เวลากลางดึกของคืนหนึ่งในฤดูหนาว ผู้คนโดยทั่วไปสมควรนอนหลับอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนานุ่มที่ให้ความอุ่นสบาย จะหาสิ่งใดที่สุขกว่านี้เห็นจะไม่มี......
แต่ความสุขนั้นมันไม่ได้เกิดได้แต่คนทุกคน ยังมีคนบางคนที่กำลังทุกข์อย่างแสนสาหัสในขณะที่ผุ้คนส่วนใหญ่กำลังมีความสุขในห้วงเวลานี้
บนสะพานลอยที่มีแสงจากสปอร์ตไลท์สาดจ้าดุจเวลากลางวัน ยังมีคนบางคนนอนขด กอดร่างตัวเองด้วยความหนาวเหน็บและสั่นสะท้านทุกครั้งที่ลมหนาวพัดมากระทบผิวกายผอมโซ ที่ดูไปไม่ต่างจากซากศพ ทั่วทั้งร่างมีเพียงเสื้อเก่าขาดและกางเกงขายาวที่ผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันเป็นเครื่องป้องกันลมหนาวเท่านั้น
พนักงานเก็บขยะ และคนกวาดถนนปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งครัด ราวกับว่าภารกิจนี้ไม่มีวันจบวันสิ้น...
บริเวณนี้โดยปรกติในเวลากลางวัน ถือเป็นแหล่งชุมชนที่คราคร่ำไปด้วยผุ้คนมากหน้าหลายตา บริษัทห้างร้านพากันเปิดกิจการเพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ด ในยุคที่ผู้คนเร่งรีบ ใครสามารถกอบโกยได้ก็รีบฉวยโอกาส ราคาที่ดินพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ตึกสูงทั้งสมบูรณ์และที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างพากันก่อเกิดขึ้นมาเย้ยฟ้าและท้าดิน
แต่ท่ามกลางพายุแห่งทุนนิยมเหล่านี้ยังมีร้านขายผลงานศิลปะเล็กๆตั้งอยู่ คล้ายเป็นจุดแต้มตำหนิในวงกลมใหญ่
ร้านศิลปะที่ว่านี้เป็นตึกแถวสองชั้น ชั้นล่างเป็นที่ขายผลงานศิลปะซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานของตัวเจ้าของร้าน ชั้นบนเป็นที่ซุกหัวนอน
ช่วงสองวันมานี้หากใครไม่เร่งรีบจนเกินไปนักก็คงจะทันสังเกตเห็นว่า ร้านศิลปะนี้ไม่ได้เปิดให้บริการตามปกติ แต่ยังไงก็แล้วแต่จะมีใครสนใจเล่า
ในเมื่อต่างคนต่างก็เร่งรีบกับภารกิจของตน จนไม่เหลือเวลาให้สนใจในสิ่งอื่นรอบๆตัว
"ศิลปะน่ะขายไม่ได้หรอกในยุคนี้ คุณขายที่ตรงนี้ให้ผมดีกว่า" ใครคนหนึ่งเคยบอกเจ้าของร้านเช่นนี้
ในห้องรูปสี่เหลี่ยมบนชั้นสองของร้านศิลปะ เป็นห้องที่เหมาะจะเรียกเป็นที่'ซุกหัวนอน' อย่างยิ่งเพราะนอกจากฟูกเก่าๆติดผนังด้านหนึ่งของห้องกับหมอนและผ้าห่มผืนบางแล้ว ทั้งห้องยังมีของอีกแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการวาดภาพและภาพที่วาดเสร็จแล้ววางพิงตามผนังห้องซ้อนทับระเกะระกะไปหมด บนผนังด้านหนึ่งมีหน้าต่างสองบานพอให้แสงสาดลอดเข้ามาแต่ก็ถูกปิดไว้ด้วยผ้าม่านเก่าขาด
กลางห้องตั้งไว้ด้วยโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีโคมไฟราคาถูกที่กำลังส่องแสงริบหรี่ตามแบตเตอรี่ที่อ่อนแรง ที่เขี่ยบุหรี่เต็มไปด้วยก้นบุหรี่นับสิบมวนและขี้เถ้ากองพะเนิน ซองบุหรี่ว่างเปล่าหนึ่งซองกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงวันที่สองวันก่อนวางอยู่ริมๆขอบโต๊ะ
เจ้าของร้านเป็นชายหนุ่มวัย 27 ปีนั่งพิงบนพนักเก้าอี้ไม้ สองขากางออกห่างจากกัน มือซ้ายวางลงข้างลำตัวอย่างผ่อนคลาย มือขวาถือวัตถุสีดำมะเมื่อมสะท้อนแสงจากโคมไฟวาววับจ่อไปที่ขมับขวาของตัวเอง
แสงริบหรี่จากโคมไฟก็เพียงพอจะทำให้ห้องที่มืดสนิทเช่นนี้เกิดแสงเงาที่แลดูไปทั้งน่ากลัวและน่าเศร้าไปในเวลาเดียวกัน หากเป็นงานศิลปะก็ดูจะเป็นงานที่แลดูสับสนและลึกลับพอๆกับงานของ แวนโก๊ะ ศิลปินเอกในดวงใจเขา
"คนที่รักศิลปะน่ะ ไม่มีทางเป็นคนเลวหรอก" คำพูดประโยคนี้ของอาจารย์ประสิทธิ์ดังขึ้นมาในห้วงสำนึกของเขา
อาจารย์ประสิทธิ์เป็นอาจารย์สอนศิลปะที่เขารักมากที่สุด เป็นอาจารย์ที่มากกว่าอาจารย์สำหรับเขา...
เขายังจำเรื่องราวในสมัยเด็กๆได้ดีราวกับมันเพิ่งเกิดมาเพียงไม่นาน ความทรงจำพาเขาย้อนกลับไปตอนอายุ 5 ขวบ
หลายคนเคยกล่าวไว้ว่า "เด็กๆก็เหมือนผ้าขาวสะอาด แล้วแต่ว่าผู้ใหญ่จะแต่งเติมสีสันใดๆลงบนผ้าขาวผืนนี้"
ชีวิตของตัวเขาก็เช่นกัน เขาถูกแต่งเเต้มสีสันแห่งความรุนแรงลงในผ้าครั้งแรกเมื่อพ่อกับแม่ทะเลาะกันโดยที่เขาสามารถเข้าใจเรื่องราวได้ตอนอายุ 5 ขวบ
ตอนอายุได้ 7 ขวบ พ่อกับแม่ก็แยกทางกัน สีทึมทึบแห่งความแตกแยกถูกทาลงบนผ้าขาวอีกครั้ง แต่อันที่จริงมันเหมือนทาทับไปบนหัวใจดวงน้อยๆของเขามากกว่า
เขาอยู่กับแม่ตามลำพังได้เพียงปีเศษ แม่ก็มีสามีใหม่ ฐานะของพวกเราในช่วงนั้นถือว่าปานกลางพอมีพอกินไม่ขัดสนมากนัก เขาสามารถไปโรงเรียนได้โดยไม่ต้องเจียดเวลาไปทำงานพิเศษเหมือนเพื่อนบางคนที่มีฐานะยากจน พ่อใหม่และแม่ดูเหมือนจะรักกันดี ทั้งคู่ช่วยกันทำมาหากิน ดูไปคล้ายชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
เขาชอบวาดรูประบายสีตั้งแต่เด็กๆ และดูเหมือนว่าแม่จะชอบรูปที่เขาวาดเสียด้วย แม่มักชมเขาไม่ขาดปากว่าเขาเป็นเด็กมีพรสวรรค์ ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอิบยิ่งนัก
ครั้งแรกที่เขาพบกับอาจารย์ประสิทธิ์ก็ตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยม 4 อาจารย์เข้ามาสอน 'ศิลปะและศิลปินเอกของโลก'
เรื่องราวของศิลปินเอกหลายคนถูกถ่ายทอดออกมาจากอาจารย์ประสิทธิ์ แต่มีอยู่เพียงคนเดียวที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้...
" วินเซนท์ แวน โก๊ะ(Vincent Van Gogh) เกิดเมื่อ 30 มีนาคม ค.ศ. 1853 เป็นชาวดัชท์
เป็นศิลปินเอกที่ยืนอยู่บนเส้นด้ายบางๆที่คั่นระหว่างความเป็นอัจฉริยะกับคนวิกลจริต และถ้าจะบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะเขาก็เป็นอัจฉริยะหลังความตาย เพราะตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่นั้น แวน โก๊ะ ขายรูปที่ตัวเองวาดได้เพียงรูปเดียว แต่กลับมีชื่อเสียงสูงสุดหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว
ภาพวาดของเขาเป็นศิลปะแนว 'โมเดิร์นอาร์ท' หรือ 'อิมเพรสชั่นนิสต์' ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวนโก๊ะ คือ The Starry Night
เขาจบชีวิตตัวเองลงด้วยการยิงตัวตายเมื่ออายุได้เพียง 37 ปี เพราะทนแรงกดดันในชีวิตและสังคมไม่ไหว "
จากคุณ :
แมวลายคราม
- [
19 พ.ย. 50 01:05:02
A:58.9.22.249 X:
]