลยเช้านี้ ตั๋งนอนหลับเผื่อด้วยนะ ฝันดีนะ...”

    “น้ำดูคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดอยู่เพลงเล่าสู่กันฟัง เศร้ามากเลย น้ำตาไหล อยากกลับบ้านอะ”


    ฉันไม่เคยได้รับข้อความกลับจากตั๋งเลยแม้กระทั่งข้อความเดียว แต่พอฉันโทรไปถามตั๋งว่าได้รับข้อความมั๊ย หรือว่าโปสการ์ดรึป่าว ตั๋งก็จะบอกว่าได้ทั้งคู่ ฉันไม่ได้หวังว่าตั๋งจะเขียนโปสการ์ดตอบกลับเพราะว่ามันมากเกินไป แต่ฉันก็คิดว่าตั๋งน่าจะตอบข้อความมาบ้าง ไม่ได้แสดงความเป็นห่วงใย แต่แค่ตอบคำถามฉันบ้าง เช่น ได้รับจดหมายแล้ว ฉันมาได้คำตอบที่กระจ่างจากยุ้ยและปากตั๋งเองว่า มือถือตั๋งใช้รับเข้าและโทรออก อ่านข้อความได้ แต่ว่าส่งไม่เป็น ด้วยความมือถือที่ใช้เก่ามาก ทำให้ตัวหนังสือบนปุ่มหายไปหมดซะแล้ว...ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะว่ายุ้ยก็ยืนยันว่าพี่ชายยุ้ยก็ส่งข้อความไม่เป็นเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าทำไมไม่โทรคุยกันไปซะ ส่งไปส่งมาอยู่ได้...เป็นอันว่าฉันบอกตัวเองว่าฉันจะส่งข้อความเพราะอยากส่ง เหมือนที่เขียนจดหมายเพราะอยากเขียน


    จากการคุยสี่ครั้ง ถ้าให้คะแนนเต็มสิบกับการสนทนา ฉันให้ประมาณ 5.476 ถึงแม้เราจะคุยกันน้อย แต่ว่าฉันก็ยังรู้สึกว่า ตั๋งยังไม่ได้รำคาญมากนัก แต่ว่าเราไม่รู้จะคุยอะไร ตั๋งเป็นคนที่คุยไม่ค่อยเก่ง จำเป็นต้องให้ฉันเปิดประเด็นคุยก่อน ถ้าคำถามเป็นระบบเปิด คือต่อไปได้ยาวหน่อย เช่นวันนี้ไปดูงาน เป็นโปรเจคอะไร ก็จะบรรยาวหน่อย ถ้าคำถามเป็นแบบปิด เช่นกินข้าวรึยัง ก็จะตอบสั้นๆว่ากินแล้วครับ แต่ที่ฉันให้คะแนนตัวเองเกินครึ่ง เพราะว่าฟังจากน้ำเสียง ว่ายังพอคุยได้อยู่อีกหน่อย


    “นี่น้ำโทรมากวนตั๋งป่าวเนี่ย” ...(งงตัวเองแล้วฉันถามทำไม แล้วใครจะตอบว่ากวนใช่มั๊ย)

    “ป่าวครับ มีอะไรก็โทรมาได้ “

    “เออ ได้รับโปสการ์ดรึยังอาทิตย์นี้”

    “อา ได้แล้ว ได้เมื่อวานอะ”

    “เออ ดีเนอะ น้ำส่งหาตั๋งวันจันทร์ วันศุกร์ตั๋งได้แล้ว เร็วมากๆเลย น้ำเห็นเป็นอย่างนี้มาสองทีและ”

    “อืม เร็วดีเนอะ”

    “เออ เขียนไปกวนตั๋งป่าวเนี่ย น้ำว่าตัวเองประหลาดอะ”

    “เอ๊า ไม่เห็นประหลาดตรงไหนเลย ก็เขียนมาดิสนุกดี”

    “อืม ได้” ....ไอประโยคหลังนี่แหละที่ทำให้ฉันให้ตัวเองเกินครึ่งได้ แล้วก็ทำให้ฉันยังเขียนจดหมายหาตั๋งอยู่เรื่อยๆ อาทิตย์ละหนึ่งถึงสองฉบับ ตามแต่ว่าชีวิตจะไปเจออะไรมาบ้าง


    แต่แล้วความรู้สึกของฉันที่คิดจะติดต่อตั๋งก็หมดลง


    “น้องหมู เพื่อนจะเลิกโทรหาตั๋งแล้ว”
    “ทำไมอะ”

    “ไม่รู้อะ เมื่อคืน เพื่อนโทรหาตั๋ง เสียงตั๋งไม่ค่อยดี ไม่รู้รำคาญรึป่าว เหมือนถามคำตอบคำ อืมๆ ไรงี้อะ เพื่อนว่า
    เพื่อนเลิกโทรแล้วแหละ”

    “บ้าเหรอ คิดมากเจ๊น้ำ”


    ฉันลืมไปว่าคนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ยากกันทุกคน ไม่ว่าจะด้วยเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว คงไม่ใครมาปั้นหน้ายิ้มต้อนรับแขกตลอดเวลาทั้งๆที่ใจเราก็หดหู่ ช่วงเวลานั้นฉันตัดสินใจและคิดเองว่าจะเลิกโทรหาตั๋งและเขียนจดหมาย แต่ฉันจะทำได้นานแค่ไหนเนี่ย

    จากคุณ : inam - [ 11 พ.ย. 50 17:38:47 A:219.89.16.7 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom