อีกเรื่อง...ที่พิสูจน์ไม่ได้ 4 ชายในเงามืด
หากนับตั้งแต่เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นกับผม ความจริงแล้วหลังจากนั้นผมก็พบกับเหตุการณ์แปลกๆ อยู่เป็นระยะ แต่ด้วยความที่มันเกิดค่อนข้างจะบ่อยจนหลายๆ เรื่อง ผมเองก็ลืมเลือนไปแล้ว
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผมจำได้ชัดเจน...และเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมค่อนข้างจะหวาดกลัวและจำติดตามาจนทุกวันนี้
คืนก่อนวันพิลารัยของผู้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาที่ผมกำลังศึกษาอยู่ ผมและเพื่อนๆ ซึ่งขณะนั้นเรียนอยู่ชั้นอุดมศึกษาปีที่สามกำลังช่วยกันจัดซุ้มสอยดาวของเอกซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ผู้เข้าชมนิทรรศการในวันรุ่งขึ้นได้มาร่วมสนุก
ความจริงแล้วในคืนนี้ เราตกลงกันว่าจะค้างคืนกันที่สถาบันเพราะจะได้มีเวลาเตรียมงานกับได้เต็มที่ แต่เผอิญว่าคืนนั้นเรากลับทำงานกันได้อย่างรวดเร็วเกินคาด
...เพียงเที่ยงคืนเท่านั้น งานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย...
กว่าจะถึงเช้าก็อีกหกชั่วโมง ผมและเพื่อนๆ จึงเอากีต้าร์มานั่งเล่นกันโดยหวังจะให้เสียงเพลงอยู่เป็นเพื่อนยันเช้า...แต่หลังจากนั้นเพียงประมาณสามชั่วโมง ความง่วงก็เริ่มเข้าครอบงำพวกเราทีละคน...ทุกคนเริ่มหาที่นอนตามที่ต่างๆ ทั้งบนโต๊ะในโรงอาหาร ใต้ต้นไม้ หรือแม้แต่โต๊ะหินอ่อน
...แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจ...ในคืนนั้นผมเพียงคนเดียว...ที่ตัดสินใจเดินกลับบ้าน...
บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากสถานศึกษามากนัก และสามารถเดินกลับได้หลายเส้นทางด้วยกัน หากเป็นในช่วงเวลาปกติผมคงจะเดินกลับเส้นทางประจำที่ใช้อยู่ แต่ในเวลานี้ผมจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้น
...เส้นทางประจำที่ผมใช้เดินทางเป็นซอยที่ค่อนข้างจะเล็ก สองข้างทางเรียงรายด้วยบ้านเดี่ยวของขุนนางโบราณซึ่งกั้นอาณาเขตด้วยสังกะสีทึบและส่งผลให้ภายในซอยยิ่งดูทึบอึมครึมและแคบลงไปอีก...แต่ที่สำคัญ...ในซอยนั้นมีวัดอยู่ด้วยครับ...
ดังนั้นผมจึงเลี่ยงการเดินเข้าซอยนั้นโดยการเดินออกไปตามถนนใหญ่แทน เพราะอย่างน้อยก็ไม่มืดเท่าในซอยและถนนหนทางก็กว้างขวางกว่าเป็นไหนๆ
...แต่...สิ่งที่ผมลืมนึกถึงไป...ในซอยทางลัดอีกซอยซึ่งยังไงผมก็ต้องเดินผ่านเพื่อที่จะไปให้ถึงบ้านของผมนั้น...มีวัดอีกหนึ่งแห่ง...
ซอยที่ผมพูดถึง...อย่างที่บอกไปในตอนแรกของเรื่องเล่าชุดนี้...เป็นซอยซึ่งเป็นทางลัดเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนอิสรภาพ ดังนั้น ซอยนี้จึงมีขนาดไม่เล็กมาก รถวิ่งสวนกันได้สองช่องทาง หรือหากจะเบียดๆ ก็น่าจะเบียดกันได้สักสามคัน ความลึกของซอยน่าจะไม่น้อยกว่าสามถึงสี่กิโลเมตร
ผมค่อยๆ เดินเข้าซอยอย่างช้าๆ และลังเล ใจหนึ่งอยากจะกลับไปสถาบัน แต่อีกใจก็อยากกลับบ้าน...ตอนนั้นใจคอผมเริ่มไม่ค่อยจะดีเท่าใดแล้ว เพราะผมดันนึกถึงเรื่องเล่าของวัดนี้ที่ผมเคยได้ยินมาตอนยังเป็นเด็ก
...รู้รึเปล่า...วัดนี้นะ...ตอนกลางคืนเคยมีคนเห็นเปรตยืนคร่อมกำแพงวัด มันจะยื่นหน้ามาที่คนซึ่งบังเอิญหรือจำเป็นก็แล้วแต่ที่ต้องเดินผ่านถนนหน้าวัดในเวลาดึกๆ...เสียงร้อง วี๊ด...วี๊ด... ชวนขนลุกเพื่อขอส่วนบุญ ดังออกจากปากเท่ารูเข็มของมัน...
...นี่ๆ...ใครเดินผ่านวัดนี้ตอนดึกๆ นะ...บางคนจะเห็นผู้หญิงผมยาว สวมชุดนอนสีขาว...นั่งส่งยิ้มให้เราอย่างน่าขนลุกอยู่บนกำแพงวัดล่ะ...
โธ่ๆๆ...นึกถึงเรื่องพวกนี้ทำไมเนี่ย...ผมนึกโทษตัวเองอยู่เหมือนกันในตอนนั้น รู้ก็รู้อยู่ว่ากลัว แต่ก็ดันนึกถึงเรื่องเสียวสันหลังพวกนี้ขึ้นมาได้
ผมพยายามจะปัดความคิดเหล่านี้ออกไปจากสมองให้เร็วที่สุด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร ยิ่งไม่คิดมันก็ยิ่งทำให้คิด ผมเลยตัดสินใจแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยการเดินให้เร็วยิ่งขึ้น
...แต่ยิ่งเดินเร็วเท่าใด ก็หมายถึงผมก็ต้องถึงบริเวณวัดเร็วขึ้นเท่านั้น...
กำแพงวัดเห็นมาแต่ไกล ถึงแม้ว่าเวลาตีสามกว่าๆ เช่นนี้ จะมองไม่เห็นสีของกำแพงก็เถอะ แต่จินตนาการของผมก็ทำให้ผมรับรู้ถึงสีเหลืองมอๆ ของกำแพงนี้เป็นอย่างดี
ผมก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิตบนบาทวิถีฝั่งตรงข้ามกับวัด
...แต่ทันใดนั้นเอง...
ในซอยเล็กๆ ที่มืดสนิท ฝั่งตรงข้ามกับประตูเล็กของวัด แต่เป็นฝั่งเดียวกับที่ผมเดินอยู่
เงาอะไรบางอย่างเคลื่อนตัวออกมาจากซอยขวางทางเดินของผมเข้าอย่างจัง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ
น่าจะไม่เกินสิบหรือสิบห้าเมตรที่เงานั้นอยู่ห่างจากตรงหน้าของผม ความมืดในขณะนั้นทำให้ผมไม่สามารถระบุรายละเอียดของเงานั้นได้...รู้แต่เพียงว่าเป็นเงาลักษณะเหมือนชายแก่ ตัวเล็กๆ ผอมๆ และนั่นทำให้ผมถึงกับผงะและหยุดเดินในทันที...
เงานั้นหันตัวมาประจันหน้ากับผม ที่ปลายเท้าของเงาซึ่งผมคิดว่าเป็นชายแก่ปรากฏเงาสุนัขตัวใหญ่นอนหมอบอยู่อย่างที่ผมไม่ทันได้สังเกตในครั้งแรก
...เอาแล้วไง...เจอดีเข้าแล้ว...เอาไงดี...
ในขณะที่ผมกำลังคิดกลับไปกลับมาอยู่นั้น
เงาที่ผมเข้าใจว่าเป็นชายแก่...จู่ๆ ก็กวักมือเรียกผม...
อาการขนหัวลุกเป็นอย่างไรผมก็เพิ่งรู้เอาวันนี้ล่ะครับ...มันเหมือนคลื่นลมเย็นพัดผ่านช่วงสันหลังมาถึงท้ายทอยเป็นระลอก...ในเวลานั้น ผมรู้สึกตัวเองว่าเหมือนสติพร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ
...จะเดินกลับทางเดิมดีรึเปล่า...แล้วก็กลับบ้านอีกทาง...
ผมคิดอย่างนั้นครับ...แต่ในช่วงเวลาที่ล่วงเลยตีสามมาแล้ว หากผมเดินย้อนกลับไปอีกทาง ระยะทางที่ผมต้องเดินจะเพิ่มมากกว่าตอนนี้อีกสักสามหรือสี่เท่าได้
ผมยังคงไม่ละสายตาจากเงานั้น...และเงานั้นก็ยังคงกวักมือเรียกผมพร้อมกับสุนัขตัวโตที่ยังคงนอนหมอบอยู่
...ถ้าหันหลังกลับแล้วมันเกิดตามมาล่ะ จะทำยังไง...ผมยังคงคิดต่อไปแบบไม่กล้าขยับไปไหน และในที่สุดดูเหมือนว่าความง่วงที่บังเกิดในเวลานั้นจะมีชัยเหนือความกลัวเล็กน้อย...
...เอาไงเอากัน...คนจะเจอ หนียังไงมันก็ตามไปอยู่ดี...รีบๆ กลับไปนอนดีกว่า...
ผมตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปหาเงานั้นหลังจากที่ผมคิดว่าผมได้ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ต่ำกว่าสองถึงสามนาทีแล้ว โดยที่ผมเองก็ทำเป็นมองไม่เห็นมัน แต่เนื่องจากระยะห่างที่ผมเดินผ่านเงานั้นเพียงไม่เกินสองถึงสามฟุตเท่านั้น มันทำให้หางตาผมชำเลืองมองไปที่เงานั้นอย่างที่ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจ
...เงานั้นมีลักษณะเป็นชายแก่จริงๆ ครับ ผอมแห้งจนเรียกได้ว่าเหลือแต่กระดูก...หน้าตาเป็นอย่างไรผมไม่ทันได้เห็นรายละเอียดเพราะความมืดและความกลัว...เขายังคงกวักมือเรียกอะไรบางอย่างต่อไปอย่างไม่สนใจผม...และเงาสุนัขตัวโตก็ยังคงไม่ไหวติงใดๆ เช่นเดิม...
เมื่อผมเดินผ่านไปแล้ว อาจจะเป็นความรู้สึกของผมซึ่งขณะนั้นความกลัวเข้าครอบงำเรียบร้อยแล้วเองก็เป็นได้...ผมรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดผ่านท้ายทอยผมไปทางด้านหน้า...และ...ที่ประตูใหญ่ของวัด จู่ๆ สุนัขกลุ่มใหญ่ก็พากันวิ่งออกมาและพากันหอนเป็นทอดๆ เหมือนกับร้องรับอะไรบางอย่าง...ซึ่งนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ขนทั่วร่างกายของผมแข่งกันลุกเกรียวขึ้นมา
และเมื่อผ่านบริเวณวัดไปแล้ว ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ผมรีบเดินกลับบ้านและเข้านอนอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ฟัง...บางคนก็ถามผมว่าทำไมไม่ลองหันกลับไปดูให้แน่ใจว่าเป็นอะไรกันแน่...และแน่นอน...เหตุผลของผมมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เพียงแค่นี้ผมก็แทบจะช็อกอยู่แล้ว ถ้าตอนนั้นผมมีความกล้าพอที่จะหันกลับไปดู ผมยังไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อไป...
และก็เช่นเคย...ผมไม่กล้าเดินทางไปไหนอีกเลยในเวลาค่ำคืนเช่นนี้...โดยเฉพาะถ้าต้องผ่านสถานที่ซึ่งเรียกว่าวัดด้วยแล้วล่ะก็...
จากคุณ :
KTHc
- [
14 พ.ย. 50 21:05:19
]